ฉินจิ่วเกอตื่นตกใจ เผลอส่งหมัดเหล็กไหลของตนออกไปตามสัญชาตญาณ รอจนอีกฝ่ายเข้าใกล้ ฉินจิ่วเกอถึงค่อยเผยสีหน้าราวกับกลืนแมลงวันลงไปทั้งเป็น บัดซบ ทำไมไม่บอกว่าเป็นกลั่นดวงธาตุ!

ปง!

ร่างสูงปะทะพัวพันกับฉินจิ่วเกอ ตอบโต้กันไปมา สุดท้ายฉินจิ่วเกอก็ถูกตุ๊ยเข้าที่ท้อง

“พี่ฉิน!” ซ่งเล่อแตกตื่นพรึงเพริด ราชันทลายสวรรค์สำแดงพลัง คลื่นพลังไพศาลกระแทกใส่แผ่นหลังของศัตรู

ลั่วเฉินช้ากว่าครึ่งอึดใจ มันชักกระบี่ที่ข้างเอวออกมา ใช้ออกด้วยมหานทีสะบั้นสุริยัน ส่งเคล็ดวิชาเข้าหาร่างสูง อากาศรอบด้านสั่นสะเทือน

ฉินจิ่วเกอร่างพลิกตลบกลบหงาย ก่อนร่วงกระแทกเข้ากับพื้นศิลาจนแตกระแหงเป็นทางยาว สะเก็ดหินถูกป่นจนเล็กละเอียด ไม่นานก็สลายกลายเป็นผง

คุกเข่ายันพื้น ฉินจิ่วเกอกุมท้อง กระอักน้ำรสชาติแปร่งปร่าออกจากปาก ศีรษะหมุนคว้างเล็กน้อย

หากไม่ใช่ว่าตัวมันมีเคล็ดหมื่นมารทมิฬคุ้มกายอยู่ หมัดเมื่อครู่คงระเบิดร่างมันจนแตกตายไปแล้ว ความต่างชั้นระหว่างกลั่นดวงธาตุและพิสุทธิ์ไพศาลเป็นที่ประจักษ์ได้ทันที

ตอนที่มันเอาชัยเทียนหมิงเสียได้ ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะโชค รวมทั้งการที่อีกฝ่ายไม่มีร่างอมตะผนึกทองคำด้วย

นั่นคือกายาที่ผ่านการขัดเกลาจากทัณฑ์สวรรค์และเพลิงปฐพี ไม่เพียงถือครองพลังวิญญาณข้นเหลว ยังมีสังขารอันแกร่งกร้าวชนิดที่สามารถแบกรับภูผาบรรพตได้ทีเดียว

ปงปง!

ซ่งเล่อล่าถอยพลางกระอักเลือดพลาง เพียงรับมือได้ครึ่งกระบวนท่า เคล็ดราชันทลายสวรรค์ก็สลายไป

ลั่วเฉินต่อยตีได้สามกระบวนท่า สีหน้าก็เริ่มไม่สู้ดี แม้จะอยากอัญเชิญมหาอสูรล้างโลกา แต่ในเมืองแบบนี้มันไม่อาจใช้ได้

“เจอข้าหน่อย!” ฉินจิ่วเกอรีบดีดนิ้วออก ผนึกไอมรณะจากเคล็ดหมื่นมารทมิฬเป็นกระบี่บิน ทิ่มเข้าใส่ร่างสูง

รูปแบบการฝึกปรือของผู้ฝึกวิชาปีศาจต่างจากคนทั่วไป สำหรับผู้ฝึกวิชาปีศาจนั้น ที่สำคัญที่สุดหาใช่การฝึกปรือ แต่เป็นคัมภีร์วิเศษ คัมภีร์ที่ว่า ก็คือเคล็ดลมปราณ นั่นต่างหากที่เป็นชีวิตของผู้ฝึกวิชาปีศาจ

เพราะผู้ฝึกวิชาปีศาจล้วนริบเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนเพื่อทดแทนข้อด้อยข้อเสียของพวกมัน คัมภีร์วิเศษของใครเหนือกว่า ก็แปลว่าคนผู้นั้นสามารถสยบยับยั้งคู่ต่อสู้ได้อย่างเหนือชั้น นี่ก็คือลิขิตฟ้า

เคล็ดลมปราณของฉินจิ่วเกอเป็นชั้นเจตจำนงสวรรค์ แต่ร่างสูงนั้นเป็นเพียงขั้นหกเท่านั้น ต่างชั้นกันราวเมฆหมอกและโคลนตม

ต่อให้ร่างสูงจะฝึกปรือผ่านการเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจจนบรรลุกลั่นดวงธาตุ แต่ความสะกดข่มทางเคล็ดลมปราณ เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่มี ดังนั้นการที่ฉินจิ่วเกอสามารถทะลวงการป้องกันของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เป็นเพราะไอขั้วลบของเคล็ดหมื่นมารทมิฬนั้นบริสุทธิ์กว่า

พรวด!

ร่างสูงร่างชะงักงัน จากนั้นรู้สึกเจ็บแปลบที่ช่วงท้อง เป็นความเจ็บปวดราวกับจะฉีกสะบั้นมันทั้งเป็น

จากนั้น ลั่วเฉินไร้ปราณี กระบี่เงินพุ่งตัดอากาศ ผ่าแยกมวลเมฆา น่าเสียดายผู้ฝึกวิชาปีศาจตนนี้มีกายาอมตะทองคำ คมกระบี่จึงไม่อาจทะลุผ่านชั้นป้องกันของมัน ทำได้แค่ตัดหนวดของอีกฝ่ายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ไม่นาน อันหยางก็กระโดดลงจากชั้นสอง มันขี้คร้านเกินกว่าจะไปใส่ใจผู้ฝึกวิชาปีศาจรูปลักษณ์สามานย์อีกคน แต่เจ้าคนตรงหน้านี้ คือผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกลั่นดวงธาตุ นอกจากน้ำหนักตัว มูลค่าด้านอื่นๆ ล้วนสำคัญกว่าเจ้าอ้วนแปดฉื่อนั่นเป็นไหนๆ

“พี่ฉินไม่ต้องกลัว อันหยางมาช่วยท่านแล้ว ผู้ฝึกวิชาปีศาจ มารับความตายแต่โดยดี!”

ซ่งเล่อที่กำลังพักฟื้นอยู่ด้านข้างพลันสะดุ้งโหยง มารดามันเถอะ ศัตรูอาฆาตไม่อาจเลี่ยงโดยแท้ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนที่ทุบตีตนเองหรอกรึ?

ฉินจิ่วเกอรู้สึกหัวสมองพองโต หากเรื่องนี้ถูกขุดคุ้ยไปถึงต้นตอแล้วละก็ ตนคงไม่พ้นถูกซ่งเล่อประหารชีพ เชื่อว่าต่อให้เป็นคนอื่นก็คงจะทำแบบเดียวกัน

“อย่าได้รำลึกความหลังอยู่เลย รีบมาเผด็จมารผดุงธรรมเร็วเข้า!” ฉินจิ่วเกอได้แต่ค่อยๆ ปรับตัวไปกับสถานการณ์ ไม่งั้นตนคงไม่แคล้วกลายเป็นศพ

อันหยางพยักหน้ารับ การจับกุมเจ้าคนร่างสูงนี้ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ ในโรงเตี๊ยมยังมีพิสุทธิ์ไพศาลอีกหลายคนที่ไม่กล้าเข้าใกล้วงต่อสู้ ด้วยกลัวว่าจะถูกลูกหลงจากกลั่นดวงธาตุขยี้ตาย แต่เมืองซวนอู่ที่เคยหลับใหลยามนี้ได้ตื่นขึ้นแล้ว ผู้ฝึกวิชาปีศาจตนนี้นับว่าไม่รอดแน่

“เดรัจฉาน เจ้าไม่ตายดีแน่!” มีคนตะโกนสาปแช่งมา

ซ่งเล่อพยุงทวน พลาอำนาจแผ่พุ่ง มันในชุดเกราะขาวหิมะ ส่องประกายงามสง่า “ตัวบัดซบ ได้ยินหรือไม่?”

“ฮ่าฮ่า พรรคโลหิตนภาเราไม่มีวันล้มเลิกฆ่าล้างเผ่ามนุษย์แน่ รอก่อนเถอะเมืองซวนอู่ นี่มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!” ร่างสูงพอเห็นว่าไม่มีทางหนี ก่อนสิ้นใจ ไม่ลืมออกปากข่มขู่พลางถลึงตาขู่เข็ญไปรอบด้าน

พลังกดดันจากกลั่นดวงธาตุชั้นสองของมันนั้น นอกจากฉินจิ่วเกอและอีกไม่กี่คน แทบไม่มีใครที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จำต้องเลื่อนสายตาโกรธเกรี้ยวไปทางอื่น

“พวกตัวตลก ความตายคืบใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว รอให้พรรคโลหิตนภาข้าเผยตัวออกมาเมื่อไหร่ พวกเจ้าก็จะ…”

“จะถูกขยี้จนเหลือแค่เศษเนื้อ ถูกหรือไม่” ฉินจิ่วเกอแคะหู ต่อประโยคให้จนจบ พรรคโลหิตนภายิ่งใหญ่ ชีวิตดีไปไกลๆ ชีวิตไม่สดใสเชิญเข้ามา

“เจ้ารู้ได้ยังไง?” ร่างสูงกำปั้นค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ คำพูดจุกในลำคอ ไม่อาจเอ่ยอะไรได้

ฉินจิ่วเกอนวดขมับ กล่าวต่อช้าๆ “แล้วก็ ข้าขอเดาว่าเดี๋ยวเจ้าก็จะบอก รอพรรคโลหิตนภาข้ายกทัพมาก่อนเถอะ อีกเดี๋ยว พวกเจ้าก็จะได้ตายไร้ที่กลบฝัง ใต้หล้าอาบย้อมด้วยโลหิตนภา”

ร่างสูงยิ่งฟังยิ่งโง่งม คำพูดพวกนี้คือคำที่มันจะพูดจริงๆ อีกฝ่ายตั้งใจจะแย่งมันทำมาหากินใช่หรือไม่?

“เจ้าไฉนถึงรู้ไปเสียหมด?”

ฉินจิ่วเกอถลกแขนเสื้อ บารมีกระหึ่มไกล “เฮอะ ข้าฉินจิ่วเกอท่องเหนือล่องใต้ มีอันใดไม่เคยเห็นบ้าง คำพูดพวกนี้ ข้าได้ยินตั้งแต่ตอนอยู่เมืองเทียนเอินจนหูชาไปหมดแล้ว พรรคโลหิตนภาเจ้าช่วยมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่”

“เจ้า เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ร่างสูงน้ำตาคลอเบ้า แม้แต่คนเลวยามพูดจา ยังไม่ตอกย้ำซ้ำเติมกันขนาดนี้

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีสักกี่คนสนใจคนเลวบ้าง

“เป็นพรรคโลหิตนภาเจ้าต่างหากที่รังแกผู้คน!” อาวุโสมู่หยวนสำแดงตนแล้ว อาภรณ์คลุมยาวในมือถือศิลาวิญญาณเปล่งแสง สำแดงถึงพลังกลั่นดวงธาตุขั้นห้า อำนาจสูงสุดแห่งเมืองซวนอู่

มีมันอยู่ ร่างสูงย่อมตายตกอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว จุดจบของเรื่องราวคล้ายว่าจะไม่ค้างเติ่ง

“นับแต่เมืองเทียนเอิน พี่ฉินยังสง่างามไม่แปรเปลี่ยน” หลังจัดการร่างสูงได้แล้ว อันหยางก็หันมาประคองมือทักทายฉินจิ่วเกอ

อันติงหลันถลาลงมาจากข้างบน นิ้วชี้มาทางฉินจิ่วเกอแล้วเปล่งเสียงดัง “ท่านพี่ เป็นมัน เป็นมันนี่แหละ”

ซ่งเล่อลุกขึ้นยืนด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา พบเห็นอันหยาง แววตาก็มีแต่ประกายฆ่าฟัน

ฉินจิ่วเกอรีบเปิดปากกล่าววาจา “ข้าแซ่ฉินก็จริง แต่ไม่ได้เรียกฉินปาเตาเด็ดขาด”

อันหยางผงกศีรษะ “ข้ารู้ มาๆ ข้าแนะนำให้เจ้ารู้จัก พี่ฉินท่านนี้คือสหายที่สัตย์ซื่อจริงใจยิ่งของข้า”

ซ่งเล่อยกมือลูบรอยฟกช้ำที่ยังไม่จางหายตรงหางตามัน “พี่อันหยางท่านนี้ ผู้น้อยซ่งเล่อ มีคำถามที่อยากจะถามท่านเหลือเกิน เหตุไฉนท่านถึงต้องลงไม้ลงมือกับข้าที่หน้าประตูหายนะด้วย”

อันติงหลันชี้นิ้วมาทางฉินจิ่วเกอ “ท่านพี่ คนผู้นี้ก็คือศัตรูที่ข้าเรียกท่านให้ไปจัดการ!”

“อ๋า?” อันหยางตะลึงตาค้าง “มันไม่ได้เรียกฉินจิ่วเกอหรือ กลายเป็นฉินปาเตาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ลั่วเฉินเองก็ตาโต “เหตุใดถึงเรียกมันว่าฉินปาเตา?”

ซ่งเล่อโทสะพุ่งปรี๊ด “เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าทำไมต้องทำร้ายข้าด้วย!”

อันติงหลันส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้ “เอ้อ ท่านไม่ทราบนามว่ากระไรรึ?”

ซ่งเล่อยกมือลูบบาดแผลแห่งชีวิต ขบฟันกล่าวกรอด “ข้าศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะ ซ่งเล่อ!”

“งั้นมันเล่า?” นัยน์ตาของอันติงหลันกลอกไปมาเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยยิ้ม นางคล้ายเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง

“มัน?” คิ้วกระบี่ของซ่งเล่อเลิกขึ้นสูง “ก็ฉินจิ่วเกอไง!”

ลั่วเฉินถามคำถามสำคัญ “ขอบังอาจถามท่านทั้งหลาย ฉินปาเตาที่ท่านว่านี้ ที่แท้เป็นใครกันแน่?”

“ทุกสิบก้าวต้องมีคนตกตาย พันลี้ไร้ปราณี หลังเสร็จเรื่องสิ้นราว จึงจากไปโดยไม่สนลาภยศ” ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจด้วยความเลื่อมใส

ทุกคนในที่นั้นเป็นต้องยืดอกยืดเอว สีหน้าเคร่งขรึม องคาพยพเกร็งขมึง “ขอถาม ผู้สูงส่งคนนี้ ไปอยู่ที่ใดแล้ว?”

ฉินจิ่วเกอถอนใจอย่างอาลัย “แน่นอนว่าเป็นเพียงบุคคลสมมติ จริงสิ หากข้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าย่อมไม่พลาดลองพิจารณานามอหังการนี้ดูสักหน่อย”

“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง!” อันหยางนัยน์ตาปะทุด้วยเพลิงแห่งความแค้น มารดามันเถอะ เจ้านี่ต่างหากจึงจะเป็นคนที่มันต้องจัดการ

เช่นนั้น เจ้าคนอับโชคที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้นั้น ก็คือซ่งเล่อตัวจริง สภาพจิตใจมันตอนนี้ ไม่อาจสรรหาคำมาอธิบายได้

“ทุกท่านต่างก็เป็นผู้ฝึกตน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า อย่าถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกันเลย!” ฉินจิ่วเกอในที่สุดก็ต้องงัดไพ่กลมกลืนไปกับคลื่นมนุษย์แหวกว่ายหนีไป สองมือกุมเหนือศีรษะ ในใจร่ำร้องอาดูร

บัดซบ ถึงกับมีผู้ฝึกวิชาปีศาจซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมจริงๆ ข้าตัดสินใจแล้ว นับแต่วันนี้ไป ข้าจะเป็นผู้ฝึกตนอันชอบธรรม ฝึกปรือสั่งสมศิลาวิญญาณ ล่าสังหารผู้ฝึกวิชาปีศาจ

“อ๋า เถ้าแก่ ท่านเป็นอะไรไปแล้ว?”

ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนกำลังจะรุมประชาทัณฑ์ฉินจิ่วเกอ พระเอกรับชมความสนุกอยู่วงนอกอยู่นั้น เถ้าแก่ประจำโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์อยู่ๆ ก็ทำตาโต นัยน์ตาแทบปริถลน ยกมือกุมอกแล้วหงายผลึ่งไปข้างหลัง

เห็นเถ้าแก่ล้มทั้งยืน หลายคนเป็นต้องร้องตื่นตกใจ พอหันตามสายตาของเถ้าแก่ ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

จากนั้นเสียงสูดลมหายใจหนาวเหน็บก็ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน ทันใดนั้น พวกมันก็รู้สึกเหมือนมีคนเอาหินขนาดเท่าฝาบ้านมาทุ่มใส่หัว

สายลมเหมันต์กรีดหวัดหวิว ตัวอักษรมนุษย์ถูกเปลี่ยนไปแล้ว!

“ระ โรงเตี๊ยมขันที?” แทบจะในทันที เหล่าบุรุษที่เข้าพักเป็นต้องลดมือปิดอวัยวะส่วนล่าง จากนั้นก็ถอยกรูดด้วยความครั่นคร้าม

แม้แต่อาวุโสมู่หยวนพอได้เห็น ยังต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่สามส่วน ลอบก่นด่าผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่หลายคำ

ศิษย์น้องเล็กกระโดดหยองแหยงมาถึง จับจูงมือหรงเคอเคอมาด้วยกัน เจ้าอ้วนน่าตายพอเห็นพวกนาง ก็แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผยท่วงท่าปลอดโปร่งเหนือคนออกมา

ผู้เข้าพักยังคงร่ำร้องหาปู่ย่าตาทวดกันต่อไป สุดท้ายก็สามารถพาตัวเถ้าแก่ฟื้นจากความตายมาได้ โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์เป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ร่วมร้อยปีของเมืองซวนอู่ ตอนนี้ถูกผู้ฝึกวิชาปีศาจเปลี่ยนให้เป็นโรงขันที เถ้าแก่ไม่อาจทำใจยอมรับได้จริงๆ

พอเห็นอีกฝ่ายคืนสติกลับมาได้แล้ว ซ่งเล่อและอันหยางที่มีศัตรูคนเดียวกันก็หันมาถลึงตาใส่ฉินจิ่วเกอ แทบจับอีกฝ่ายกลืนลงท้อง

“ผู้แซ่ฉิน เจ้ากล้าหลอกข้า สารภาพมาให้หมดเดี๋ยวนี้!” อันติงหลันถลกแขนเสื้อ เผยให้เห็นท่อนแขนขาวนวลเหมือนรากบัว ก่อนยื่นมือมาดึงหูซ้ายฉินจิ่วเกอดังหมับ

“โอ๊ยยๆ” ฉินจิ่วเกอร้องเสียงหลง “ไทแรนโนซอรัส มีอะไรค่อยพูดค่อยจา สุภาพชนขยับปากไม่ขยับมือ!”

“มารดาจะขยับมือ มีปัญหา?” อันติงหลันค้นพบว่าตัวเองถูกหลอก ความรู้สึกดีๆ เสี้ยวสุดท้ายที่มีอยู่ในใจพลันมลายหายวับ

“งั้นเจ้าก็ไม่ใช่สุภาพชน!” สุภาพชนแซ่ฉินที่ยกหางตัวเองพิโรธขึ้นบ้าง กุมหน้าซีกซ้าย องคาพยพล้วนเคลื่อนไปกองอยู่ฝั่งนั้นหมดแล้ว

อันติงหลันพิโรธยิ่งกว่า แต่พอมาคิดดูก็รู้สึกว่าไม่ผิด สุภาพชนหรือไม่สุภาพชน กับยุคสมัยนี้ ที่จริงไม่มีค่าอะไรเลย เทียบไม่ได้แม้แต่ศิลาวิญญาณระดับต่ำครึ่งก้อนด้วยซ้ำ

ซ่งเล่อที่มองดูอยู่ด้านข้างรู้สึกเหมือนได้ระบายออก วิถีฟ้าคืนสนอง มลทินถูกชำระล้าง นับเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคน คู่ควรแก่การสะสางให้ขาวสะอาด

อีกอย่าง ซ่งเล่อที่หัวใจบอบช้ำเกลื่อนบาดแผลพลันตระหนักถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่ง บางครั้งสหายคนนี้ก็มีหลายหน้าเกินไป นี่เป็นตัวอย่างของการเลือกคบสหายโดยไม่ระวังจนต้องถูกตลบหลังเล่นงาน

ที่จริงพี่ฉินก็แค่เอาชื่อเสียงมันไปอวดอ้างหลอกลวงปวงประชา หากแต่ไม่ได้เอาไปปล้นฆ่าวางเพลิง ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ที่จริงถือเป็นบุคคลตัวอย่างในหมู่สุภาพชนคนหนึ่ง

นำสายตาที่ยังไม่หายแค้นจดจ้องไปที่อันหยาง จนอีกฝ่ายต้องสะดุ้งโบกมือกระวีกระวาด “สหายใจเย็นก่อน เรื่องนั้นข้าต้องขออภัยจริงๆ”

“งั้นให้ข้าทุบตีเจ้าจนเป็นหัวสุกร จากนั้นค่อยขอโทษเจ้าเป็นอย่างไร?” ซ่งเล่อแม้เป็นคนอ่อนโยน แต่ไม่ได้แปลว่าหลังจากที่เจ้าทุบตีข้าจนยับเยิน ข้าก็ยังหัวเราะฮาฮาแล้วบอกกลับไปว่าไม่เป็นไรได้