บทที่ 193 ครูฝึกจี้

เหล่าเติ้งต้องกลับไปหาคนงานและซื้ออุปกรณ์ จี้จือฮวนจึงได้กลับบ้านก่อน

หลังกินข้าวเสร็จจี้จือฮวนก็นำจดหมายผูกไว้ที่ข้อเท้าของเหยี่ยวล่าเหยื่อ และรบกวนให้มันไปที่เมืองหลวง เพื่อขอให้ถังซุ่นที่หย่งอันถังช่วยส่งตัวจั๋วฉวินและจิ่นเหนียงมา เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนทางเมืองหลวงที่ยังจับตัวเผยยวนไม่ได้ไประบายความโกรธกับกองทัพทหารเกราะเหล็ก ที่ถูกจับแยกไปเหล่านั้น

อากาศร้อนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงทำให้เป็นลมแดดได้ง่าย ในช่วงพักกลางวันจี้จือฮวนจึงพาพวกอาอินเอาน้ำจับเลี้ยงไปส่งให้เหล่าทหาร

เซียวเย่เจ๋อในที่สุดก็ตื่นแล้ว ปากก็หาวไปด้วยขณะตามไปเป็นลูกมือให้

บนสนามดินที่ว่างเปล่ายังมีคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ เผยยวนเอามือไพล่หลังและมีสีหน้าจริงจัง

“สมกับที่เป็นกองทัพทหารเกราะเหล็กจริง ๆ” เซียวเย่เจ๋อหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

เห็นจี้จือฮวนยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็รีบเอ่ยขึ้นมา “กองทัพทหารเกราะเหล็กไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าได้ ต้องเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังชั้นยอด ก็ยิ่งต้องเป็นทหารชั้นยอดในบรรดาทหารชั้นยอด ทหารต้องสวมชุดเกราะสามชั้น ถือง้าวยาว มีดาบเหล็กแหลมห้อยอยู่ที่เอว แบกโล่ขนาดใหญ่ไว้บนหลัง พกธนูและหน้าไม้ห้าสิบดอก ขณะเดียวกันก็ต้องพกเสบียงที่เพียงพออย่างน้อยสามวัน และในหนึ่งวันต้องสามารถเร่งเดินทัพอย่างต่อเนื่องได้หนึ่งร้อยลี้ จึงจะสามารถเป็นกองทัพทหารเกราะเหล็กได้”

จี้จือฮวนพยักหน้ารับรู้ “อืม”

จากสภาพการฝึกช่วงสองวันที่ผ่านมา จี้จือฮวนก็สามารถนึกภาพตามได้

เพียงแต่การฝึกฝนร่างกายในตอนนี้ เมื่อเทียบกับความหลากหลายของยุคปัจจุบันแล้วมันง่ายเกินไป เพราะปัจจุบันมีทั้งการฝึกเทคนิคแบบเดี่ยว ๆ การฝึกเป็นกลุ่ม การฝึกเป็นรูปแบบ รวมทั้งการฝึกใช้เครื่องหมายเพื่อติดต่อกัน

และเนื่องจากมีคนจำนวนมาก จึงไม่มีทางที่เผยยวนจะสามารถดูแลทุกคนได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือกองกำลังชั้นยอดในอดีตถูกแยกออกไปหมดแล้ว เขาจึงต้องฝึกฝนกองกำลังชั้นยอดขึ้นมาอีกครั้ง

นี่เท่ากับต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หลังจากการฝึกฝน เผยยวนจึงเดินมาดื่มน้ำจับเลี้ยง จี้จือฮวนมองหน้าเขาแล้วจึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าวางแผนที่จะสร้างสนามฝึกที่ภูเขาด้านหลัง”

“สนามฝึก?”

“อืม การแข่งขันข้ามเครื่องกีดขวางสี่ร้อยหมี่ การต่อสู้แบบกองโจร กระโดดร่ม เครื่องร่อน ปีนเขา และการฝึกร่างกายขั้นพื้นฐาน ลุกนั่ง วิดพื้น ดึงข้อ…การต่อสู้ระยะประชิด”

เผยยวนกำลังประมวลผลคำพูดของนาง “เจ้าใช้ชีวิตผ่านมาด้วยวิธีเช่นนี้หรือ?”

“อืม การต่อสู้ระยะประชิดมีความสำคัญในทางปฏิบัติในสนามรบ” จี้จือฮวนวางชามน้ำจับเลี้ยงลง และหิ้วเซียวเย่เจ๋อที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา

“นี่ ๆ ๆ จะทำอะไรน่ะ!” เซียวเย่เจ๋อถูกนางลากไปยังพื้นที่โล่ง บรรดาทหารที่กำลังพักผ่อนต่างมองดูด้วยความสงสัย

จี้จือฮวนผลักเขาออกไปหนึ่งก้าว “แย่งกระบองในมือข้า”

เซียวเย่เจ๋องุนงง “ฮะ?”

“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีกรอบ”

เซียวเย่เจ๋อถูจมูกเล็กน้อย “เจ้าเป็นผู้หญิงร่างกายบอบบาง ผู้ชายตัวโตอย่างข้าจะ…โอ๊ย!”

แค่ช่วงเวลาที่เขาพูด เซียวเย่เจ๋อก็ถูกจี้จือฮวนทุ่มลงพื้นเสียแล้ว ทหารเกราะเหล็กที่ยังดื่มจับเลี้ยงอยู่ก็แทบจะสำลักน้ำกันทันที!

จี้จือฮวนปล่อยเซียวเย่เจ๋อแล้วก็พูดขึ้นมา “ในสนามรบ อย่าประมาทคู่ต่อสู้ทุกคนของเจ้า รูปร่าง ส่วนสูง และน้ำหนักของคนผู้นั้นไม่แน่ว่าอาจจะแข็งแรงกว่าเจ้าด้วยซ้ำ ดังนั้นการประเมินศัตรูต่ำเกินไปเป็นข้อห้ามสำคัญในสนามรบ เพราะเจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าศัตรูจะจู่โจมเจ้าเมื่อใด”

สีหน้าของเหล่าทหารเกราะเหล็กเริ่มจริงจังขึ้นมา

จี้จือฮวนรู้ดีว่าสำหรับพวกเขาแล้ว นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น การได้รับความเคารพจากพวกเขาเวลานี้เพียงเพราะนางเป็นผู้หญิงของเผยยวน ดังนั้นการจะให้พวกเขายอมรับจริง ๆ คือต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา

เซียวเย่เจ๋อถูกทุ่มลงพื้นก็มีหน้าตาบูดบึ้ง ลุกขึ้นมาได้ก็หมายจะเข้าไปแย่งกระบองในมือของจี้จือฮวน

เขาใช้การโจมตีซึ่ง ๆ หน้า จี้จือฮวนจึงใช้มือขวาจับและกระชากแขนซ้ายของเขา ก่อนจะล็อกคอและกดลง

“ไม่ว่าที่ไหนเวลาใด ต้องปกป้องอาวุธของตัวเองให้ดี ควบคุมเป้าหมายให้ได้ จับแขนเป้าหมายให้มั่น!”

ร่างกายส่วนบนของเซียวเย่เจ๋อถูกจี้จือฮวนกดลง ศีรษะของเขาอยู่ระดับเดียวกันกับเข่าของจี้จือฮวน

“ใช้เข่าโจมตีศีรษะ!

เอาชนะได้อย่างราบคาบ” เมื่อเซียวเย่เจ๋อหงายหลังลงกับพื้น กระบองของจี้จือฮวนก็จ่อไปที่ลำคอของเขาแล้ว แค่นางออกแรงแทงลงไปเซียวเย่เจ๋อต้องตายอย่างแน่นอน

จากนั้นก็มีคนของทหารเกราะเหล็กกระตือรือร้นอยากจะลองบ้าง “ฮูหยิน ข้าขอลองได้หรือไม่ขอรับ?”

“มา”

ชายผู้นั้นร่างกายไม่ได้กำยำเท่าใดนัก แต่ในค่ายทหารเขาก็ถือเป็นมือดีคนหนึ่งเช่นกัน

“ออกแรงเต็มที่ ไม่ต้องสนใจว่าข้าเป็นสตรีหรือเป็นฮูหยิน ต่อหน้าเจ้าตอนนี้ข้าคือศัตรูของเจ้า” จี้จือฮวนกำชับอีกครั้ง

ชายผู้นั้นพุ่งตัวเข้ามา ร่างกายที่แข็งแรงของจี้จือฮวนเบี่ยงหลบทันที การเคลื่อนไหวของนางคล่องแคล่วปราดเปรียว ชายผู้นั้นถูกจี้จือฮวนกดเข้าที่ส่วนสำคัญอย่างกระดูกสันหลัง

“ตอบโต้เฉพาะจุด จู่โจมศัตรูอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้สำคัญมากเพราะการต่อสู้สุ่มสี่สุ่มห้าจะเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองและเปลืองแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่สหายร่วมรบมีไม่มาก อย่าบุกตะลุยไปข้างหน้าเพียงลำพัง เช่นนี้จะทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย

เมื่อต้องต่อสู้เพียงลำพัง ให้ตั้งรับการโจมตีของศัตรู สกัดกั้น ปลดอาวุธ และสร้างแนวป้องกัน ไม่ว่าการโจมตีจะได้เปรียบหรือไม่ เจ้าต้องแสดงความสามารถนี้ออกมา ในการต่อสู้ระยะประชิดไม่ว่าจะมีอาวุธหรือไม่ การใช้ร่างกายของตัวเองจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก”

ในกองทัพก็มีการสอนวิชาหมัดมวย แต่ที่จี้จือฮวนแสดงให้ดูนั้นเรียบง่าย เด็ดขาด และเหมาะสำหรับการฝึกทหารมากกว่า

การทำงานเป็นทีมต้องอาศัยการฝึกฝน การช่วยเหลือตนเองก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน

อาอินมองดูการแสดงของจี้จือฮวน ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย นางเองก็อยากจะเก่งเหมือนท่านแม่ หากนางมีวรยุทธ์ก็จะสามารถปกป้องคนที่ต้องการปกป้องได้ เช่นนี้ก็จะไม่มีใครมารังแกพวกเขาแล้ว

“ฮูหยินดูเก่งกาจมากเลย”

“มิน่าเล่าท่านแม่ทัพถึงถูกตีเช่นนั้นได้…”

“เป็นอย่างไร มีใครเต็มใจที่จะเรียนรู้การต่อสู้ระยะประชิดกับข้าบ้างหรือไม่?” จี้จือฮวนกวาดตามองและเอ่ยถามพวกเขา

เผยยวนเองก็มองไปทางเหล่าทหารเกราะเหล็กเช่นกัน เพราะก้าวนี้เป็นก้าวที่สำคัญมาก เป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาจะยอมรับจี้จือฮวนหรือไม่

เมื่อครู่การที่จี้จือฮวนสู้กับเซียวเย่เจ๋อ พวกเขายังคิดว่าเป็นกระบวนท่าที่สวยแต่ใช้การไม่ได้จริง ทว่าตอนนี้นางได้ต่อสู้กับคนของกองทัพทหารเกราะเหล็ก และพวกเขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นดี พวกเขาจึงรู้แล้วว่าฮูหยินเป็นคนที่มีความสามารถมากจริง ๆ!

“ข้าเรียนด้วยขอรับ!”

“ฮูหยิน ข้าก็จะเรียนกับท่านด้วยขอรับ”

มีคนลุกยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ จี้จือฮวนจึงพยักหน้าให้ “ได้ อีกสองวัน ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่สนามฝึกแห่งใหม่ ถึงเวลาข้าจะฝึกกับพวกเจ้าด้วย ตั้งแต่เริ่มฝึกไม่ต้องเรียกข้าว่าฮูหยิน ให้เรียกข้าว่าครูฝึก เข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับ!”

“กินข้าวไม่อิ่มหรือ? ตอบข้าดัง ๆ หน่อย!”

“ขอรับ! พวกเราเข้าใจแล้ว”

“เรียกข้าว่าอะไร?”

“ครูฝึกขอรับ!”

“นั่งลงได้”

บรรดากองทัพทหารเกราะเหล็กจึงนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกัน หลังจากที่พวกเขานั่งลงแล้ว ก็รู้สึกว่าเหตุใดฮูหยินถึงดูเหมือนทหารที่ฝึกมาแล้วหลายปีเล่า ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อฟังคำสั่งของนาง

“ท่านแม่ ข้าก็อยากฝึกกับพวกท่านด้วยเจ้าค่ะ” อาอินลุกขึ้นยืน

“ได้สิ ตอนเช้าไปวิ่งและปีนเขาด้วยกัน แต่เมื่อถึงเวลาเรียนก็ต้องไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลนะ”

อาอินยิ้มออกมาทันที “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่เคยบอกว่าต้องรู้หนังสือ ต้องอ่านตําราพิชัยสงครามให้ได้ ข้าจะตั้งใจเรียนเจ้าค่ะ”

“เด็กดี” จี้จือฮวนลูบศีรษะของนาง ก่อนจะหันไปมองเผยยวน

แววตาของชายหนุ่มร้อนแรง ราวกับกำลังมองดูสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลก ถ้าหากข้าง ๆ ไม่มีเจ้าโง่เซียวเย่เจ๋อยืนอยู่ก็คงจะดี

“จี้จือฮวน เจ้าทำแขนข้าบวม! ดังนั้นข้าไม่สน เจ้าต้องทายาให้ข้า”

เผยยวนขยิบตาให้คนข้าง ๆ ทหารเกราะเหล็กสองคนก็เข้ามาหิ้วตัวเซียวเย่เจ๋อออกไปทันที “เซียวซื่อจื่อ แค่ทายาจะไปรบกวนฮูหยินทำไมกัน พวกเราพี่น้องรับรองว่าจะทาให้ท่านอย่างดีเลยขอรับ”

เซียวเย่เจ๋อ “อ๊าก! อย่านะ!”