บทที่ 165 คุณเบาหน่อยสิ
ตกดึก ซู่จี้งยี้เคาะประตูห้องที่โรงแรม ได้เรื่องกลับมาแล้ว เขาทำงานได้รวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำให้ลี่จุนถิงผิดหวัง
ตอนที่เข้ามา ลี่จุนถิงกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้หัวโต๊ะ สีหน้าเคร่งขรึมเคร่งเครียด รอบตัวแผ่รังสีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ออกมา ทำให้ซู่จี้งยี้รู้สึกกลัวตัวสั่นขึ้นมา
ซู่จี้งยี้เดินไปตรงหน้าเขา “ผมสืบได้แล้วครับ นักเลงพวกนั้นยังไม่ทันถูกตีก็ยอมสารภาพซัดทอดถึงคนบงการแล้วครับ บอกว่ามีคนจ้างพวกเขา ให้พวกเขามาหาเรื่องครับ”
ลี่จุนถิงเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วทันที แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ให้ซู่จี้งยี้ได้พูดต่อ เขารู้ว่าซู่จี้งยี้สืบจนรู้แล้วว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังเป็นใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่กลับมาหาเขาด้วยความมั่นใจอย่างนี้
ซู่จี้งยี้มองไปยังลี่จุนถิง เงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง “คนบงการผมสืบได้แล้วครับ เป็นโค้ชของทีม AY”
เพิ่งพูดจบ ลี่จุนถิงก็เข้าใจได้ทันที อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เหอะ ทั้งหมดนี้กระจ่างแล้ว เป็นเพราะถวนจื่อชนะจนได้แชมป์มา โค้ชทีม AY เลยไม่พอใจ มิน่าล่ะไอนักเลงพวกนั้นถึงได้พุ่งเป้าไปที่มือของถวนจื่อ คนกระจอก ๆ อย่างนี้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีกล้ามาแหย่ตระกูลลี่ จำเป็นต้องสั่งสอนให้มันรู้สักหน่อยแล้ว ว่าคนอย่างฉัน แกไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!
ลี่จุนถิงยิ่งคิดสีหน้าก็ยิ่งโหดเหี้ยมขึ้น ใบหน้านั้นดูเย็นชา คำพูดฟังดูเย็นชามาก เขาสั่งออกไปว่า : “รีบไปจับตัวมันมา”
ซู่จี้งยี้รู้ดีว่าอารมณ์ของลี่จุนถิงเป็นยังไง จึงไม่กล้าชักช้าอิดออด รีบรับคำสั่งแล้วออกไปทันที
หลังจากที่ซู่จี้งยี้จากไป บรรยากาศภายในห้องของโรงแรมก็เงียบขึ้นมา เงียบราวกับกำลังซุ่มดักจับเหยื่อ รอจังหวะที่กระสุนของปืนลูกซองจะทะลุผ่านหน้าอกจนเลือดสาดกระเซ็น
……
ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ในห้องห้องหนึ่ง
ประตูที่หนาทึบถูกเปิดออกอย่างเร่งรีบ ผู้ชายร่างกำยำคนหนึ่งกำลังโอบเอวเพรียวบางของผู้หญิงคนหนึ่งไว้แน่น สภาพเหมือนสาวงามกับอสูรยังไงยังงั้น ชายคนนั้นกัดเข้าที่ซอกคอเรียวยาวของหญิงสาวอย่างหยาบกระด้าง พลางคลำหาคีย์การ์ดเพื่อเสียบเปิดประตู แสงไฟในห้องสว่างขึ้นทันที จากนั้นก็พลิกมือไปปิดประตู แล้วซวนเซตรงไปยังห้องนอนอย่างไว และได้ผลักหญิงสาวคนนั้นลงบนเตียงอย่างแรง
“ไอ้หยา คุณเบาหน่อยสิ” ที่คอถูกชายคนนั้นกัดเข้าแรง ๆ หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือที่ลูบหลังชายคนนั้นอยู่ได้ข่วนไปที่หลังเขาเบา ๆ
ชายคนนั้นหัวเราะออกมา แต่ไม่ได้เบามือลงเลย มือหนึ่งปิดตาหญิงสาวคนนั้นเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ได้เริ่มปลดเสื้อผ้าของหญิงสาว ผิวขาวราวหิมะได้ถูกเผยออกมา แถมหน้าอกที่ใหญ่นั้นช่างเย้ายวนให้คนหลงผิดเสียเหลือเกิน ริมฝีปากของชายคนนั้นอดไม่ไหวที่จะรีบเข้าไปแนบชิด สัมผัสไปจนทั่ว สูดดมอย่างสุดแรง ราวกับจะจมอยู่ในกลิ่นหอมนี้จนตาย
ถึงแม้จะพลาดเรื่องงาน แต่ไม่พลาดเรื่องบนเตียง ชายคนนั้นลูบไล้ไปตามเรือนร่างของหญิงสาวอย่างหยาบกระด้าง หญิงสาวที่อยู่ข้างล่างตัวเขาได้แต่หัวเราะชอบใจออกมา ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชาย เพราะเขาคือลูกค้า
ชายคนนั้นอยู่ ๆ ก็นึกถึงตอนที่อยู่ในร้านแล้วเลือกเธอออกมา ท่าทางเขินอายของหญิงสาวนั้นทำให้เขานึกขำขึ้นมา ทั้งที่เมื่ออยู่บนเตียงก็คล้อยตามอย่างดี เขาฟาดเขาที่เอวของหญิงสาวอย่างหนักหน่วง เพื่อให้ร้องอุทานออกมา
แทบจะไม่มีการเล้าโลมอะไร และไม่จำเป็นต้องเล้าโลมอะไรทั้งนั้น ทั้งสองคนก็รู้ใจกันมุ่งทำภารกิจกันทันที เพราะต่างก็มีประสบการณ์อย่างโชกโชน ไม่ใช่เด็กน้อยกันแล้ว
ไม่นานก็ตัวเปลือยกันทั้งคู่ ชายคนนั้นกวาดเสื้อผ้าทิ้งลงบนพื้น แล้วกดตัวหญิงสาวไว้ด้านล่าง สายตาบ่งบอกว่าเริ่มเกมจริงจังแล้ว หญิงสาวอยู่ ๆ ก็ขัดขืนขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “ปิดไฟก่อนสิคะ”
แสงสว่างรอบทิศทำให้หญิงสาวรู้สึกใจสั่น
ชายคนนั้นกลับกดขาหญิงสาวคนนั้นไว้แน่นแล้วยกขึ้นสูง “ไม่ปิดไฟ ฉันชอบเปิดไฟ เห็นชัด ๆ แบบนี้สิถึงจะตื่นเต้น”
เมื่อเข้าด้ายเข้าเข็ม หญิงสาวก็ได้ร้องออกมาตลอดเวลา ทั้งคู่นัวเนียกันไปมา แผ่นหลังของชายคนนั้นเต็มไปด้วยรอยแดงที่ถูกหญิงสาวข่วนเอา เมื่อเห็นหญิงสาวเคลิบเคลิ้ม ชายคนนั้นก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ออกแรงหนักมากขึ้น
ในหัวของชายคนนั้นเต็มไปด้วยหน้าของผู้หญิงที่ทำให้เขาอับอายเมื่อตอนกลางวัน เขาโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอับอายขายหน้า ผู้หญิงคนนั้นต้องตายแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ
หญิงสาวที่อยู่ด้านล่างตัวเขาได้ชกเบา ๆ ไปที่หน้าอกของเขา น้ำเสียงนุ่มนวลได้เอ่ยขึ้นมา : “ตั้งใจหน่อยสิคะ กำลังทำภารกิจสำคัญอยู่ ยังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่อีก”
ชายคนนั้นฮึดฮัดออกมา แล้วออกแรงต่อ เขารู้สึกร้อนวูบวาบไม่หยุด เหมือนจะพรั่งพรูออกมามากมาย
ขณะกำลังใกล้จะเสร็จภารกิจ อยู่ ๆ ประตูก็ถูกถีบออกดัง “ปึง” แล้วตามมาด้วยคนจำนวนหนึ่ง สวมชุดสูทรองเท้าหนัง สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
หญิงสาวกรีดร้องเรียกชายคนนั้นให้ได้สติ
ชายคนนั้นตกใจจนท่อนล่างหดไปหมด อั้นไหวจนไหลไม่ออก แล้วก็ลีบเหี่ยวไป
ชายคนนั้นรีบเอาผ้าห่มข้าง ๆ มาห่อตัวไว้ ชายคนนั้นโมโห แล้วกวาดตามองไปยังคนพวกนั้น แล้วตะคอกเสียงดังว่า : “พวกแกเป็นใครกัน?! ไม่รู้หรือไงว่าพวกฉันกำลังทำอะไรอยู่?”
ซู่จี้งยี้มองไปยังสภาพรกของห้องอย่างเฉยชา แล้วเดินเข้ามาด้านใน บนพื้นกระจัดกระจายไปด้วยเสื้อผ้า
หญิงสาวที่อยู่บนเตียงถูกคนกลุ่มนี้ทำให้ตกใจกลัวจนเอาผ้าห่มห่อตัวไว้แน่นแล้วหลบอยู่มุมเตียง รู้สึกได้ว่าสายตาพวกนั้นสามารถยิงเธอให้แหลกเป็นลูกเต๋าได้เลย
“เฮ้ย พวกแกไม่มีหูกันใช่ไหม?” ชายคนนั้นเห็นว่าคนพวกนี้ไม่ขยับไม่แยแส ไฟในใจก็ยิ่งลุกโชนไปใหญ่
ซู่จี้งยี้หัวเราะเยาะออกมา “พวกเรามาหาแกนั่นแหละ จับมันเอาไว้!” เมื่อโบกมือ คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พุ่งตัวไปยังชายคนนั้น
“เฮ้ย เฮ้ย!” ชายคนนั้นรีบถอยหลัง “พวกแกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? กล้าจับฉันเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าคนพวกนั้นไม่สนใจสักนิด ยังเข้ามาจับแขนเขาเอาไว้ ชายคนนั้นก็ร้องออกมา : “มาจับฉันทำไม พวกแกเป็นใครกัน?! ฉันไม่รู้จักพวกแกสักหน่อย ระวังว่าฉันจะแจ้งตำรวจจับ!” เขาดิ้นเหมือนปลาที่ขาดน้ำ
“แม่งเอ้ย พวกมึงรอให้กูใส่เสื้อผ้าก่อนไม่ได้หรือไง……” เสียงชายคนนั้นเงียบไป หัวเขาพับลง สลบไปทันที ซู่จี้งยี้เก็บมือกลับมา เขาสาบานได้ ว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ชายที่เอะอะโวยวายขนาดนี้มาก่อน ทำเอาเขาแสบแก้วหูไปเลย
ซู่จี้งยี้เอียงหน้าไปมอง “เอาตัวมันไป” แล้วปรายตามองหญิงสาวที่อยู่บนเตียง จากนั้นก็เดินออกไป
เมื่อโค้ชนั่นฟื้นขึ้นมา สถานที่ก็เปลี่ยนไปแล้ว ตัวนั้นยังอยู่ที่โรงแรม แต่การตกแต่งโดยรอบกลับไม่เหมือนเดิม โค้ชลูบคลำคอที่เจ็บปวด แล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง บนตัวเขามีเพียงผ้าห่มผืนเดียว ร่างกายล่อนจ้อน
หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ มีสติขึ้นมา ในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเขาแค่คนเดียว ด้านหน้าเหมือนมีอะไรกดดันอยู่ โค้ชเก็บความกลัวในใจเอาไว้แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง
ลี่จุนถิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หัวโต๊ะ ห่างจากโค้ชไม่ไกลนัก ระยะรัศมีสิบเมตรรอบ ๆ ตัวลี่จุนถิง มีรังสีแผ่ซ่านจนทำให้คนหายใจไม่ออก
สายตาของโค้ชจ้องมองลี่จุนถิง รู้สึกว่าคุ้นหน้าเหลือเกิน เขาขยี้ตาจ้องมองหลายรอบ นี่คือพ่อของถวนจื่อเหรอ?
เมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จัก ความตื่นตระหนกตกใจของโค้ชก็หายไป แล้วกลายเป็นความโมโหมาแทนที่ เขาถามด้วยเสียงกระโชกโฮกฮากว่า : “แกรู้หรือเปล่าว่านี่คือการลักพาตัว?”
โค้ชไม่ได้สำเหนียกตัวเองสักนิด ว่าเขากำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ