ตอนที่ 164 ปฏิบัติการช่วยชีวิต 1

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 164 ปฏิบัติการช่วยชีวิต 1

ในที่สุดจอจิเนอร์ก็ถูกปราบจนสงบลง แม้ว่าจิตวิญญาณของเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความแตกสลายก็ตาม

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมนายพลจอจิเนอร์ถึงโดนของได้ล่ะ? ปากของเขาคอยเรียกหาชื่ออดีตภรรยาของตัวเองใช่ไหม?”

“ฉันได้ยินมาว่าอดีตภรรยาของเขาถูกไฟคลอกตาย นายคิดว่าเป็นนายพลจอจิเนอร์เป็นคนฆ่าเธอหรือเปล่า?”

“เป็นอย่างนั้นไป อดีตภรรยาของเขาแอบไปมีชู้ไม่ใช่เหรอ? ทุกคนก็รู้เรื่องนี้กันดี”

“แล้วทำไมนายพลจอจิเนอร์ถึงได้…”

“บ้าจริง เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยเถอะ บางทีเธออาจจะรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนั้นหลังจากต้องจากนายพลจอจิเนอร์ไปหรือเปล่า?”

“อาจจะเป็นไปได้ ตอนนี้นายพลจอจิเนอร์ก็มีภรรยาแสนสวยกับลูกชายแล้ว บางทีอดีตภรรยาของเขาอาจจะรู้สึกไม่พอใจ”

หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องเก็บศพช่างน่ากลัว และแสงไฟก็หรี่จนชวนขนลุก

สวี่หลิงอวิ๋นจากด้วยไปความพึงพอใจ หลังจากดูละครฉากใหญ่

แน่นอนว่าก่อนที่เธอจะออกไป เธอยังมิวายลืมผลักตู้ให้ล้มไปกองกับพื้น ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลายรู้สึกหวาดผวา

ไม่จำเป็นต้องกล่าวก็รู้ว่าทุกคนต่างพากันร้องตะโกนลั่นบ้าน และไม่มีใครหน้าไหนกล้าอยู่ที่นั่นอีกต่อไป…

โอคาซีจ้องมองสวี่หลิงอวิ๋นที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ขณะที่รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเธอ

“เป็นยังไงบ้างครับ?” โอคาซีถาม

“รีบไปโทรหาช่างเทคนิคกันเถอะค่ะ ฉันต้องตามหาให้ได้ว่าสายที่โทรออกจากที่นี่มันไปสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน”

ช่างเทคนิคพวกนี้เก่งกาจมาก

“มันมาจากชั้นใต้ดินของสถานที่รกร้างของสถาบันฮั่วเลี่ยครับ”

หลังจากรู้ตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่แล้ว สวี่หลิงอวิ๋นกับโอคาซีก็รีบออกเดินทางโดยทันที

ผนังสีขาวห้อมล้อมอยู่รอบด้านของพื้นที่แห่งนี้ และเมื่อหยวนซิวตื่นขึ้นมา เขาก็ถูกโยกย้ายมายังสถานที่แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว

เครื่องมือทั้งหลายถูกติดตั้งอยู่บนร่างกายของเขา ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้ามาเจาะเลือดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

มือและเท้าอยู่ภายใต้การควบคุม ยากที่จะหลุดพ้น

โชคดีที่ยังเหลือศักดิ์ศรีให้เขาบ้าง โดยการมอบกางเกงในให้แก่เขา

ทุกคนล้วนสวมใส่หน้ากาก และก่อนหน้านี้ชายหนุ่มก็เคยถูกทรมานมาก่อน เพื่อให้ยอมปริปากว่าเขามีพรรคพวกอีกกี่คน

หยวนซิวไม่อาจต้านทานได้ ดังนั้นเขาจึงบอกจำนวนคนออกไป

“มากกว่าร้อยคนเหรอ?” เมื่อเห็นว่าตัวชี้วัดบนเครื่องจับเท็จไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาจึงรู้ว่าหยวนซิวไม่ได้พูดโกหก หมายความว่ามนุษย์ต่างดาวจำนวนมากกำลังซ่อนตัวอยู่ที่นี่ พวกมันมาทำอะไรกัน? จุดประสงค์ของพวกมันคืออะไรกันแน่? พวกมันจะยึดครองโลกของพวกเขาหรือไม่?

คนพวกนี้ไม่รู้เลยว่าเครื่องจับเท็จประเภทนี้เป็นของเล่นสำหรับเด็กน้อยบนจักรวรรดิชิงเหย้า และมันเป็นของที่ไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขามานานมากแล้ว

พลังจิตของพวกเขาสามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจได้

“จุดประสงค์ของพวกคุณคืออะไร? มาอย่างสันติภาพหรือมาเพื่อทำสงคราม?” หัวหน้าของกลุ่มคนจ้องมองเครื่องจับเท็จและถามออกไปอย่างเฉียบขาด

หยวนซิวจ้องมองเขาอย่างเกียจคร้าน “ก็บอกว่าสันติภาพ แต่ตอนนี้พวกคุณกำลังบีบบังคับให้ทำสงคราม”

เขาทำท่าทางให้ดูข้อมือที่ถูกมัดของตนเอง และเย้ยหยัน “ยังไงผมก็อยู่ในกำมือของพวกคุณแล้ว อยากจะฆ่าหรืออยากจะหั่น จะทำอะไรก็เชิญเลย”

“กระดูกแข็งเป็นบ้า!” บ๊อบโบกมือเพื่อออกคำสั่งให้ลงโทษหยวนซิว

ที่แห่งนี้มีการลงโทษมากมาย เช่น การใช้ไฟฟ้าช็อต คีมหนีบ และอีกมากมาย หยวนซิวรู้สึกประหม่าในใจ การกระทำเหล่านี้ควรใช้สำหรับการลงโทษบนดาวเคราะห์พื้นเมืองเท่านั้น เพียงแค่มองดูก็รู้สึกเจ็บปวด

“เดี๋ยวก่อน!” ในช่วงเวลาวิกฤต ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา

ทหารทั้งหลายกล่าวทักทายชายหนุ่มคนดังกล่าว “สวัสดีครับคุณวิกเตอร์”

“นายมาทำอะไรที่นี่?” บ๊อบเยาะเย้ย “ทำไม หรือว่านายเลิกเป็นดาราดังแล้ว ถึงได้มาแย่งงานกับฉัน?”

“ฉันว่านายอ่อนไหวเกินไปนะ ฉันก็แค่อยากรู้เกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวเท่านั้นเอง” วิกเตอร์ยิ้มเล็กน้อย

วิกเตอร์สง่างาม ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่แข็งกระด้างอย่างบ๊อบ

“อยากรู้? ฮ่า ๆ! เจ้าน้องชาย นั่นคือวิธีการของนายเหรอ?” บ๊อบรู้สึกโกรธจัด แต่เขาจะต้องกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองนั้นเอาไว้

วิกเตอร์เป็นคนโปรดของพ่อ โดยปกติแล้วคนคนนี้จะไม่ปกปิดข้อเท็จจริงที่สำคัญ และมักจะกอบโกยความโปรดปรานจากพ่อในช่วงเวลาวิกฤตได้เสมอ

“ก็ได้ ฉันจะรอดูว่านายจะมีกลอุบายอะไรที่นายไม่เคยใช้อีกบ้าง!” บ๊อบยังไม่ต้องการจากไป เพราะเขาอยากจะจับจุดอ่อนของน้องชายให้ได้ และแน่นอนว่าเขาจะใช้สายตาของตนเองจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของน้องชายอย่างใจจดใจจ่อ

วิกเตอร์ไม่ได้สนใจเช่นกัน เขาเพียงเดินไปข้างหน้าหยวนซิว

“เมื่อครึ่งปีที่แล้วพวกคุณได้แอบขึ้นเรือมาจากขั้วโลกใต้หรือเปล่าครับ?!” นัยน์ตาของวิกเตอร์มีสีอ่อนมาก ราวกับกระจกสีน้ำตาล จ้องมองอย่างโปร่งใสและเปิดเผย

หยวนซิวกำมือแน่น ผู้ชายคนนี้รู้ได้อย่างไร?

“คุณเคยขึ้นมันมาใช่ไหม? รูม่านตาของคุณกระชับขึ้น นั่นหมายความว่าผมเดาถูก” วิกเตอร์เผยให้เห็นรอยยิ้ม

หยวนซิวไม่ตอบอะไร ทว่าวิกเตอร์ก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน

“ผมแค่อยากรู้อย่างหนึ่งว่าพวกคุณแอบเข้าไปในเรือได้ยังไง และหาวิธีออกมาจากเรือได้ยังไง?”

หยวนซิวเย้นหยัน “คุณฉลาดมากนักนี่ ก็เดาเอาสิ!”

วิกเตอร์ส่ายหัว “ผมรู้ว่าคุณไม่ยอมบอกหรอก แต่ไม่เป็นไร เพราะพวกเรายังมีเวลาอีกเยอะ”

หยวนซิวรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย

“เอาตัวเขาลงไป อย่าทำร้ายเขา เขาพูดถูก ถ้าสันติภาพหมดลง ก็คือพวกนายนั่นแหละที่บีบบังคับให้ทำสงคราม”

วิกเตอร์เป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุดในโครงการมนุษย์ต่างดาว ถึงบ๊อบจะไม่อยากได้ยินสิ่งที่เขาพูดนัก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากพยักหน้า

หยวนซิวถูกนำตัวลงไป

บ๊อบถามวิกเตอร์ “ในเมื่อนายรู้ว่าพวกเขาทั้งหมดลงมาจากเรือลำนั้น ทำไมนายไม่ยอมรายงานเรื่องนี้ให้พ่อดำเนินการตรวจสอบทางเทคนิคล่ะ?”

“ไม่มีประโยชน์” วิกเตอร์นั่งลง เทน้ำใส่แก้วในตนเอง และกล่าวออกมาอย่างเฉยเมยว่า “อารยธรรมของพวกเขาก้าวหน้ากว่าของพวกเราไปหลายเท่าตัว ต่อให้ทำการค้นหาก็หาปัญหาเล็กน้อยพวกนี้ไม่เจออยู่ดี”

บ๊อบไม่เชื่อคำพูดของเขา ขณะที่วิกเตอร์หยักไหล่ “ถ้าเกิดนายไม่เชื่อ ก็ลองไปพยายามตรวจสอบดูสิ ฉันจะไม่ห้ามหรอกนะ”

บ๊อบจ้องมองเขาอย่างสงสัย ก่อนจะหันกลับและเดินออกไปคุยโทรศัพท์

วิกเตอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองดูเขาเดินออกไป

จู่ ๆ มนุษย์ต่างดาวร้อยกว่าตัวก็เดินทางมาที่นี่ มาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่?

เมื่อคิดเช่นนั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล?” วิคเตอร์รับสาย นี่คือโทรศัพท์ที่ใช้สำหรับการทำงาน สายที่โทรเข้ามาคงจะเป็นเพื่อนในวงการบันเทิงของเขา

“อยากกินเค้กไหม? อร่อยนะ! ร้านเค้กของสาวน้อยสวี่ที่นายเคยพูดถึงมาเปิดที่เมืองหลวงแล้วนะรู้ยัง? ดีเลย รอฉันก่อน ฉันจะไปถึงที่นั่นในอีกหนึ่งชั่วโมง”

สวี่หลิงอวิ๋นและโอคาซีได้มาเปิดสาขาเพิ่มในเมืองหลวง ธุรกิจของพวกเขากำลังเฟื่องฟูอย่างเป็นมาตลอด

สวี่หลิงอวิ๋นถึงกับใช้เงินจ้างชายหนุ่มสุดหล่อและหญิงสาวแสนสวยจำนวนมากมาเป็นพนักงานเสิร์ฟ และหน้าปากประตูทางเข้าร้านจะเต้นรำทุกวัน ในขณะที่ประตูทั้งบานจะเต็มไปด้วยรูปถ่ายของสวี่หลิงอวิ๋นกับมนุษย์ต่างดาวที่มีหลากหลายลวดลาย ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าสดใสขนาดไหน

คนส่วนใหญ่ในเมืองชั้นสูงแห่งนี้เป็นประเภทคุ้นเคยกับความเงียบสงบ แต่แล้ววันหนึ่งร้านค้าที่มีชีวิตชีวาก็เข้ามาตั้งในเมืองแห่งนี้ ผู้คนล้วนคิดว่านี่คือความสดใหม่ จึงทำให้ทุก ๆ วันผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนจับจองที่นั่งได้ยาก

สวี่หลิงอวิ๋นทำหน้าร้านอย่างรวดเร็ว และเริ่มประดับตกแต่ง