ตอนที่ 135 สวะไร้ประโยชน์ พาตัวไป
อวี้ชิงลั่วโกรธเคือง คนคนนี้ยังหยาบคายได้มากกว่านี้อีกไหม?
นางเป็นสตรี…สตรี…เป็นสตรีผู้บอบบางและเลอค่ามาก ต่อให้ตอนนี้จะแต่งกายเป็นบุรุษ ก้นบึ้งก็ยังเป็นสตรีตัวจริงเสียงจริง
“ไม่เลว หลินมาจัดการเล็กน้อยก็ทำให้ดูไม่ต่างอะไรกับบุรุษเลยจริง ๆ เพียงแต่ดวงตาคู่นี้…เป็นประกายเกินไป” เย่ซิวตู๋สำรวจนางอย่างละเอียด หลังจากเหลือบมองมาที่ดวงตา เขาก็เคลื่อนตัวมาด้านหน้าขยับเข้าใกล้เล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วมือขยับเข้าใกล้ดวงตาของนาง
อวี้ชิงลั่วยื่นเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ยันไว้ที่หน้าอกของอีกฝ่ายพร้อมกับถลึงตามอง “หยุด หากเข้ามาอีกมีดของข้าคงไม่มีตาหรอกนะ”
เย่ซิวตู๋หลุบตาลงเล็กน้อย มองดูปลายรองเท้าที่จู่ ๆ ก็มีใบมีดส่องแสงเย็นเยียบโผล่ออกมา คิ้วของเขาเลิกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ สตรีผู้นี้รู้จักป้องกันตนเองจริง ๆ มีอาวุธทั่วทั้งร่างกาย ในมือ บนร่างกาย บนเสื้อผ้าและในรองเท้า แม้แต่เส้นผมของนางก็คงมีอาวุธไว้ป้องกันตนเองเช่นกัน
เยี่ยมมาก มีแค่เช่นนี้ที่จะทำให้เขาเบาใจลงได้
เขาดึงมือกลับมาและกลับไปนั่งอีกครั้งอย่างว่าง่าย นิสัยของสตรีผู้นี้เขามองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งไปส่วนหนึ่งแล้ว แม้นางจะไม่ฆ่าเขา แต่ก็ทำร้ายเขาได้ เย่ซิวตู๋รู้สึกได้ว่าช่างใจเหี้ยมนัก
ถึงอย่างไรขอแค่เขายังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย อวี้ชิงลั่วก็สามารถดึงเขาให้กลับมาจากเงื้อมมือของยมบาลได้
ตอนนี้ต้องเข้าวังก่อน ตามหาหนานหนานให้เจอเป็นสิ่งสำคัญ เขาไม่อยากให้เกิดพายุนองเลือดระหว่างทาง
เสียงรถม้าดังกุบกับเริ่มออกเดินทางไปสู่พระราชวัง อวี้ชิงลั่วจึงดึงเท้ากลับมา ถลึงตาใส่เขาด้วยท่าทางดุดันอีกครั้ง หลังจากรักษาระยะห่างกับเขาแล้วจึงเงียบเสียงลง การเคลื่อนไหวของรถม้าทำให้ศีรษะของนางโยกไปมาด้วย
โชคดีที่ตั้งแต่ตำหนักซิวอ๋องจนถึงพระราชวัง เย่ซิวตู๋ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น จึงทำให้อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
รถม้าจอดลงตรงหน้าประตูราชวัง ทหารคุ้มกันมองดูเพียงปราดหนึ่ง เมื่อพบว่าเป็นท่านอ๋องซิวจึงรีบเปิดทางให้โดยเร็ว
หลังจากลงมาจากรถม้าแล้ว อวี้ชิงลั่วจึงเงยหน้าขึ้นและเริ่มสำรวจพระราชวังที่อยู่ตรงหน้า
อาณาจักรเฟิงชางคืออาณาจักรที่มีเศรษฐกิจดีที่สุดในบรรดาอาณาจักรทั้งสี่ หลังจากฮ่องเต้คนปัจจุบันขึ้นครองราชย์ มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร ด้วยเหตุนี้มาตรฐานในการดำรงชีพของเมืองหลวงรวมถึงทั้งอาณาจักรจึงดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าพระราชวังยิ่งมีความประณีตงดงามและร่ำรวย ร้อยบุษบาบานสะพรั่งก็ว่าได้
อวี้ชิงลั่วไม่เคยเข้าวังมาก่อน นางเคยเข้าไปในพระราชวังของอาณาจักรเทียนอวี่แล้ว แม้ว่าจะมีความตระหง่านยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่ารายละเอียดบางอย่างกลับไม่ได้มีรอบด้านเหมือนอาณาจักรเฟิงชาง
“เด็กรับใช้ไม่ควรเงยหน้ามองไปทั่ว” จู่ ๆ ด้านหน้าก็มีเสียงล้อเลียนทุ่มต่ำดังขึ้น
เท้าของอวี้ชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย แค่นเสียงเบา ๆ หนึ่งเสียง ทว่าก็ยังเลือกที่จะเก็บสีหน้า แค่นี้ก็ถือว่าไว้หน้าเขาแล้ว
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก่อน หลังจากนี้อีกหนึ่งเค่อ[1] ข้าจะกลับมา” ในเมื่อเข้ามาในวังแล้ว ก็ต้องทำเข้าไปคารวะฮ่องเต้สักหน่อย มิเช่นนั้นคงได้ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์
อวี้ชิงลั่วตอบ ‘อืม’ เสียงเบา รออยู่ด้านนอกคู่กับเสิ่นอิง ก้มหน้ามองบันไดหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
หลังจากยืนรอได้ห้านาที จู่ ๆ ข้อศอกก็ถูกกระแทกเบา ๆ ข้างหูได้ยินเสียงของเสิ่นอิงที่ตั้งใจกดเสียงให้เบาลง “แม่นางอวี้ เหมิงกุ้ยเฟยมาแล้ว พวกเราต้องคุกเข่าลง” เสิ่นอิงขมวดคิ้วและกระซิบเพิ่มอีกหนึ่งประโยคว่า “คาดว่าคงได้ยินเรื่องที่ท่านอ๋องเข้ามาในวัง จึงเดินทางมาถึงห้องตำราหลวง”
เหมิงกุ้ยเฟย? อวี้ชิงลั่วช้อนสายตาขึ้นเล็กน้อย จึงพบกับสตรีนางหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดหรูหราเดินตรงมาทางนี้พร้อมกับกลุ่มนางข้าหลวงและขันที
สตรีผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นมารดาแท้ ๆ ของเย่ซิวตู๋ ทั้งลักษณะและรูปลักษณ์นี้ดูคล้ายกันมาก
“ถวายบังคมเหนียงเหนียง” ทั้งสองคนโค้งกายลงพร้อมกัน ปฏิบัติด้วยท่าทางให้เกียรติรอให้เหมิงกุ้ยเฟยเดินตรงเข้าไป
เพียงแต่ กระโปรงที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมของเหมิงกุ้ยเฟย ตอนที่ผ่านตรงหน้าพวกเขากลับหยุดลงอย่างฉับพลัน
อวี้ชิงลั่วก้มหน้าลง ทว่ากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้ากำลังกระจายแรงกดดันอันทรงพลังออกมา บุคคลผู้นี้ไม่แปลกใจเลยที่เป็นแม่ลูกกับเย่ซิวตู๋ ล้วนเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ใครละเลยได้ตามอำเภอใจ
“เจ้าคือผู้อารักขาข้างกายซิวเอ๋อร์หรือ?” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของทั้งสอง
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก ก้มหน้าไม่พูดไม่จา นางรู้ดีว่าคำพูดนี้คงกำลังคุยกับเสิ่นอิง
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยคือเสิ่นอิง” เสิ่นอิงชะงักไปครู่หนึ่ง คุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่งด้วยหลังที่ยืดตรง ศีรษะก้มลงเล็กน้อย ทว่ายังอยู่ในท่าทางที่สง่างามในฐานะคนของจวนซิวอ๋อง การเผชิญหน้ากับคำถามของเหมิงกุ้ยเฟย เขายังคงกล่าวอย่างสุภาพ
เหมิงกุ้ยเฟยยิ้มหนึ่งเสียง “เราได้ยินมาว่า เมื่อวานซิวเอ๋อร์ได้ไปเจอกับหมอปีศาจที่โรงเตี๊ยมเยว่หมิง ตอนนั้นเจ้าอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่?”
เสิ่นอิงใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ความรู้สึกไม่ค่อยดีจาง ๆ พุ่งเข้ากลางใจ เพียงแต่ เขาเองก็ทราบดีว่าตอนนี้เขาไม่สามารถหลบหลีกได้
“ข้าน้อยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ?” เสียงของเหมิงกุ้ยเฟยเย็นชายิ่งขึ้น กระโปรงของนางขยับมาด้านหน้าเล็กน้อยครึ่งชุ่น[1] ยังคงก้มหน้ามองพวกเขาทั้งสองคนจากที่สูง “ในเมื่ออยู่ด้วย เหตุใดเจ้าถึงไม่โน้มน้าวใจท่านอ๋องสักหน่อย? อาจารย์เสิ่นเป็นคนที่เราและฝ่าบาทเชิญเข้าวัง ทักษะทางการแพทย์ของเขาได้รับการยอมรับจากฝ่าบาทและเราแล้ว ซิวเอ๋อร์เป็นคนของราชวงศ์ กลับกังขาสงสัยอาจารย์เสิ่นเช่นนี้ขณะอยู่ข้างนอก นี่ไม่เท่ากับตบหน้าฝ่าบาทและเราหรอกหรือ?”
มุมปากของอวี้ชิงลั่วแอบกระตุกวูบ คำพูดนี้จะว่าไปก็ถูก ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมเยว่หมิง เย่ซิวตู๋ทำท่าทางไม่ยอมรับตาเฒ่าแซ่เสิ่นต่อหน้าประชาชน นั่นมิเท่ากับแอบชี้ว่าฮ่องเต้และเหมิงกุ้ยเฟยโง่เขลาถึงขั้นสุดจนถึงขั้นถูกตาเฒ่าที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดหลอกหรอกหรือ?
ทว่าเรื่องจริงก็คือเหมิงกุ้ยเฟยและฮ่องเต้โง่เขลาเกินไปจริง ๆ ถึงได้เห็นนักต้มตุ๋นที่ไม่สามารถแม้แต่จะถอนพิษที่อยู่บนตัวของเย่ซิวตู๋เป็นหมอปีศาจได้ เช่นนี้อวี้ชิงลั่วอย่างนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
“ข้าน้อย…”
“ซิวเอ๋อร์ทำตัวเอาแต่ใจตัวเอง เจ้าในฐานะคนข้างกายของซิวเอ๋อร์ ไม่รู้จักโน้มน้าวใจหรือห้ามปรามเขาสักหน่อยเชียวหรือ? เช่นนั้นเรายังต้องการสวะอย่างพวกเจ้าไปไว้เพื่ออะไร?” เหมิงกุ้ยเฟยไม่ให้โอกาสเสิ่นอิงได้พูดอะไร นางเปล่งเสียงเพื่อพูดแทรกอีกฝ่าย น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นความดุดันและหนาวเหน็บ “ข้างกายของซิวเอ๋อร์มีคนแบบพวกเจ้า จึงทำให้เขาไม่เชื่อฟังคำพูดของเรา ความคิดจึงกลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เปลี่ยนเป็นอันธพาลไร้ความสามารถคนหนึ่ง”
อวี้ชิงลั่วเกือบจะหัวเราะออกมา เย่ซิวตู๋เป็นแค่อันธพาลไร้ความสามารถคนหนึ่ง? เหมิงกุ้ยเฟยคนนี้ ไม่ชอบลูกชายของตนเองมากขนาดไหนกันนะ?
ต่อให้ลูกชายนิสัยแย่กว่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาเช่นนี้ หนานหนานของนางแม้ว่าจะเอาแต่ตดและไม่เชื่อฟังนาง ทำทุกอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาตและเอาแต่กิน ทว่าเขาก็เป็นบุตรชายที่นางภาคภูมิใจ
เสิ่นอิงเม้มปาก ทราบดีว่าเหมิงกุ้ยเฟยกำลังใช้โอกาสสร้างปัญหา จงใจทำให้เขาลำบากใจ
“ดูเหมือนว่าเราคงปล่อยให้ซิวเอ๋อร์ทำตัวเสเพลเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้วสิ ในเมื่อผู้อารักขาอย่างพวกเจ้าไร้ซึ่งความสามารถ มีแต่จะเป็นตัวถ่วงให้ท่านอ๋อง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป ทหาร จับตัวไป”
เหมิงกุ้ยเฟยยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นชา ท่าทางแอบดูโหดเหี้ยมขึ้นเล็กน้อย สายตาที่มองเสิ่นอิงแฝงด้วยความอาฆาตพยาบาทลึก ๆ
อวี้ชิงลั่วรูม่านตาหดเล็ก คิ้วขมวดเข้าหากันจนกลายเป็นปม มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนพื้นกำไว้แน่นโดยไม่ปรากฏร่องรอยให้เห็น
…………………………………………………………………………………………………………………….
[1] หนึ่งเค่อ (一刻) เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล
[2] ชุ่น (寸) หน่วยวัดหมายถึง นิ้ว
สารจากผู้แปล
นังกุ้ยเฟยนี่จะหาเรื่องอะไรอีก ขนาดลูกตัวเองยังวางแผนฆ่าได้ลงคอ
ไหหม่า(海馬)