ตอนที่ 163 ฉันคือเถ้าแก่เนี้ยที่อารยธรรมพื้นเมือง 18

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 163 ฉันคือเถ้าแก่เนี้ยที่อารยธรรมพื้นเมือง 18

ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วผู้ปฏิบัติการความลับนี้คือวิกเตอร์

วิกเตอร์ผู้มีข่าวลือว่าเป็นบุตรนอกกฎหมายของคณบดีสถาบัน แท้จริงแล้วเขาเป็นลูกชายนอกกฎหมายของคณบดีของสถาบันฮั่วเลี่ย

นอกจากภายนอกจะเป็นดาราดังที่เจิดจรัสแล้ว เขายังต้องแอบทำความลับบางอย่างที่ผู้เป็นบิดามอบหมายให้ และครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับการค้นหามนุษย์ต่างดาว ซึ่งเขาปรารถนาที่จะทำมัน

เพราะชายหนุ่มรู้สึกคลางแคลงใจมาโดยตลอด

พวกเขาแอบสำรวจผู้คนทุกคนที่ติดต่อกับหยวนซิวเมื่อไม่นานมานี้ และสำรวจแม้กระทั่งเมืองที่หยวนซิวเคยแวะไปเยี่ยมเยียนมาก่อน

มีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่ติดต่อกับหยวนซิว นั่นคือพนักงานธุรการเพียงไม่กี่คน ส่วนที่เหลือเป็นมวลชนที่รวมตัวกันอยู่

สำหรับหยวนซิว เขาถูกจำกัดการพูดว่าตนเองมีตัวตนแบบไหน เขาเพียงพูดถึงว่าเขาเป็นอย่างไรเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก และได้รับประสบการณ์เฉพาะบุคคลอย่างไรบ้างเมื่อเขาเติบโตขึ้น ซึ่งมันทำให้พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก

นี่หมายความว่า? หมายความว่าความทรงจำทุกอย่างของพวกเขาเป็นเรื่องจอมปลอม!

สวี่หลิงอวิ๋นใช้พลังจิตของเธอเจาะเข้าไปในโรงพยาบาลโดยตรง ขณะที่โอคาซีอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเธอ

หญิงสาวสามารถมองเห็นผู้คนที่ดูคล้ายคลึงกับญาติของผู้ป่วยได้จากทุกซอกทุกมุมของโรงพยาบาล แต่ความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นแอบใส่หูฟังไว้ที่รูหูของพวกเขา ขณะที่ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปที่บุคคลที่น่าสงสัย

ราวกับว่ามันเป็นโรงพยาบาลปกติทั่วไป แต่ความจริงแล้ว ที่นี่ไม่มีหมอหรือพยาบาลเหลืออยู่เลยสักคน

ผู้ป่วยทั้งหมดล้วนถูกเคลื่อนย้ายออกจากโรงพยาบาลตลอดทั้งคืน กล่าวได้ว่าสถาบันฮั่วเลี่ยสามารถระบุตัวตนของหยวนซิวว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว

คนพวกนี้จับมนุษย์ต่างดาวเอาไว้เพื่อที่จะตะครุบพวกเขาทั้งหมด คนจากสถาบันฮั่วเลี่ยช่างชำนาญการนักนะ!

หลังจากค้นหาทุกซอกทุกมุมแล้ว สวี่หลิงอวิ๋นก็พบเข้ากับห้องทำงานที่ตั้งอยู่ภายในชั้นใต้ดิน โดยมีชายคนหนึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“เป็นยังไงบ้างครับ? ยังไม่มีโผล่มาอีกเหรอ? เขาตื่นหรือยัง? ดีมาก!”

“ผมเชื่อว่าจะต้องมีมนุษย์ต่างดาวแบบเดียวกับเขาหลงเหลืออยู่อีก อย่าลืมสิครับ นักวิจัยมนุษย์ต่างดาวกับหยวนซิวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงกันเพียงลำพังสักหน่อย”

“ไม่ต้องห่วง ผมจะเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครสักคนโผล่มา พวกเราจะทำการลงทะเบียนอย่างแน่นหนา และจะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไปจนกว่าจะหาพวกพ้องของพวกเขาเจอ!”

“ไม่ต้องกังวลไป! พวกคุณแค่จับตาดูเอาไว้! ใช่แล้ว! ถ้าหยวนซิวหลุดพูดข้อมูลที่สำคัญออกมา ให้รีบมาบอกผม ผมจะได้ส่งคนไปตะครุบพวกที่เหลือทันที”

หลังจากที่ชายคนนั้นวางสายแล้ว สวี่หลิงอวิ๋นก็จ้องมองเวลาและเหลือบมองที่อยู่

เอาล่ะ จดจำช่วงเวลาเหล่านี้ให้ดี และให้ช่างเทคนิคทั้งหลายตรวจสอบดูว่าคลื่นสัญญาณอันนี้ไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ก่อนจากไป สวี่หลิงอวิ๋นก็จ้องมองชายคนนั้นอีกครั้ง และคิดว่าเธอควรจะทิ้งความประทับใจอันยอดเยี่ยมให้เขาก่อนที่เธอจะจากไป!

เช่น ปล่อยเขาไว้กับปัญหาทางเส้นประสาท? เขาจะได้มองเห็นภูตผีปีศาจทุกครั้งที่เดินทางไปไหนในอนาคต เอาแบบนี้ดีไหม?

เธอแอบเจาะเข้าไปในระบบประสาทของอีกฝ่าย ปรับเปลี่ยนเปลือกสมองส่วนการมองเห็นของเขา และมอบคำสั่งการให้แก่เขา

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณส่องกระจก เดินบนถนนขณะปราศจากผู้คนในตอนกลางคืน เมื่อนั้น ‘เพื่อนที่แสนดี’ จะมาหาคุณ!

สวี่หลิงอวิ๋นหลบไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง และรอดูว่าชายผู้นี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

จอจิเนอร์เดินรอบบ้านถึงสองครั้ง และไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ แสงไฟถึงดูคล้ายกับจะหรี่ลงเล็กน้อย?

แต่เมื่อมองขึ้นไป แสงไฟกลับยังสว่างจ้าอยู่ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย และแสงไฟก็หรี่ลงอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากเงาของตนเอง? บางอย่างที่ดูคล้ายคลึงกับรูปร่างของมนุษย์ใช่ไหม? อะไรอยู่ด้านหลังเขากันแน่?!

จอจิเนอร์เป็นทหารผ่านศึกมาหลายปีแล้ว และหลายปีที่ผ่านมาเขาต้องเกลือกกลิ้งอยู่กับความตาย เขาจะเชื่อในเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อเขามองว่าภูตผีปีศาจที่บ้าบอเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องตลก

เขาหยิบปืนพกออกมา หันกลับไปเพื่อเล็งปืนไปทางข้างหลัง ทว่ามันกลับไม่มีอะไร นอกจากกำแพงสีซีดและตู้แบบโบราณ

ไฟที่อยู่เหนือศีรษะเริ่มกะพริบอีกครั้ง และสั่นเป็นจังหวะ

จอจิเนอร์ตะโกนออกมาดังลั่น “ใคร? ใครที่บังอาจแกล้งทำเป็นผี?!”

สวี่หลิงอวิ๋นอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ก่อนหันทิศทางไปยังตู้โดยตรง

ตู้เหล็กส่งเสียงดัง ‘ปัง’ จนทำให้จอจิเนอร์ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก!

เขาหยิบปืนออกมาและยิงไปที่ตู้ถึงสองนัด แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

จอจิเนอร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก บางทีเขาอาจจะวิตกกังวลเกินไป

ชายผู้เป็นทหารผ่านศึกจำได้ว่าเดิมทีห้องใต้ดินของที่นี่ดัดแปลงมาจากห้องเก็บศพ และถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจของเขา

ทันใดนั้นเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว!

บางอย่างกำลังเกาะอยู่บนไหล่ของเขา!

สวี่หลิงอวิ๋นไม่เห็นภาพหลอนของเขา เพียงแต่เห็นว่าจอจิเนอร์ที่มีอาการตัวแข็งทื่อตัวเท่านั้น ใบหน้าที่เคยถอนหายใจอย่างโล่งอกเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ดวงตาของเขาหลุบต่ำลงอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าเขากำลังเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ปากของเขาเปิดกว้างและต้องการที่จะร้องตะโกน ทว่ากลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา

จอจิเนอร์เห็นมือที่ไหม้เกรียมบนหัวไหล่ของเขา!

จากนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนร่างกายมนุษย์แห้งเกรอะเกาะแน่นอยู่กับแผ่นหลังของเขา ขณะที่มือข้างหนึ่งโอบรอบคอของเขาเอาไว้!

จอจิเนอร์สะดุ้งตัวออก และรีบหันหลังกลับทันที ศพที่เหี่ยวเฉาของหญิงสาวกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา ดวงตาที่ว่างเปล่าจ้องมองมาที่เขาอย่างไร้ซึ่งความหมาย

“ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?!” จอจิเนอร์รู้สึกตื่นตระหนก

เขาจะไม่รู้จักหญิงสาวที่ไหม้เกรียมคนนี้ได้อย่างไร? ในเมื่อเธอเป็นอดีตภรรยาของเขา

หญิงสาวจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่าและไม่กล่าวอะไรออกมา ราวกับว่าเธอมีคำพูดนับพันคำที่ต้องการจะบอกกับเขา

“คุณจะมาแก้แค้นผมหรือไง?” จอจิเนอร์ถอยหลังสองก้าว ขณะกำปืนในมือแน่น “คุณสมควรได้รับผลกรรมนั้นแล้ว ในเมื่อคุณเป็นคนเลือกเส้นทางนั้นเอง ถ้าคุณไม่ไปมีชู้ ผมจะลงมือทำแบบนั้นเหรอ?”

“ในเมื่อคุณตายไปแล้ว ก็ควรไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ซะ! ผมเคยส่งคุณลงนรกไปได้แล้วครั้งหนึ่ง ผมก็จะส่งคุณไปลงนรกอีกเป็นครั้งที่สอง!” จอจิเนอร์ตะคอก

‘ช่างเป็นบทละครที่ไม่คาดคิดเสียจริง!’ สวี่หลิงอวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่ จ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าชายผู้นี้จะมีอดีตภรรยาที่นอกใจเขา และดูเหมือนว่าคนที่มีความสามารถอย่างเขาจะถูกภรรยาหักหลังจนลงมือฆ่าภรรยาของตนเอง!

เขาหยิบปืนไรเฟิลออกมาและจู่โจมยิงไปที่ศพที่ไหม้เกรียมหลายนัด นัยน์ตาของเขาถูกปกคลุมไปด้วยช่องส่องสีแดง และดูเหมือนว่าบุคคลนี้จะบ้าคลั่งไปเสียแล้ว

ด้วยเสียงปืนที่ดังสนั่น ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ข้างนอกได้ยินการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดจากด้านใน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบเข้ามา

“ท่านจอจิเนอร์ ท่านเป็นอะไรไปครับ? วางปืนลงเดี๋ยวนี้!”

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายมาถึง พวกเขาทั้งหมดก็พบเข้ากับจอจิเนอร์ที่กำลังร้องตะโกนกับอากาศและเหนี่ยวไกปืนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่จอจิเนอร์มองเห็นเมื่อพวกเขาเข้ามา ดวงตาของเขายังคงไม่แจ่มแจ้งนัก และกลับกลายเป็นบ้าคลั่งยิ่งขึ้น

แม้แต่กับพวกเขาก็ยังไม่ถูกปล่อยผ่าน

ในสายตาของจอจิเนอร์ เขาเพียงเห็นภรรยากำลังยืนโบกมือให้อยู่ รวมถึงกลุ่มวิญญาณปีศาจร้ายที่พุ่งออกมาจากประตูพร้อมกับเขี้ยวและกรงเล็บที่พยายามจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ

“อย่าเข้ามานะ ฉันไม่กลัวพวกแกหรอก!” ท่าทางที่เกรี้ยวกราดของจอจิเนอร์ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกหวาดกลัว

“เขาโดนของหรือเปล่า?”

ท้ายที่สุดแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เคยเป็นห้องเก็บศพมาก่อน