ตอนที่ 66

Dungeon Defence

ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเเลี่ยน

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 3 วันที่ 11

ที่ราบเนอริส

“—ตีฝ่าพวกมันไป”

ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่วงล้อมของศัตรู

สำหรับคนธรรมดาเเล้วพวกเขาจะปรับตัวเปลี่ยนเเปลงไปตามสัจธรรมเเห่งโลก เเต่ยังไงก็ตาม สำหรับคนที่มีอำนาจเเล้วนั้นโลกต่างหากที่ต้องเป็นไปดั่งตามคำที่อำนาจพูด ชีวิตของใครก็ตามเเต่เองก็เปลี่ยนแปรไปตามคำพูดของบุคคลที่มีอำนาจด้วยเช่นกันเเละผมก็เป็นคนมีอำนาจ สั่งให้พวกมันบุกเข้าไป เเละมันต้องเกิดขึ้น

ฮัมบาบาเป็นผู้นำพวกแม่มด เเละพวกเเม่มดนี่เเหละที่พกระเบิดบินไประเบิดปูพรมเเดนศัตรู เราได้ปล้นดินปืนจำนวนมากจาก ปราการพิสุทธ ซึ่งเราเอามาเเทบจะเกินพอ แม่มดกระจัดปาถุงดินปืนออกโดยไม่ต้องคิดว่ามันจะหมดให้มาก ไม่นานหลังจากนั้น จอมเวทย์ฝ่ายศัตรูก็บินขึ้นไปในอากาศเพื่อตอบโต้

กองทหารของศัตรูมีมาก และกำลังของเรามีน้อย ไม่ว่าทหารของศัตรูจะกระจายกำลังออกตัวออกไปเพื่อสร้างวงล้อมเรา เเต่กองกำลังของเราเเค่เมินเฉยพวกมันเเล้วแทงกลับเข้าที่จุดเดียว กองทัพศัตรูกระจายตัว กองทัพของเรารวมศูนย์ กองกำลังของศัตรูต้องคอยระเเวงศัตรูทั้งด้านนอกและด้านในเพราะตกอยู่ในวงล้อม เเต่ที่สิ่งที่เราต้องทำคือมองไปข้างหน้าเเละวิ่งไปข้างหน้าเท่านั้น ราวกับตอกตะปูลงบนแผ่นไม้ ฟาร์นาเซ่ ตอกทหารของเราเข้าไปในวงล้อมของศัตรู นอกจากกลยุทธนี่เเล้ว ก็ไม่มีเเผนการอื่นใดหรือต้องชิงไหวชิงพริบอีก มันเป็นเเค่การโจมตีจากด้านหน้าอันทรงพลัง

ฟาร์เนเซ่พูดขึ้น

“กองทัพที่ชนะด้วยวิธีการจู่โจมซึ่งๆหน้าได้ย่อมเป็นกองทัพที่ได้ขวัญกำลังใจเปี่ยมล้น”

เธอจะพูดน้อยลงเมื่อต้องออกคำสั่ง เธอเพียงเเค่ฝังกลวิธีเข้าไปในหัวของนายทหารคนอื่นๆ ในระหว่างการประชุมเชิงกลยุทธ์ แต่ในระหว่างการต่อสู้จริง เธอมองดูสนามรบด้วยสายตาที่เปล่งประกาย

ฟาร์นาเซ่ จะอ่านสนามรบราวกับว่าเธอกำลังดูหนังสืออยู่ รู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงตะโกนของทหาร การเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ และเสียงแตรทั้งหมดบนสมรภูมิ ทั้งหมดล้วนเเล้วมีความหมายสำหรับเธอ และความหมายนั้นกำลังบอกกล่าวถึงความเคลื่อนไหวและเเสดงถึงการกระทำ เมื่อการเคลื่อนไหวของทหารของเราเริ่มที่จะไม่ชัดเจนฝ้ามัว เธอก็พูดออกไป

“อย่าท้อถอยจนถอดใจ”

กองกำลังของศัตรูตอนนี้ทำได้เเค่อดทนอดกลั้นเท่านั้น เธอพูด

“เราก็ต้องอดทนไว้ดีเช่นกัน จงเตรียมตัวเตรียมใจหลั่งโลหิตไว้ให้ดี”

เมื่อวงล้อมของศัตรูเริ่มแตกสลาย เธอพูดอีกครั้ง

“โจมตีไปที่ตรงนั้น”

ฟาร์นาเซ่ อ่านสนามรบราวกับว่ามันเป็นหนังสือ และราวกับว่าเธอกำลังแก้ไขการพิมพ์ผิดทั้งหมดในหนังสือด้วย เธอแก้ไขข้อผิดพลาดในสนามรบด้วยคำสั่งของเธอเอง คำสั่งของเธอนั้นแม่นยำเอามากๆ ดังนั้นมันจึงสร้างความประทับใจสลักลึกลงไปในเจ้าหน้าที่และคนของเรา

โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ นายทหารสัมผัสได้ถึง ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ ที่กำลังจ้องมองที่ด้านหลังศีรษะ เเต่ด้วยความเคารพอย่างสูงพวกเขายังอวดอ้างต่อไปอีกว่าว่าสามารถรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของแม่ทัพในขณะต่อสู้ ตั้งแต่นายทหารจนไปจนถึงพลทหาร ไม่มีสักคนเดียวที่สงสัยในคำพูดของแม่ทัพ ผมนึกถึงคำพูดของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะที่อ้างว่าโลกทั้งใบปรากฏเป็นตัวเลขสำหรับเขา เเต่สำหรับ ฟาร์นาเซ่เเล้ว สนามรบปรากฏออกมาเป็นคำพูดและประโยคในสายตาของเธอ นี่เเหละคือพรสวรรค์โดยธรรมชาติอย่างจริงเเท้

ก่อนที่เวลา 2 ชั่วโมงจะล่วงผ่านไปตั้งแต่เราเริ่มโจมตีขัดขวางการปิดล้อม ฟาร์นาเซ่ ก็พยักหน้า

“มันจบแล้ว.”

รอยยิ้มบูดเบี้ยวลอยมาเหนือริมฝีปากของ ฟาร์นาเซ่

5 นาทีต่อมา ตามที่เธอได้กล่าวไว้ การปิดล้อมของศัตรูก็พังทลายลง กองกำลังศัตรูยกธงสะบัดและกำลังหลบหนี เเต่เพราะการล่าถอยของพวกมันดูเหมือนจะทำไปเพราะอาจมีเจตนาเเอบเเฝง ฟาร์นาเซ่ จึงห้ามกองทหารของเราไม่ให้ไล่ตามพวกมันไปเอาไว้

“อย่าไปตามพวกมันไป ฝ่ายเราเองนี่เเหละจะเจ็บปวดถ้ายังดื้อดึง”

พวกนายทหารเงียบลงและเชื่อฟังตามคำสั่ง คงจะเป็นความสุขของนายทหารเเน่ๆที่จะไล่ตามกองกำลังศัตรูที่เหลือ เเละเข้าโจมตีพวกมันจากด้านหลัง ช่วงชิงสิ่งต่างๆมาจากศัตรู ด้วยความต้องการแบบนั้น จำนวนทหารที่ต้องการปล้นมากกว่าการต่อสู้ก็มีมากกว่าเเน่ๆ เเต่อย่างไรก็ตาม ฟาร์นาเซ่ ไม่ใช่เเม่ทัพที่ใจเเคบถึงขนาดห้ามการปล้นสะดมเลย แม่ทัพอนุญาตให้ปล้นสะดมมากเท่าที่พวกเขาต้องการระหว่างการเดินทัพของเรามาที่นี่เเล้ว เธอเข้าใจธรรมชาติของนายทหารได้เป็นอย่างดี เเต่ถ้าหากฟาร์นาเซ่สั่งไม่ให้ไล่ตามไป ก็ไม่ต้องไล่ตามไป มันเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

หลังจากที่ทหารของศัตรูถอนกำลังออกไป ราวกับม่านถูกดึงออก ที่ตั้งแคมป์ของบาร์บาทอสก็ปรากฏ ผู้รับผิดชอบแคมป์ออกมาต้อนรับ

“ยินดีต้อนรับ ดันทาเลี่ยน ต้องขอบคุณ คุณที่ทำให้เราสามารถอยู่รอดต่อไปได้อีกวัน”

“ผมได้แค่ขอโทษละกันสำหรับการมาสายของผม”

“คุณจะบอกว่ามาช้า…… เราไม่ได้คาดหวังเเต่เเรกเเล้วว่าจะมีใครมาช่วยตั้งเเต่เเรกเเล้ว”

ผู้ดูแลยิ้มอย่างขมขื่น มีเลือดเปื้อนอยู่บนเคราสีขาวบริสุทธิ์ของผู้บังคับบัญชา ชายผู้นี้มีลักษณะเหมือนชายชราเป็นจอมมาร ลำดับที่ 16 เซปาร์

“ขอโทษด้วยจริงๆ ถึงเเม้มันจะต้องทำตามมารยาท เเต่สถานการณ์ปัจจุบันของเราไม่เอื้ออำนวยที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองให้คนของคุณที่ช่วยพวกเรารอดพ้นจาความตาย อันน่าอึดอัดใจไปได้ ถ้าคุณมาช้าอีกสักวันคุณคงต้องมาทักทายศพพวกเราที่ดวงตากลวงๆไปเเล้วล่ะ”

“มารยาทในสงครามจะไปเป็นเหมือนกับมารยาททั่วไปได้ยังไงกัน? อย่าวิตกกังวลไปเรื่องดังกล่าว ไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อยเลยที่ท่าน จะต้องมารู้สึกอึดอัดใจ ดยุคเซปาร์”

เซปาร์ค ลำดับที่ 16 และ ผม ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 71 สนทนากันโดยใช้ภาษาสุภาพ มันอาจจะขัดกับมารยาท แต่ เซปาร์ค เป็นจอมมารที่เพิ่งรอดตายมาได้ และผมก็เป็นจอมมารที่ให้การช่วยเหลือนั้นแก่เขาอยู่ ผมกำลังบอกเขาทางอ้อมว่านี่คือสิ่งที่เป็นมารยาทต่อหน้า เซปาร์คงเข้าใจความหมายของผมแล้วในขณะที่เขาพยักหน้าตอบรับมา

“ถึงกระนั้น เราก็ยังรู้สึกละอายใจมากที่ได้ต้อนรับคุณแบบนี้อยู่ดี พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยในขณะที่คุณที่มีตำเเหน่งต่ำต้อยกว่าสามารถทะลวงผ่านทิวเขาเเละบุกฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วยเราได้……?”

ดยุค เซปาร์ค ส่วนไหนของความผิดพลาดกันที่ท่านต้องรับผิดชอบ? ท่านเป็นขุนนางแห่งฝ่ายผืนราบที่ได้ปกป้องทวีปปีศาจซึ่งถูกกระหน่ำโจมตีอย่างรุนเเรง ผู้คนจะยกย่องความพยายามของท่านอย่างแน่นอนที่สุด ทั้งหมดที่ผมทำก็ไปก็แค่เข้าช่วยท่านเล็กน้อยๆเอง เหมือนเป็นการช่วยเหลืออาสาสมัครมากกว่าอีก เพราะงั้นเราไปกันเถอะ”

ขณะแลกเปลี่ยนคำอวยพรกัน เซปาร์ก็นำทางเราไปที่แคมป์

ที่ตั้งแคมป์อยู่ตั้งอยู่แบบโดดเดี่ยว ที่ตั้งแคมป์ตั้งอยู่รอบๆรั้วไม้และสนามเพลาะเเต่รั้วไม้ต่างๆ ได้พังทลายลงเนื่องจากการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา บนรั้วไม้ ศพถูกเสียบเข้าไปในช่องท้องและห้อยอยู่ราวกับผ้า นกล่าเหยื่อร่อนลงบนซากศพและกินเนื้อที่บอบบางที่สุดนั่นคือ ตา. เลือดไหลออกมาจากเบ้าตาเปล่าของศพที่ตาบอด ทันทีที่เราเข้าใกล้ นกก็บินหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่นกหนีไป พวกมันก็ทิ้งลูกตาที่ฉีกขาดลงบนพื้น เซปาร์ไม่พูดอะไรสักคำขณะเดินผ่านศพคนของเขา

เมื่อเห็นกองทหารของผมเข้าไปในค่าย ทหารที่ยังมีชีวิตอยู่ก็รวมตัวกัน พวกเขาส่งเสียงเชียร์ขณะยกหอก

— ฮูราห์สำหรับฝ่าบาท ดันทาเลี่ยน ฮูรา!

— อวยพรเเด่ผู้ช่วยชีวิตที่ทำให้เรายังไม่ตาย!

พวกทหารเข้ามารุมล้อมขวางทางเราไว้ เราจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวออกไปจากตรงนี้ได้ ใบหน้าของทหารที่รอดตายจากนรกนั้นช่างงดงามจนคาดไม่ถึง พวกเขาขาดแขนขาดขาเพราะถูกฟันและเนื้อตัวสกปรกมอมเเมมเปื้อนไปทั่วตัว หากมีบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาที่สวยงามอีก ก็เป็นรอยยิ้มที่สดใสที่ก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา เซปาร์ดุพวกทหารออกไป

“ทำอะไรกันวะหะ? ไม่ว่าพวกเเกจะยินดีปรีดากันแค่ไหน มันก็มีธรรมเนียมที่จะไม่ขวางทางเดินของกษัตริย์ เเยกย้ายออกไปไ..…”

“ไม่เป็นไร ดยุคเซพาร์”

ผมหยุดเขา

““กฎที่พระราชาผู้ก้าวไปในทางจะไม่ถูกประชาเข้ามันบดบังเส้นนั้นไม่เป็นความจริงเลย”

ผมก้าวลงจากหลังม้าและสวมกอดทหารคนหนึ่ง ทหารเป็นออร์คหนุ่ม กลิ่นฉุนรุนแรงของอุจจาระม้า เลือด และปัสสาวะเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขา ผมจับออร์คหนุ่มเข้ามาใกล้ ๆ และจูบที่หน้าผากของเขา

“พวกคุณทุกคนน่าชื่นชมมากๆ พวกคุณทุกคนช่างน่ายกย่อง พวกคุณทำได้ดีมาก ผมขอโทษจริงๆที่ผมไม่สามารถมาถึงเร็วกว่านี้ได้ พวกคุณน่ะสุดยอดเเล้ว……”

ทหารถึงกับหลั่งน้ำตา หลังจากได้ยินคำพูดของผม ทหารคนอื่นๆ รอบตัวผมก็เริ่มหลั่งน้ำตาเช่นกัน พวกเขาคุกเข่าอยู่รอบตัวผมและเอาน้ำตาอาบปลายเสื้อผ้าของผม พวกเขาร้องไห้อย่างหนักในขณะที่พึมพำ เซปาร์ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทหารที่กำลังร้องไห้เพราะพวกเขาได้มีชีวิตรอดกลับมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าขัดขวาง

ขณะที่เสียงร้องโหยหวนจากค่ายก็มีเสียงแหลมๆ แทรกเข้ามา

“เฮ้! ไอ้เจ้าคนอ่อนเเอ!”

เธอคือบาร์บาทอส เธอยืนอยู่เหนือหลังของทหาร

บาร์บาทอสกระโดดข้ามหลังทหารเข้ามา ราวกับว่าเธอกำลังข้ามหิน เธอเหยียบหลังทหารของเธอแล้ววิ่งมาหาผม เนื่องจากพฤติกรรมของเธอไม่มีใบหน้าหรือศักดิ์ศรี ผมจึงตกตะลึงและอ้าปากค้าง บาร์บาทอสโอบกอดผมที่กำลังงงวยทั้งแบบนั้น

“ขอบใจเเกมากๆเว้ยไอ้ลูกหมา

“อุแว๊ก!”

ผมเสียสมดุลและเกือบจะล้มลง บาบาร์ทอสสะอื้นไห้ขณะที่เธอเกาะไหล่ของผมและห้อยต่องแต่งไปมาอยู่

“ไอ้บ้า ไอ้สารเลวไอ้หน้าหนังหมา! เเกมาที่นี่มาถึงภายในหกวันได้จริงๆด้วย เพราะถูกบอกให้มาภายในหกวัน! เเก เเกก! เเกคลานมาที่นี่ได้ภายใน 6 วันจริงๆ เป็นเพราะภูเขามันเหมือนสวนหน้าบ้านเเกใช่หรือเปล่าวะเนี่ยโอ้ยย? ไอ้หน้าหมีเอ้ยย!”

“อุ๊บบบบบบบบบบ!”

ผมถูกจูบอย่างแรง ไม่สิอันที่จริงนี่ไม่ใช่การจูบได้เเล้วเรียกว่าถูกดูดน่าจะถูกกว่าอีก ไม่มีทางที่จะเรียกว่าจูบได้หรอกผมกำลังถูกดูดอยู่

ผมซึ่งเคยแสดงฉากโรแมนติกเเละเเสดงฉากอันสง่างามมาแล้ว ตอนนี้ผมบิดคอของเธอเพื่อหลีกเลี่ยงการนิทรรศถูกดูดปากในที่สาธารณะต่อหน้าประชาชี ริมฝีปากของ บาบาร์ทอส จนเเล้วจนรอดผมก็หลบเลี่ยงมันได้ เเต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นเเล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็อารมณ์เสียไปซะอย่างนั้น

“อา ไอ้ระยำ อยู่นิ่งๆสิวะ.”

“อุ๊บ!?”

บาร์บาทอสจับหัวของผมด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ ในที่สุด เธอก็สามารถเอาลิ้นของเธอสอดใส่เข้ามาในปากผมได้ นั่นคือช่วงเวลาที่การดูดกลายเป็นการจูบแบบลึกล้ำ สำหรับคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็ก ความสามารถในการจูบของเธอนั้นหาใครเป็นพิเศษมาเปรียบได้อีก อย่างแรกเลย เธอสูดลมหายใจของผมออกไปและทำให้ภายในปากของผมกลายเป็นสุญญากาศ เมื่อต้องกลั้นหายใจ ผมก็หมดเรี่ยวแรงในลิ้นไปในที่สุด จากนั้นบาร์บาทอสก็เอาลิ้นของเธอมาพันรอบลิ้นผมแล้วดูดเข้าไป ริมฝีปากของเราผิดเพี้ยนไปชั่วขณะ ในขณะนั้น ผมสูดหายใจเข้าอย่างแรงพร้อมกับปล่อยเสียง ‘ฮึ้บบบ… ฮ่าาาา…!’ ได้เพียงชั่วครู่เทานั้น ไม่นานหลังจากนั้น บาร์บาทอสก็เสียบปากเข้ามาอีกครั้ง และครั้งนี้ เธอกดตรงกลางลิ้นของผมด้วยเธอกระตุ้นมัน ความแข็งแรงค่อยๆผ่อนระบายออกจากข้อต่อของผม บาร์บาทอสจับและพยุงร่างของผมไว้เบาๆ ซึ่งกำลังจะทรุดตัวลงไปเนื่องจากหัวเข่าของผมกำลังโก่งงอ ผมกำลังจะโดนข่มขืนเเล้ว คำพูดเหล่านี้แล่นเข้ามาในหัวของผม อย่างแท้จริง. วันนี้ผมจะถูกข่มขืนเเน่ๆ ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่าผมจะถูกลวนลามโดยบาบาร์ทอสเเน่ๆ เธอกำลังกดตรงกลางลิ้นของผมกับเธอ แล้วเอาลิ้นของเธอมาพันรอบทั้งสองด้านของผม เธอปล่อยสักแปป ‘เอิบบบบ … ‘ ผมร้องเสียงหลงออกมา ผมเพิ่งเปล่งเสียงหลงออกมางั้นเหรอ? นั่นใช่เสียงผมจริงๆใช่ไหมเนี่ย? หรือเป็นเสียงร้องคนละภาษากัน? เเต่ไม่ว่าผมจะพยายามขยับแขนทั้งสองข้างเพื่อผลักอีกฝ่ายออกไปมากแค่ไหน มันก็ไร้ความหมาย เพราะผมไม่สามารถออกแรงในอ้อมแขนของเธอได้ บาร์บาทอสยิ้มด้วยดวงตาของเธอ ‘เเกนี่มันน่ารักเสียจริงน้าา’. รู้สึกเหมือนกับว่าบาร์บาทอสกำลังพูดแบบนั้นอยู่ ราวกับกำลังบอกให้ผมหยุดโวยวาย บาบาร์ทอส จับร่างกายส่วนล่างของผมเบา ๆ ด้วยมือซ้ายของเธอ พระเจ้าที่รัก. วิสัยทัศน์ของผมกลายเป็นสีขาว การต่อต้านสุดท้ายของผมกำลังจะหายไป ผมไม่มีทางต่อสู้ที่นี่ได้เเน่ เข่าของผมสั่นด้วยความกลัวจากเทคนิคของจอมมารผู้บิดเบือน ที่มีชีวิตอยู่หลายร้อยปี ผมสัมผัสได้ทั่วทั้งร่างกายว่าคำว่า ‘กำลังถูกกิน’ หมายถึงอะไร ผมกำลังจะถูกกิน นั่นเป็นความกลัวพื้นฐานที่มนุษย์ยึดมั่นต่อสัตว์ร้ายตั้งแต่เริ่มต้นของทุกสิ่ง ผมตัวสั่นสะท้านไปถึงทรวง พระเจ้า ได้โปรดเถอะช้่วยผมด้วย ขอร้องอย่างจริงจังเลยนะ เเต่จากนั้น บาบาร์ทอส ก็ผสมผสานเทคนิคการผลักลิ้นของเธอเหมือนสว่านลงไปและใช้ลิ้นนั้นจับลิ้นของผมกับเธอถูกเข้าด้วยกันเหมือนเชือกและกวนหมุนวนภายในปากของผม รู้สึกเหมือนเครื่องปั่นกำลังกวนสมองของผมอยู่เลย

“—ปาฮา”

ในที่สุด บาบาร์ทอส ก็ถอดริมฝีปากของเธอออก น้ำลายบาง ๆ ห้อยหลวม ๆ ราวกับสะพานแขวนระหว่างลิ้นของผมกับบาร์บาทอส ขณะหายใจหอบอย่างหนัก ผมจ้องไปที่บาร์บาทอสอย่างดุเดือด

“เธอนี่……เธอนี่มันจริงๆเลย……”

“อย่ามาพยายามขโมยหัวใจทหารของข้าอีก”

บาบาร์ทอส กัดติ่งหูของผมและกระซิบเข้ามา

“ข้าต้องขอบคุณที่เเกมาช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ก็นั่นแหล่ะ จงฟังให้ดี. ทหารของข้าเป็นของข้า สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนไร้ค่าที่ยุ่งกับสิ่งที่เป็นของของข้า แม้ว่าครั้งนี้จะปล่อยเเกไปเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเเเกพยายามยั่วยวนผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าอีกครั้งล่ะก็……”

ลิ้นของบาร์บาโตสเลียที่หูชั้นในของผม ความรู้สึกเย็นชื้นนั้นทำให้กระดูกสันหลังเย็นวาบ

“ดันทาเลียน ในตอนนั้นข้าจะข่มขืนเจ้าจริงๆ ต่อหน้าต่อตาเหล่าทหารเเน่”

“……”

สะอึก

“ไหนล่ะคำตอบ?”

“ผ-ผมจะระวัง”

“เเล้วเเผนการคืนนี้เเกมีอะไรอีกไหม?”

เสียงของ บาบาร์ทอส ที่ถามฉันเกี่ยวกับแผนการของผมในคืนนี้ มันเต็มไปด้วยราคะ หากลมหายใจมีสี ลมหายใจของ บาร์บาทอส ตอนนี้น่าจะออกมาเป็นสีชมพูอ่อน ผมสะอึกอีกครั้ง

“เอ่อ…ไม่มี?”

“ฮิฮิ ฟังดูเเล้วเหมือนว่างอยู่เลยนี่? งั้นคงมีเวลาพอมาสร้างสมประสบการณ์กับข้าได้งั้นสินะ”

“เดี๊ยวรอเดี๊ยวก่อน. แม้ว่าผมจะไม่แน่ใจว่าเธอเหนื่อยหลังจากสกัดกั้นการโจมตีต่อเนื่องของศัตรูไปแล้วหรือยัง วันนี้มาพักผ่อนให้เพียงพอก่อนดีไหม?”

“แล้วไงถ้าข้าเหนื่อย ข้าก็เเค่ปรับปรุงสุขภาพด้วยการกินยาชูกำลังเเค่นั้นก็พอ”

กร๊ากๆๆๆ

“สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลทุกคนในโลกมีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของพวกเขาเอง บาร์บาทอส ผมขอปฏิเสธอย่างแน่วแน่ต่อความยั่วยวนของเธออย่างเด็ดขาด……”

“ปฏิเสธได้ก็ปฏิเสธไป เเต่ข้าก็จะขอปฏิเสธคำปฏิเสธของเเกด้วยด้วยเหมือนกัน”

ไม่นะ นี่มันไม่ถูกต้อง

บาบาร์ทอส จับมือขวาของผมและเริ่มลากผมออกไป ขณะที่ผมถูกลาก ผมรู้สึกราวกับว่าผมกลายเป็นทาสที่ถูกขายให้ครอบครัวอื่นเนื่องจากครอบครัวตัวเองเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมาไม่ดี ความทุกข์ระทมและเศร้าหมองเข้ามาในจิตใจผมอีกครั้ง

ทหารหลายพันนายมองดูผมถูกลากไปโดยเปล่าประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่จะยังคงอยู่ในใจของทหารในวันนี้ ฉากที่ฝ่าบาท ดันทาเลี่บย ได้สวมกอดศพที่สกปรกของทหารและร้องไห้เพื่อพวกเขาได้หายระเหยไปเเล้ว มีเหลือเพียงฉากเดียวเท่านั้นที่ยังคงตราตรึงใจเหล่าทหาร และพวกเขาคงจะหัวเราะและพูดถึงมันตลอดทั้งคืน

‘ฝ่าบาทบาร์บาทอสของเธอได้กลืนกินดันทาเลียนของพวกเราเสียแล้ว!’

เช่นนั้นเอง

ด้วยความหวังสุดท้ายของผม ผมมองไปที่ ลาพิส, ฟารนาเซ่ และพวกแม่มด พวกเขาทั้งหมดไม่สนใจสายตาของผมเลย แม่มดโบกไม้โบกแขนราวกับว่าพวกเขาเป็นคนของเปียงยาง ที่ได้เห็นผู้นำที่พวกเขานั้นหลงใหล พวกแม่มดก็ยิ้มแย้มแจ่มใสออกมา

— กินให้อร่อยนะฝ่าบาท!

ถ้ารูหูของผมยังทำงานได้อย่างถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่แม่มดตะโกนออกมาอย่างชัดเจน บ้าเอ้ยย ประเพณีของประเทศไหนหลักการทางศีลธรรมของโลกไหนกัน ที่บอกว่าการขายเจ้านายของตนออกไป เเล้วบอกให้กินให้อร่อยนะได้กัน จากหลักการพื้นฐานสามประการในความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้ล่มสลายลงไปเเล้วและวงแหวนโอลิมปิกได้หายไปด้วยอีก ผมเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเเกทำไปทั้งหมด ขงจื๊อและ เมเซอุส จะสาปแช่งพวกเเกทั้งหมด ไปตายซ้าาา. ไปตายกันให้หมดเลยยยย……

……………………………………………………………………………………….

ฉู้กันเเค่แปปเดียวที่เหลือคือมานั่งอ่านดันทาเลี่ยนโดนลวนลามเเทน เจ๋งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง