บทที่ 156 ถึงกินได้ก็ไม่อยากกิน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 156 ถึงกินได้ก็ไม่อยากกิน

หนึ่งปีผ่านไฟ แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจก็ยังเหมือนเดิม

หลังจากมีไฟฟ้าใช้ ไม่ถึงสองวันก็จะเป็นเดือนสิบสอง

เป็นช่วงเวลาที่ชาวไร่ชาวนามีความสุขที่สุดเสมอมา เพราะนอกจากจะได้ธัญพืชแล้ว ยังไม่ต้องออกไปทำงานอีกด้วย

โดยเฉพาะในปีนี้ที่เหล่าสมาชิกหงซินมีความสุขกันมาก

เนื่องจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทุกครัวเรือนจึงได้รับธัญพืชมากกว่าเดิมเป็นพิเศษถึงหลายสิบจิน

เป็นปีที่รุ่งเรืองปีหนึ่ง

บ้านซูก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาต่างมีความสุขกันมา

คุณย่าซูเอาหยิบข้าวสาลีที่ได้มาในปีนี้เอามาครึ่งหนึ่ง แล้วให้ลูกชายคนรองกับคนเล็กโม่เป็นแป้ง

“แม่ ทำไมโม่ข้าวเยอะขนาดนั้นล่ะครับ?” ซูเหล่าต้ามองเมล็ดธัญพืชหลายร้อยกว่าจินแล้วเอ่ยถาม

ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยโม่ครั้งเดียวเยอะขนาดนี้เลย มากสุดคือห้าสิบกว่าจิน

“ไม่ใช่ว่าปีนี้มีข้าวสาลีมากหรอก แต่แม่คิดว่าช่วงปีใหม่จะนึ่งซาลาเปาแป้งสาลีเยอะหน่อย ให้พวกสะใภ้เอากลับไปฝากที่บ้าน หลายปีมานี้เขาไม่ได้เอาอะไรดี ๆ กลับไปเลย ปีนี้ให้พวกเธอเอากลับไปสักสิบลูก ไก่ป่าหนึ่งตัว แล้วก็กระต่ายป่าอีกตัวกลับไป”

เหลียงซิ่วที่กำลังง่วนอยู่กับการเอาข้าวสาลีขึ้นเกวียนรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยิน

ชีวิตบ้านซูที่ผ่านมาลำบาก ตอนที่ได้กลับไปบ้านพ่อแม่นั้น อันที่จริงไม่เคยถืออะไรติดไม้ติดมือไปเลย

แต่ซาลาเปาขาวล้วนเป็นของชิ้นใหม่ ไม่ต้องพูดถึงไก่กับกระต่ายเลย

“ที่แม่พูดมีเหตุผลครับ” ซูเหล่าต้าไม่ใช่คนใจแคบเหมือนกัน

ถ้าสถานะบ้านไม่ดีก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้มีแล้วจะให้ลูกสะใภ้เสียหน้าได้อย่างไร

“ไม่รู้ว่าฟาร์มไก่จะแจกจ่ายไข่ไก่ในปีนี้ไหม” ซูเหล่าเอ้อร์เอียงหัวคิด

ถ้าแจกเป็นรายคนในช่วงปีใหม่ ชีวิตที่บ้านจะดีขึ้นมาก

“บ้านเรามีไก่หกตัว เก็บได้ห้าหกฟองต่อวัน ตัวเองได้กินแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ?” คุณย่าซูว่าพลางมองลูกชายคนรอง

“แม่ ดูที่แม่พูดสิ ไข่เยอะหรือเนี่ย?” เขารีบถาม

“พ่อรอง จากนี้บ้านเราจะได้กินไข่กันทุกวันค่ะ ต้ม นึ่ง ทอด เอาให้เบื่อไปเลยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนได้ยินบทสนทนา จึงดึงชายเสื้อซูเหล่าเอ้อร์แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

พอได้ยินก็อุ้มหลานสาวขึ้นมา “โอ๊ะ พ่อได้ยินเสี่ยวเถียนบอกแบบนี้ พ่อจะรอวันที่เบื่อกินไข่นะ”

ซูเหล่าเอ้อร์ในตอนนี้ไม่รู้ว่า หลังจากนี้อีกกี่ปีเขาถึงจะเบื่อกินไข่จริง ๆ แต่ตอนนี้อย่างมากสุดก็คิดแค่ว่าเสี่ยวเถียนจะคิดเหมือนกัน

ตอนที่เหล่าสมาชิกง่วนอยู่กับการโม่แป้งทำซาลาเปา ผู้อำนวยการหลี่ก็มาที่หงซินด้วยตัวเอง

ครั้งนี้ที่มา ยังลากรถไข่ไก่มาด้วย

เนื่องจากใกล้วันปีใหม่ ในฐานะที่เป็นคนให้ความสำคัญกับมารยาทจึงไม่มามือเปล่า

หลี่ฉางชิ่งนำขนมไข่มาให้ด้วย

เขานำไข่มามากกว่ายี่สิบจิน และเพื่อแสดงความขอบคุณต่อคนที่ทำงานหนักในฟาร์มไก่

ดูเหมือนจะถุงใหญ่ แต่พอแบ่งรายคนแล้วได้คนละสองจิน

ทว่าก็พอให้พวกเด็กสาวพวกสะใภ้มีความสุขมาก

ชาวชนบทส่วนใหญ่ลังเลจะซื้อขนมอบอย่างขนมไข่พวกนี้ มีหลายคนเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยได้กินมาก่อน

อย่างเช่นซางชุนหลานที่ไม่เคยได้กินมาก่อน พอเห็นแล้วไม่รู้ว่าทำไมถึงปรีดาขนาดนี้

“ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ผู้อำนวยการหลี่”

หวังเซี่ยงฮวาโดนพวกสะใภ้ดันออกไปแสดงความขอบคุณต่อหลี่ฉางชิ่ง

สะใภ้ใหญ่ยืนอยู่ตรงข้ามผู้อำนวยการอย่างงุ่มง่าม ถูมือไปมาอย่างอึดอัด

“คุณสุภาพเกินไปแล้ว ผมสิครับต้องขอบคุณพวกคุณที่ทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงพวกนี้ให้ดี” ผู้อำนวยการหลี่มีความสุขจนเกือบจะโง่เสียแล้ว

ถึงจะเห็นว่าใกล้ปีใหม่ แต่ภารกิจของโรงงานขนมไข่ยังอีกยาวนาน

เพื่อระดมทุนหาไข่ไก่ เขากังวลมากจนผมแทบร่วง

โชคดีที่ในช่วงเวลาวิกฤตที่สุด เขาได้รับข่าวว่าหงซินเก็บไข่ได้หลายพันฟอง จึงคิดหาวิธีให้ส่งไปที่อำเภอ

แต่ในตอนแรกลงนามสัญญาไว้ดีแล้วว่า ชุมชนการผลิตหงซินไม่มีหน้าที่ส่งสินค้า ดังนั้นเขาจึงจัดคนมารับแทน

แต่หวังเซียงฮวาเป็นคนรั้น ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะสนทนากับคนอื่นอย่างไร จึงมีท่าทางเย็นชา

ในตอนที่กำลังอึดอัดจนถึงที่สุด หัวหน้าซูก็มาพอดี

“ผู้อำนวยการหลี่จัดคนมาก็พอแล้วครับ ทำไมต้องมาด้วยตัวเองด้วยเล่า?” ซูฉางจิ่วยิ้มอย่างสุภาพมาก

นี่คือลูกค้ารายใหญ่ของหงซินเรา แค่มีโรงงานขนมไข่ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว นอกจากส่งให้ทางชุมชนใหญ่ ที่เหลือก็ส่งให้กับโรงงานขนมไข่ก็พอ

“ต้องมาแสดงความขอบคุณด้วยตัวเองอยู่แล้วสิครับ ขอบคุณคุณมากจริง ๆ หัวหน้าซู” หลี่ฉางชิ่งยื่นมือออกมาจับคนตรงข้ามแน่น

การกระทำดังกล่าวทำเอาซูฉางจิ่วทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ

ผู้อำนวยการหลี่รู้สึกตื่นเต้นมาก สายตาที่มองเต็มไปด้วยความขอบคุณราวกับเห็นผู้กอบกู้ก็มิปาน

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาทำทุกวิถีทาง หาคนมาเยอะมากแล้วก็ได้ไข่มาส่วนหนึ่ง แต่ขนมไข่ต้องการไข่จำนวนมาก แต่มันน้อยเกินกว่าจะช่วยได้

แต่ตอนนี้ดีแล้ว เรามีไข่แล้ว ขนมไข่จะขาดอีกหรือ?

เขามีความมั่นใจมากพอที่จะพัฒนาโรงงานขนมไข่

ก่อนปีใหม่จะต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อผลิตขนมไข่ไก่ให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนในอำเภอได้กินกัน!

“ผู้อำนวยการหลี่ ถ้าโรงงานของคุณเพิ่มการผลิตแล้ว อยากจะได้คนงานหรือเปล่าครับ” ซูฉางจิ่วถูมือแล้วถามสิ่งที่กลั้นไว้ในใจออกมา

หลี่ฉางชิ่งเป็นคนฉลาด และเขาเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“หัวหน้าซู ถ้าคุณไม่พูด ผมก็ลืมไปแล้วนะ ยังต้องการคนงานอยู่จริง ๆ ครับ แม้โรงงานเราจะมีคนอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็นับว่าน้อยอยู่ดี ถ้าได้คนของหงซินที่มีความสามารถและขยันขันแข็ง รู้หนังสือ โปรดแนะนำให้ผมหน่อยครับ ไม่ต้องมากก็ได้ สักสี่ห้าคนก็พอครับ”

เดิมทีช่วงนี้หลี่ฉางชิ่งวางแผนจะรับสมัครคนงานอยู่แล้ว แต่เพราะคนหงซินได้พูดถึงปัญหานี้มาแล้ว ถึงให้หน้าพวกเขาตรง ๆ และเอาโอกาสหางานมาให้

ซูฉางจิ่วแค่ถามเฉย ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่า ผู้อำนวยการแกก็ตอบตกลงจริง ๆ แล้วยังขอสี่ห้าคนอีก

ตอนนี้แหละที่ถึงคราวที่เขาจะมีความสุข

หลี่ฉางชิ่งยังไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าซูเป็นพิเศษด้วย ก่อนจะบอกว่าหัวหน้าเฉินจะมาหาในอีกสองวันหลังจากทำงานเสร็จ

คนชราทั้งสองขอบคุณผู้อำนวยการ เพราะอีกฝ่ายเอาของขวัญมาให้ไม่น้อยเลย คุณย่าซูจึงมอบไก่ป่าตัวหนึ่งเป็นการตอบแทน

หลี่ฉางชิ่งรับมันด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสอง ไก่ป่าเป็นของดีหายากจริง ๆ ครับ!”

“ไม่มีค่าหรอก ไม่เท่าของขวัญที่คุณให้มาด้วยซ้ำ ได้โปรดอย่ารังเกียจเลยนะ!” คุณปู่ซูพูดอย่างสุภาพ “แค่ครั้งหน้าไม่ต้องเอาอะไรมาก็พอครับ”

แม้ว่าผู้อำนวยการหลี่จะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่คุณปู่ซูกลับรู้ว่านี่เป็นของที่เฉินจืออันให้ส่งมาให้

จะรับก็ไม่ได้ ไม่รับก็ไม่ได้

“บอกตามตรงว่าผมเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก โตมาด้วยการกินข้าวกับหลายครอบครัว พอเห็นผู้อาวุโสทั้งสองแบบท่านแล้ว ผมรู้สึกใจดีเหมือนกับได้พบพ่อแม่ของตัวเอง”

สิ่งที่หลี่ฉางชิ่งพูดทำให้คุณปู่ซูพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

แต่เหมือนเขาจะไม่ทันสังเกตเห็นแล้วว่าต่อ “ตอนนั้นพ่อแม่ผมจากไปแล้ว โชคยังดีที่มีคนใจดีช่วยไว้ ถึงได้รอดชีวิตมาได้”

“วันเวลาเปลี่ยนผันไปแล้ว และคนที่ช่วยผมไว้ในตอนนั้นไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

“พอได้ยินคนบอกว่า ผู้อาวุโสเช่นทั้งท่านสองเคยช่วยคนมามาก เลยอยากจะสนิทให้มากกว่านี้ครับ”

“หากคนที่ท่านทั้งสองเคยช่วยและผมคิดแบบเดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจตอบแทนความใจดีที่เคยช่วยชีวิตไว้เมื่อตอนนั้นก็ได้นะครับ”

สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

พ่อแม่ของหลี่ฉางชิ่งจากไปก่อนเวลาอันควร และเขาเติบโตขึ้นมากับคุณลุงคุณป้า แต่พวกเขารักลูก ๆ ของตัวเองมากกว่า และไม่ได้สนใจหลานแบบเขาด้วย บางครั้งข้าวสักมื้อยังไม่ให้กินเลย

หลี่ฉางชิ่งตั้งใจทำงานด้วยตัวเอง พออายุถึงสิบขวบก็ไปเข้ากองทัพ

ตอนอยู่ในกองทัพ เขาได้พบกับเซี่ยงฮุ่ยและได้แต่งงานกัน กระทั่งปลดประจำการ หลี่ฉางชิ่งไม่ได้กลับบ้านเกิดเลย แต่ตามไปกับภรรยาแทน

เพราะผลงานที่ทำในสงคราม เลยทำให้เขาได้งานทำดี ๆ กอปรกับขยันมาก จึงประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

หลังจากที่หลี่ฉางชิ่งพูดแบบนี้ คุณปู่คุณย่าซูก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น

พอส่งหลี่ฉางชิ่งไปแล้ว ซูฉางจิ่วกำลังคิดจะเปิดการประชุมกับพวกเจ้าหน้าที่ เพื่อดูที่ของโรงงานขนมไข่ว่าจะกำหนดอย่างไร ทว่าก็ได้ยินข่าวดีอีกอย่าง