เจ้างูตัวยาวกระโจนขึ้นสู่ฟากฟ้า และในชั่วพริบตา มันก็กลายร่างเป็นงูเหลือมขนาดมหึมา โพรงปากกระหายเลือดของนักล่าพุ่งดิ่งลงมาจากข้างบน!
การโจมตีเช่นนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พลังของมันรุนแรงเสียจนแทบจะสามารถส่งเหยื่อของตนลงนรกได้ทันที!
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณธาตุดินเลย ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังปราณอยู่ในระดับธาตุทอง หากต้องเผชิญหน้ากับงูเหลือมตัวใหญ่ยักษ์เช่นนี้ก็คงหนีไม่พ้น!
ศีรษะของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผลุบหายเข้าไปในปากของงูเหลือมยักษ์ อีกทั้งยังดูเหมือนกับว่าเขี้ยวของอสรพิษตัวนั้นกำลังจะฉีกศีรษะของเขาออกจากกัน!
ในวินาทีที่ทุกคนต่างก็กำลังหวาดกลัวกันสุดขีดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาที่เดิมทีเคยเป็นสีดำสนิทกลับคล้ายจะมีแสงสีทองบริสุทธิ์ปกคลุมอีกชั้น เขามองตรงเข้าไปในดวงตาของงูเหลือมยักษ์ตัวนั้น!
พื้นหินอ่อนใต้เท้าไม่อาจต้านทานพละกำลังอันรุนแรงมหาศาลนี้ได้ พวกมันจึงแตกออกจากกันทีละชิ้น!
ในที่สุดเขี้ยวของงูเหลือมยักษ์ก็บดบังตัวเขาจนมิด แล้วกลืนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลงท้องไปไม่เหลือซาก!
หยวนหลิงเซวียนยกยิ้มอย่างพอใจ แต่… ในวินาทีถัดมา ดวงตาที่มักจะฉายแววดูถูกใครต่อใครอยู่เสมอของเขาก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง
เพราะนึกไม่ถึงว่า ร่างที่หมอบคุดคู้อยู่ในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยฝุ่นนั้นกลับไม่ใช่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่เป็นอาวุธที่เขาแสนจะภาคภูมิใจต่างหาก!
เป็นไปได้อย่างไร!
ชายคนนั้นทำอะไรลงไป!
เงียบ เงียบกริบ!
ผู้ชมต่างตกตะลึง ปากที่พวกเขาอ้าค้างไว้มีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่เสียอีก สีหน้าของพวกเขานั้นยิ่งกว่าคำว่าเหลือเชื่อ หลังผ่านไปได้ครู่หนึ่ง พวกเขาจึงพากันสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างรวดเร็วราวกับกังหันลม ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ความประหลาดใจที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นขึ้นไปในดวงตาของพวกเขา!
งูเหลือมยักษ์ที่แต่เดิมนั้นเปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อน บัดนี้กลับสูญเสียความดุร้ายไปจนหมดสิ้น มันคู้ตัวเหมือนยอมแพ้ และกลับคืนสู่ร่างของงูตัวเล็ก พร้อมกับเลื้อยถอยหลังไปเรื่อยๆ คล้ายกำลังร้องขอความเมตตา
แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เขาทำเพียงสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เสื้อคลุมสีดำทาบทับเงาร่างสูงสง่า เสื้อขนสัตว์สีขาวสะบัดพลิ้ว ร่างนั้นคล้ายกับมีกลิ่นอายแห่งความตายอันเย็นยะเยือกแผ่ออกมา
สีหน้าของเขายังคงเย็นชาไม่แยแสเช่นเคย ความชั่วร้ายที่มุมปากของเขาผสมผสานกับความสง่างามเยือกเย็นนั้น ราวกับว่าการเกิดและดับของโลกมนุษย์เป็นแค่การกะพริบตาสำหรับเขาเท่านั้น
ร่างของเจ้างูหายไป เหลือไว้เพียงส่วนหนึ่งของอาวุธที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
หยวนหลิงเซวียนถือเศษเหล็กในมือของตนขึ้นอย่างยากลำบาก และคล้ายกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็พบว่ามือข้างขวาของเขาไม่สามารถยกขึ้นได้!
ตุ้บ… รองเท้าสีดำเหยียบย่างลงบนพื้นดิน
ในที่สุดหยวนหลิงเซวียนก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแค่ทำลายอาวุธสุดรักสุดหวงของตนเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือการที่มือขวาของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาก็เป็นคนของสี่ตระกูลใหญ่!
เป็นไปไม่ได้!
เขาเคยเห็นหน้าคนในสี่ตระกูลใหญ่มาแล้วทุกคน ในจำนวนนั้นมีแค่มู่หรงฉางเฟิงเพียงผู้เดียวที่มีฝีมือสูงส่งกว่าเขา
ยิ่งกว่านั้น คนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นที่การประชุมของสี่ตระกูลใหญ่มาก่อน!
เช่นนั้นเขาเป็นใครกัน!
ในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้ มีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสี่ตระกูลใหญ่ของพวกเขาด้วยหรือ!
“น่ารังเกียจนัก!” หยวนหลิงเซวียนคำรามเสียงดังลั่นอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับต้องการสำรอกความตระหนกในใจของตนออกมา น้ำเสียงในตอนท้ายของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจปิดบังได้ ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็พุ่งขึ้นมาจากลำคอของเขา ตามมาด้วยเลือดที่ทะลักออกมาจากมุมปาก เขาไม่อาจประคองตัวเองได้อีกต่อไป เพราะถูกพลังปราณอันไม่สามารถระบุได้สายหนึ่งพุ่งเข้าปะทะร่างจากบนเวที!
ร่างทั้งร่างของเขาลอยละลิ่วไปทางอาจารย์ไป๋ และผลการประลองก็ถูกตัดสินเป็นที่แน่ชัดแล้ว!
อาจารย์ไป๋คิดจะยื่นมือของตนออกไปประคองเขาโดยสัญชาตญาณ แต่ทันใดนั้นฝ่ามือของเขาก็ถึงกับชาวาบ ความตกตะลึงอันเหนือกว่าคำอธิบายใดๆ ปะทุขึ้นบนใบหน้าของเขา
นี่มัน… พลังปราณตกค้าง
พลังปราณตกค้างที่แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถขจัดไปได้!
เป็นไปได้อย่างไร!
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล!
พวกเขาผุดลุกขึ้นยืนแทบทุกคน!
รวมถึงอาจารย์ตู๋เทียนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ตัดสินด้วยเช่นกัน!
“อัจฉริยะ นี่มันอัจฉริยะชัดๆ! พวกเจ้าเห็นหรือเปล่า!”
เหล่าลูกศิษย์ที่กลั้นหายใจเอาไว้เมื่อครู่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ก่อตัวอยู่ภายในได้อีกต่อไป ทันใดนั้นทั่วทั้งสนามก็พลันตกอยู่ในความตื่นเต้นอันยากจะอธิบายได้
เป็นเพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เคยเข้ารับการทดสอบพลังปราณมาก่อน การตอบสนองจากคนดูที่พากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเช่นนี้จึงเพิ่งจะเกิดขึ้นในวันนี้นี่เอง!
บรรดาผู้คนที่เคยสงสัยในความสามารถของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก่อนการแข่งขันนั้น มาตอนนี้กลับพบว่าตนกำลังตัวสั่นสะท้าน เลือดของพวกเขาร้อนจนเดือดพล่าน
เป็นอย่างที่อาจารย์ตู๋เทียนกล่าว คนคนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน!
สีหน้าของคนในหอชั้นเลิศและหอชั้นเยี่ยมดูไม่น่ามองยิ่งนัก ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีม่วงคล้ำราวกับถูกตบหน้าในที่สาธารณะเข้าอย่างจัง
แต่หอชั้นดีกลับปรบมือให้อย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งแต่ตอนที่พวกเขาถูกหอสามัญเอาชนะไปได้ในรอบแรก พวกเขาก็กล่าวว่าจากนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะขอติดตามหอสามัญ มิหนำซ้ำยังมีศิษย์บางคนที่หวังจะตีซี้กับพวกเขาวิ่งมาถามหนานกงเลี่ยอีกด้วยว่าเขาคิดที่จะรับน้องชายหรือเปล่า!
หนานกงเลี่ยเป่าผมของตัวเอง แล้วกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นมาเพียงหนึ่งคำว่า ”รับ”
ตู๋ซูเฟิงนั่งฟังเสียงรอบตัวที่ดังเซ็งแซ่ราวกับคลื่นซัดสาดนั้น พลางยกชาขึ้นจิบเล็กน้อยด้วยท่วงท่าอันงดงาม แต่ดวงตาของเขากลับสว่างวาบขึ้นเล็กน้อย
นี่คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เทพผู้ไร้พ่ายในยามนั้น
เขาสูญเสียพลังปราณของตนไปหลายปี และขังตัวเองอยู่แต่ในวัง โดยไม่เคยคิดที่จะขยับนิ้วเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนทุกคนต่างก็หลงลืมไปแล้วว่าเวลาที่เขาเคลื่อนไหวนั้นมันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด!
ร่างของใครคนหนึ่งมองดูภาพนี้อยู่ไกลออกไป กระดาษที่อยู่ในมือถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น รูม่านตาของเขาหดตัวเข้าหากัน จากนั้นจึงขยายออกอยู่อย่างนั้นหลายครั้งในระหว่างที่เขาเอ่ยว่า ”ผู้อาวุโสห้วน นี่มัน.. นี่มัน!”
สวรรค์ จักรวรรดิจ้านหลงมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
ทำไมเขาถึงไม่ได้อยู่ในหน่วยพิฆาตวิญญาณของพวกเขากัน!
ว่ากันด้วยเหตุผลแล้ว คนระดับนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกมองข้ามเลยด้วยซ้ำ!
ห้วนหมิงเสียงลูบเคราขาวเป็นประกายของตน ชายเสื้อยาวของเขาลอยอยู่ในอากาศราวกับเทพเซียน ”แล้วทีนี้เจ้ายังรู้สึกว่าคนจากหอสามัญไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะแทนที่บรรดาศิษย์จากหอชั้นเลิศ และเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณได้อยู่หรือเปล่า”
ร่างนั้นราวกับสำลักคำพูดของห้วนหมิงเสียง แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่เขาก็ยังคงชี้แจงด้วยเหตุผลอย่างรอบคอบว่า ”เรื่องนี้แค่แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเข้าหน่วยได้ แต่ข้ายังไม่เห็นความสามารถของคนอื่นๆ”
“เช่นนั้นก็ดูต่อไปเสีย” ห้วนหมิงเสียงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมอย่างสงบ แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก หากเด็กสาวคนนั้นลงแข่งในสาขาพลังปราณ เขาก็คงไม่ต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย แต่การสร้างอาวุธ… ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำเป็นเล่นไปได้ โดยเฉพาะหลังจากจบการประลองในรอบนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่หอชั้นเลิศจะเปลี่ยนตัวผู้เข้าแข่งขัน หากเป็นเช่นนั้น คนที่นางจะต้องประมือด้วยย่อมเป็นมู่หรงฉางเฟิง
ถ้าตัดคุณชายอู๋ซวงจากตระกูลผู้สร้างอาวุธอันเลื่องชื่อออกไปแล้ว
เท่าที่พวกเขาเคยพบมา ก็มีเพียงมู่หรงฉางเฟิงคนนี้เท่านั้นที่นับว่าเป็นอัจฉริยะที่สุดในด้านการสร้างอาวุธ
ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด
ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นถึงศิษย์คนแรกของอาจารย์ตู๋เทียนอีกด้วย
ห้วนหมิงเสียงแทบจะเดาได้เลยว่าการประลองในรอบนี้อาจจะจบลงด้วยการโดนถล่มอยู่ฝ่ายเดียว
แต่ตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยเองกลับไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทางในตอนที่นางเดินตรงเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นสง่างามยิ่งกว่าที่เคย ประหนึ่งว่านางกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังจวนก็ไม่ปาน จนกระทั่งนางมาหยุดยืนอยู่ตรงใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พร้อมกับชูฝ่ามืออันว่างเปล่าขึ้นสูง…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากบางของตนขึ้นเช่นกัน จากนั้นจึงยกมือข้างซ้ายขึ้นเล็กน้อย
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกันดังขึ้นอย่างสวยงาม
ร่างของคนสองคนแผ่กลิ่นอายแห่งความเกียจคร้านแบบเดียวกันออกมา และในเสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนแทบจะรู้สึกว่าสองคนนี้ดูเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างกันยิ่งนัก
“ดีมาก รีบเปลี่ยนที่กับข้าเร็ว ถึงตาข้าขึ้นเวทีแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพับแขนเสื้อขึ้น สีหน้ายิ้มแย้มของนางแฝงไปด้วยความชั่วร้าย…