————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย

“แม่งเอ้ย… อยากเข้าป่าไปล่าบอสกับลูกพี่จังโว้ย!”

“น่ารำคาญเฟ้ย! บ่นมากี่รอบแล้ววะเนี่ย!”

เด็กหนุ่มในชุดลำลองดูคล่องตัวสองคนบ่นอย่างหงุดหงิด

คนเปิดประเด็นนั้นโกรกผมสีทอง ส่วนคนที่บ่นอย่างรำคาญใจมีผมสีดำตามธรรมชาติของคนไทยทั่วไป จุดที่เหมือนกันของทั้งคู่คือมีดพร้าเล่มใหญ่ในมือดูน่ากลัวไม่เบา

อย่างไรก็ดี… ความหงุดหงิดที่แสดงออกมาไม่ได้พุ่งใส่อีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังมุ่งไปยังเด็กหนุ่มอีกสองคนด้วย

“ให้ตายสิ ทำไมต้องมารับหน้าที่ช่วยเด็กใหม่อัพเวลด้วยวะเนี่ย”

แถมดูจากสายตารุนแรงที่เหลือบมองเหล่าเด็กหนุ่มที่สะดุ้งกลับมาด้วยแล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้หงุดหงิดน่าจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มสองคนนี้นี่แหล่ะ

พวกเราก็ไม่ได้อยากมาซะหน่อย

เด็กหนุ่มที่ถูกพวกเขาเรียกว่าเด็กใหม่ทั้งสองคนคิดอย่างนั้นในใจเพราะไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรตอกกลับไปได้แม้ว่าจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม ซึ่งสาเหตุของเรื่องนั้นก็เป็นเพราะถูกบังคับนั่นแหล่ะ

เด็กหนุ่มผมสั้นดูเรียบร้อยนั้นถือกระบองไม้ในมือ ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มสวมแว่นที่สวมแค่ถุงมือหนัง จุดร่วมของทั้งคู่คือส่วนสูงที่ดูเป็นเด็ก ม.ต้น กับท่าทางยำเกรงหวาดกลัวไม่ซ่าบ้าบิ่นเหมือนอีกสองคนที่เป็นรุ่นพี่

แต่ถ้าคำนึงจากเรื่องที่ว่าทั้งสองคนเพิ่งเกิดการตื่นและได้รับพลังมาเพียงเมื่อไม่กี่วันก่อน ประสบการณ์จึงยังมีน้อยอยู่เมื่อเทียบกับอีกสองคนที่เกิดการตื่นมานานกว่า ท่าทีสับสนของพวกเขาก็พอจะเข้าใจได้

ซึ่งสำหรับคนที่มีประสบการณ์จนเคยชินแล้ว บางทีพวกเขาก็คงอยากมองหาความก้าวหน้าและความท้าทายใหม่ ๆ เพราะจะได้มีโอกาสอัพเลเวลหรือล่าบอสเพื่อเก็บฉายา มากกว่าต้องมาจมจ่อมกับการสอนงานดูแลเด็กใหม่

…ว่าไปแล้วนั่นคงเป็นสาเหตุที่พวกเขาหงุดหงิดกัน

“เดี๋ยว… เงียบก่อน” ในจังหวะนั้น ชายที่เป็นรุ่นพี่คนที่สามที่ดูเงียบขรึมกว่าใครในกลุ่มก็เอ่ยขึ้นมา

เป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงเหมือนกับมีระเบิดดังขึ้นคล้ายกับมีวัตถุอะไรสักอย่างกระแทกกัน ทุกคนเองก็ได้ยินอย่างเดียวกัน แต่ทางด้านเด็กใหม่สองคนนั้นสะดุ้งกลัว แตกต่างจากเหล่ารุ่นพี่ที่นิ่งสงบ

และตื่นเต้น

“คืนนี้คงไม่น่าเบื่อแล้ว… ถ้าเป็นพวกมีพลังเหมือนกันก็ดีเลยสิ”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกมันจะเชื่องไหมล่ะนะ”

พวกเขาดูสนใจกับเสียงนั่นจนเผยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา เป็นรอยยิ้มน่ารังเกียจที่ทำให้เหล่าเด็กใหม่หวนนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอพวกรุ่นพี่ซึ่งมันไม่น่าอภิรมย์สำหรับพวกเขาเท่าไหร่นัก

ก็แน่นอนล่ะ… เพราะไม่ว่าสำหรับใคร มันก็ไม่ต่างจากโดนมัดมือชกหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกได้แค่ระหว่างทางที่ไม่อยากจะเดินกับความตาย

❖❖❖❖❖

“พวกนั้น…” พิมพึมพำหลังยื่นหน้าออกนอกระเบียงไปแล้วเห็นกลุ่มชายสี่คนอยู่เบื้องล่าง

น้ำเสียงของเธอดูกังวล ซึ่งก็เป็นอย่างเดียวกับทัตนั่นแหล่ะ

อย่างแรก… ในสถานการณ์ที่ต้องเน้นเอาตัวรอด กับอีกฝ่ายที่เป็นคนไม่รู้จัก ไม่รู้นิสัยใจคอ ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวล่ะนะ

อย่างน้อย ๆ หากอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการขอความช่วยเหลือก็ไม่ควรยุ่งด้วย เพราะอาจจะเป็นพวกอันตรายก็ได้

ในสถานการณ์อย่างนี้คงต้องมองลบไว้ก่อน… เพราะเรามากับพิมด้วยนี่แหล่ะ เลยยิ่งต้องระวังเป็นสองเท่า

ทัตคิดแบบนั้นในขณะที่เหลือบมองพิมที่นั่งยองอยู่ข้าง ๆ

กระทั่งตอนนี้ตัวเขาก็คิดถึงความปลอดภัยของพิมเป็นอันดับแรก หากมีแค่เขาคนเดียวคงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอันตรายเพราะคงหนีเอาตัวรอดเองคนเดียวได้สบาย แต่การมีพิมซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากจะปกป้องอยู่ด้วยกัน ความยากในการเอาตัวรอดก็ย่อมมากขึ้นเป็นธรรมดา นั่นเพราะเขาไม่ได้อยากให้พิมพาตัวเองไปอยู่ในความเสี่ยง

“เราค่อย ๆ หลบออกไปดีไหม?” ทัตเลยเสนอแบบนั้น แต่ว่า…

“เดี๋ยวสิ จะดีเหรอ? อุตส่าห์ได้เจอกลุ่มคนแล้วทั้งที ถ้าพวกเขาช่วยสู้ได้ กำลังรบเราจะเพิ่มขึ้นเยอะเลยนะ”

พิมออกความเห็นอย่างที่ทัตคาด ถึงแม้เธอจะเป็นคนฉลาดและรอบคอบ แต่เพราะความเป็นกันเองมากไปเลยไม่ได้คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย

นี่ฉันคิดมากเกินไปคนเดียวเหรอ? ทัตบ่นอุบแบบนั้นอยู่ในใจ แต่อย่างน้อยพิมก็ยังเข้าใจสถานการณ์อยู่ว่ายังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอถึงได้กระซิบแทนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ

ไม่หรอก… เราห้ามวางใจเด็ดขาด

ก็เคยวางใจเผอเรอปล่อยให้พิมอยู่คนเดียวจนเธอตายไปแล้วไม่ใช่รึไง?

ฉันไม่คิดจะพลาดเป็นหนที่สองหรอก!

รอบนี้จะต้องเดินเกมอย่างชาญฉลาดทุกฝีก้าว ไม่งั้นที่ฉันอุตส่าห์มีชีวิตรอดจากคืนแรกนั่น… ที่อุตส่าห์จำความเจ็บปวดในตอนที่สูญเสียเธอไปได้นั่นมันก็ไม่มีความหมาย

“เจ้าพวกนั้นใส่อาร์มแบนด์ด้วย… เธอคิดว่าไง?” ทัตว่าพลางโยกหัว เชิญชวนพิมให้สังเกตกลุ่มคู่กรณี

“อืม… จะว่าไปก็แปลกนะ ก็เข้าใจได้แหล่ะว่าใช้เพื่อแยกแยะมิตรสหาย แต่ยังไงก็เป็นกลุ่มที่ไปด้วยกันอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องแยกแยะเลย นอกซะจากว่า————”

“ใช้เพื่อแยกแยะกับสหายที่จับกลุ่มกันอยู่ที่อื่น ใช่ไหมล่ะ?”

ทัตเปิดประเด็นให้พิมตระหนักได้เอง จากจุดสังเกตเล็ก ๆ หากตั้งใจจับดี ๆ มันย่อมสาวไปถึงความจริงของผู้คนได้

รวมถึงเรื่องที่กลุ่มเล็ก ๆ สี่คนไม่จำเป็นต้องสวมอาร์มแบนด์แยกมิตรแยกศัตรู เพราะหากมีกันแค่สี่คนและออกล่ามอนสเตอร์ไปพร้อมกัน ยังไงก็ไม่มีทางแยกกันผิดอยู่แล้ว เรื่องนั้นทัตกับพิมเองก็รู้พวกเขาถึงไม่ได้ทำของอย่างเดียวกันขึ้นมาสวม

นั่นทำให้คาดเดาได้ไม่ยาก ว่าสาเหตุที่พวกเขาทำแบบนั้นมันเป็นเพราะอย่างน้อย ๆ พวกเขาจะต้องมีกลุ่มที่มีสมาชิกมากจนสามารถแบ่งคนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แยกไปสำรวจได้

“คำถามคือ กลุ่มของคนพวกนั้นใหญ่แค่ไหนสินะ”

“ไม่ ๆ… คำถามคือกลุ่มของคนพวกนั้นไว้ใจได้ไหมต่างหาก”

ทัตขัดพิมอีกรอบ นั่นเริ่มทำให้พิมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะมันเหมือนกับว่าทัตพยายามขัดคอเธอตลอดเลย ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นห่วงเธอก็เถอะ

แต่ว่า เรื่องที่ทัตพูดออกมาก็เป็นประเด็นให้น่าขบคิดจริง… พิมคิดอย่างนั้นและไม่อาจปฏิเสธคำพูดของทัตได้เต็มปาก เพราะเธอเข้าใจดีว่ายิ่งมากคนก็ยิ่งมากปัญหา

ถึงอย่างนั้น… เธอก็ยังคิดว่าทัตกังวลมากเกินไปอยู่ดี เพราะทัตกังวลและตั้งแง่ว่าอีกฝ่ายอันตรายไว้ก่อนแล้วนั่นแหล่ะ วิธีการรับมือถึงได้เป็นการหลีกเลี่ยงและมองพวกเขาแย่แบบนั้น

และหากมันเกิดขึ้นเพราะว่าทัตตั้งใจจะปกป้องพิม มันก็กลับกลายเป็นการทำให้เธอรู้สึกผิดไปแทน พิมถึงได้ไม่อยากให้ทัตกังวลเกินไปเพราะมีเธอเป็นสาเหตุ

ทว่า… อย่างหนึ่งที่พิมไม่รู้ก็คือ เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ก็เพราะทัตเคยสูญเสียเธอไปแล้วรอบหนึ่งนั่นแหล่ะ เขาถึงไม่คิดยอมให้มันเกิดขึ้นอีกไม่ว่าโอกาสจะน้อยเพียงใดก็ตาม จุดนี้เลยกลายเป็นความเกรงใจและเห็นแก่อีกฝ่ายจนไม่ลงรอยกันไปแทน

“เฮ้ย!!! มีใครอยู่ที่นี่ใช่ไหมล่ะ!”

“ “!!!?” ”

แต่ในจังหวะที่ทัตกับพิมตั้งใจจะยืนยันความคิดของตัวเองอีกครั้ง กลับเป็นตอนที่ได้ยินเสียงของหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นตะโกนขึ้นมาก่อน

รู้ได้ยังไง?

ทัตกับพิมอยากจะถามอย่างนั้น เพราะศพของมนุษย์หมาป่าที่กระเด็นตกลงไปข้างล่างน่าจะสลายหายไปจนหมดแล้ว หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คาดเดาเอาจากเสียงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้วทึกทักเอาเอง

ไม่สิ… ถ้าสถานการณ์กลับกัน แล้วเราได้ยินเสียงดังขนาดนั้นมาจากแถว ๆ นี้

เราเองก็คิดเหมือนกันว่าอาจจะมีคนอยู่ด้วย

ทัตคิดได้ดังนั้นก็เข้าใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ส่วนทางด้านของกลุ่มคนพวกนั้น

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า! พวกฉันมีคนอยู่เยอะเลยนะ มาร่วมมือกันดีกว่า!”

“มอนสเตอร์มันน่ากลัวใช่ไหมล่ะ! พวกเราแข็งแกร่งนะ!”

เด็กหนุ่มคนเดิมที่อยู่ด้านล่างตะโกนขึ้นอีกครั้ง พร้อม ๆ กับเพื่อนของเขาอีกคนที่ตะโกนเสริม พวกเขาไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิดว่าเสียงของตัวเองจะดึงดูดมอนสเตอร์ใกล้ ๆ นี้ให้เข้ามาหาตัว

…หรือไม่อย่างนั้น พวกเขาก็แข็งแกร่งพอที่จะไม่กังวลเรื่องนั้น

“เอาไงดี? เราบอกเขาไปก่อนดีไหม?”

พิมกระซิบแบบนั้นกับทัต ดูท่าความคิดที่อยากจะรวมกลุ่มกับคนอื่นของพิมจะยังไม่หายไป

ไม่สิ… คิดตามปกติ เวลาเจอสถานการณ์อันตรายแบบนี้ คิดว่าคนส่วนใหญ่คงอยากรวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มโอกาสรอดมากกว่ามาคิดเล็กคิดน้อยแบบเราล่ะนะ

พอคิดแบบนั้น… คนที่ไม่อยากรวมกลุ่มอย่างเราต่างหากมั้งที่แปลกกว่าชาวบ้าน

ทัตคิดแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ ราวกับช่วยไม่ได้

ถึงจะไม่ชอบใจก็เถอะ… แต่สถานการณ์มันก็กลับกลายเป็นว่าคนพวกนั้นคิดไปแล้วว่าแถวนี้มีคนอยู่

ทีนี้… ถ้ายังหลบอยู่แล้วไม่เจอกันก็คงไม่เป็นไรหรอก

แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายที่ถูกเจอทีหลัง พวกนั้นอาจคิดว่าพวกเราไม่น่าไว้ใจแทนก็ได้

ถ้าพวกนั้นใจกว้างก็แล้วไป… แต่ถ้าพวกนั้นเป็นกลุ่มหัวรุนแรงล่ะก็ คงไม่ต้องสืบหรอกว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง

“เข้าใจแล้ว! พวกนายอยู่ตรงนั้นแหล่ะ! พวกเราจะลงไปหา!!!”

ทัตที่ไม่มีทางเลือกจึงชันตัวยืนขึ้นให้คนพวกนั้นที่ยืนอยู่กลางถนนเห็นตัว ก่อนจะตะโกนส่งเสียงออกไปเพื่อแสดงตนว่าไม่ใช่ศัตรู

แต่อย่างไรก็ดี… ถึงแม้ทัตจะทำอย่างที่พิมต้องการแต่เธอก็ไม่ได้เผยยิ้มออกมาแต่อย่างใด

เพราะถึงทัตจะไม่เตือนพิม เธอเองก็ไม่ได้ปล่อยปละขนาดไว้ใจคนแปลกหน้าเหมือนกัน

❖❖❖❖❖

จากนั้น… หลังคำนวณผลดีผลเสีย เพราะไม่มีทางเลือกทัตกับพิมก็เลยต้องลงไปเจอคนพวกนั้น

โดยปกติใช้เวลาไม่น่าเกินนาทีนึงด้วยซ้ำ กลุ่มเด็กหนุ่มสี่คนเลยรู้สึกระแวงขึ้นมาตะหงิดว่าทำไมแค่เดินบันไดลงมาจากชั้นสองมันถึงใช้เวลานานนัก

จนกระทั่งพบว่ากลุ่มของอีกฝ่ายมีผู้หญิง… มีพิมอยู่ด้วย ความคิดกังวลสงสัยพวกนั้นก็ปลิวหายไปหมด

“โทษทีที่ให้รอนะ”

“ “โอวววว” ”

เด็กหนุ่มสองคนที่ในมือถือมีดพร้าไม่ได้สนใจคำทักทายของทัตด้วยซ้ำ พอเห็นว่าทัตมากับเด็กสาวรูปงามอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาของพวกเขาก็แสดงประกายออกมาอย่างซื่อตรง

แต่เพื่อไม่ให้หลงประเด็น (รวมถึงไม่อยากให้พวกนั้นจ้องพิมมากเกินไป) ทัตก็เลยขยับขึ้นหน้าบังพิมไปครึ่งหนึ่งให้พวกเขาสนใจตัวเองแทน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยต่อ

“อย่างที่เห็น เรามาดีนะ” ทัตย้ำเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อนเพื่อไปต่อ

“พวกนายเองก็เอาตัวรอดมาได้เหมือนกันสินะ” ก่อนจะว่าแบบนั้นแล้วมองไปรอบ ๆ สังเกตจำนวนคนอีกครั้ง ในขณะที่เปิดประเด็นเพื่อกุมทิศทางของบทสนทนา

“ก็นะ… จะว่าไปนายกับเธอแค่เอาตัวรอดมาได้เฉย ๆ หรือว่ามีพลังแล้วกันล่ะ?”

เด็กหนุ่มคนที่โกรกผมสีทองเอ่ยถาม แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดเดาของทัตมากนัก

ถ้าถามออกมาอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกนายทุกคนก็เกิด ‘การตื่น’ แล้วเหมือนกันสินะ

ตรงจุดนี้… ก็จริงที่การปิดบังข้อมูลอาจเป็นการฉลาดกว่า

แต่ว่า… จะให้อีกฝ่ายเห็นว่าเราอ่อนแอกว่าไม่ได้

“ใช่เลย… อยู่ดี ๆ ก็มีอะไรโผล่มาให้เห็นยังกับในเกมเลย แปลกชะมัด” ทัตตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ดูแปลกใจ ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ

“ก็นั่นน่ะสิ! แต่มันก็ช่วยให้เราฆ่าพวกมอนได้ง่ายขึ้นจริงนี่นา” เด็กหนุ่มผมดำอีกคนเอ่ยอย่างร่าเริง หากไม่เป็นเพราะไม่ตระหนักถึงอันตรายของสถานการณ์ เขาก็คงจะชินชากับการเอาตัวรอดแบบนี้ไปแล้ว

“จะว่าไป พวกนายเลเวลเท่าไหร่แล้วเหรอ?”

แล้วพอบทสนทนาเข้าที่จนสนิทกันพอควร ทัตก็ฉวยโอกาสถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปในทันที

“55”

“53”

เด็กหนุ่มผมทองกับผมดำสลับกันตอบคนละที ซึ่งพอได้ยินคำตอบแบบนั้นเหงื่อก็ผุดขึ้นบนหน้าของทัตไปเองโดยไม่รู้ตัว ทางด้านของพิมเองก็เผลอกำมือตัวเองเสียแน่นโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

พวกนี้แข็งแกร่งกว่าที่เราคิดอีก… คิดถูกแล้วแฮะที่รีบเผยตัวแล้วแสดงท่าทีเป็นมิตร

แต่ว่าแบบนี้ ดูท่าเราต้องระวังทั้งคำพูดและการกระทำเอาไว้ให้มากกว่าเดิมซะแล้ว

“แล้วทางนายเลเวลอะไรกันบ้างล่ะ?” เมื่อถามสิ่งใดไปก็ย่อมต้องเตรียมใจที่จะถูกถามกลับ แต่ถึงอย่างนั้นทัตก็ไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามนั้นอยู่ดี

“34” กระนั้น ทัตก็พยายามตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“? ของฉัน 25”

พิมเหลือบตามองทัตก่อนตอบเล็กน้อย เพราะตอนแรกเธอคิดจะโกหกให้ตัวเลขสูงกว่าความเป็นจริงนิดหน่อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองว่าพวกตนอ่อนแอกว่าเกินไป

ซึ่งพอมานึกดู… ก็เข้าใจสาเหตุที่ทัตไม่โกหก ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายอาจมีสกิล ‘วิเคราะห์’ ก็ได้นั่นแหล่ะ เธอเลยตามน้ำไปเหมือนทัตเพื่อความไม่ประมาท

“อะไรกันเนี่ย? ก็เยอะใช้ได้เลยนี่นา?”

“แสดงว่าลุยกันมานานแล้วล่ะสิ? พวกนายน่ะหัดดูพวกนั้นเป็นตัวอย่างไว้หน่อยล่ะ”

“คะ ครับ”

เด็กหนุ่มทั้งสองคนตอบกลับไม่พอยังแอบแขว่ะเด็กใหม่ที่ตัวเล็กกว่าในกลุ่มของตนด้วย เขาพูดไปก็ตบหลังเด็กหนุ่มผมดำที่ถือกระบองไม้ไป เด็กหนุ่มร่างเล็กที่เป็นเด็กใหม่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อน

และไม่ว่าจะดีหรือร้าย… แต่ท่าทางนั้นมันทำให้ทัตมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา

แม้ในตอนแรกจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าเด็กหนุ่มตัวเล็กราวเด็ก ม.ต้น สองคนน่าจะเป็นคนที่มีสถานะต่ำกว่าจริงไหม แต่พอฟังจากรูปแบบการสนทนา รวมถึงการไม่เข้ามาพูดแทรกก็เลยทำให้ทัตมั่นใจ

บวกกับสายตากังวลของเด็กหนุ่มร่างเล็กสองคน… ทำให้ทัตรู้สึกว่าบางที พวกเขาอาจไม่เต็มใจที่จะอยู่กับกลุ่มนี้เท่าไหร่

“เอ้อนี่ ลืมถามไปเลย… พวกแกน่ะ คงไม่ใช่พวก ‘เซฟเวอร์ (Saver)’ หรอกใช่มะ?”

ในระหว่างที่ทัตประมวลความสัมพันธ์ของคนในกลุ่ม… อยู่ ๆ เด็กหนุ่มที่โกรกผมทองก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาด้วยชื่อที่ทัตและพิมไม่เคยได้ยินมาก่อน

ซึ่งเรื่องชื่อที่ไม่เคยได้ยินนั่นมันไม่ใช่ประเด็นสลักสำคัญอะไรหรอก… นอกเสียจากว่าในจังหวะที่เขาพูดแบบนั้นออกมา มือที่จับพร้าอยู่ก็กำแน่นขึ้นมาเสียถนัดมือพร้อมใช้ รวมถึงสายตายังแฝงการคุกคามออกมาอย่างเป็นศัตรูอีกด้วย อาการนั้นปรากฏกับเด็กหนุ่มผมดำที่ถือพร้าในมืออีกคนเช่นกัน จะมีข้อยกเว้นก็แต่กับเด็กหนุ่มร่างเล็กสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรเลยเป็นพิเศษ

“โทษทีนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ฉันเองก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ที่พูดถึงนั่นเป็นใครกันเหรอ?”

ทัตกับพิมจึงรีบบอกปัดในทันที ต้องขอบคุณความช่างสังเกตของเขากับพิมเลยเลือกคำตอบได้ถูกต้อง ท่าทีเป็นศัตรูของเด็กหนุ่มผมดำและผมทองเลยลดลงไป

“อะไรกัน? เรื่องนั้นก็ไม่รู้เหรอ?” เด็กหนุ่มผมดำเอ่ย

“เราเองถ้าไม่ได้เข้าแก๊งก็คงไม่รู้เหมือนกันนั่นแหล่ะน่า” เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มโกรกผมทองอีกคนตบบ่าคนที่พูดเมื่อครู่

ในทุกคำที่พูด และเจตนาที่แฝงในคำพูดของพวกเขา… ไม่แม้แต่วิธีที่ใช้เรียกกลุ่มของตัวเองทำให้ทัตกับพิมระวังตัวมากขึ้น

…แต่ดูเหมือนอย่างน้อย ๆ เด็กหนุ่มผมดำก็ยังตอบคำถามของพิมอยู่ แต่สาเหตุของเรื่องนั้นก็เป็นเพราะเขาอยากหาเรื่องคุยกับพิมที่เป็นผู้หญิงน่ารักมากกว่าที่จะรู้สึกอยากช่วยเหลือคนอื่น

“ก็นะ… พวกนั้นเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาแล้วถือวิสาสะเรียกตัวเองว่าเป็นองค์กรที่จะคอยช่วยเหลือผู้คนในตอนที่กลางคืนแรกมีมอนสเตอร์มาบุกนั่นแหล่ะ เป็นกลุ่มที่ใหญ่ระดับประเทศเลยมั้ง”

“แล้วงานอีกอย่างก็คือรวบรวมและสอดส่องพวกที่มีพลังอย่างพวกเรานี่แหล่ะนะ”

ทั้งสองคนถึงได้พูดเหมือนแย่งกันตอบ ในขณะที่สายตาของพวกเขาทั้งสองคนโฟกัสไปยังคนที่เอ่ยถามอย่างพิม

แต่บางทีก็รู้สึกว่ามันมากเกินไปจากสายตาที่มองพิมตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นทำให้พิมรู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย และในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ทัตรู้สึกไม่สบอารมณ์ด้วย

“แล้วพวกนายไม่ได้อยู่กลุ่มที่ว่านั่นเหรอ?” ทัตจึงพยายามดึงสายตาพวกนั้นกลับมาด้วยบทสนทนา ด้วยคำถามที่น่าจะรู้คำตอบกันดีอยู่แล้ว

“ก็เพราะตอนนี้ไม่มีพวกมันอยู่แถว ๆ นี้นี่แหล่ะ… แล้วอีกอย่าง มันจู้จี้จุกจิกจะตายไป” เด็กหนุ่มผมทองว่าพลางยักไหล่อย่างรำคาญใจ

คำตอบของเขาทำให้ทัตเข้าใจในตัวชายคนนี้มากขึ้น… อย่างน้อยก็รู้ว่าชายคนนี้เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระมากกว่าจะอยู่ในกฎเกณฑ์แม้ว่าจะแลกมาด้วยประโยน์มากมายก็ตาม เพราะหากองค์กรที่ว่ามามันมีอยู่จริง ‘เซฟเวอร์’ ที่ว่าก็น่าจะมีบุคลากร ข้อมูล เครื่องมือหรืออะไรหลาย ๆ ครบครันมากพอที่จะเอาตัวรอดได้สบาย ๆ

แต่กลับละทิ้งโอกาสรอดดี ๆ แบบนั้นไปแค่เพราะอยากใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ คิดดูแล้วมันก็แปลกอยู่

หรือมองในอีกแง่นึง คนพวกนี้อาจจะแค่อยากทำตามใจตัวเองมากกว่าอยู่ในกฎล่ะมั้ง นั่นคือสิ่งที่ทัตคิด

“เรื่องนั้นช่างเถอะ… งั้นก็แสดงว่าพวกนายยังไม่มีกลุ่มอยู่ใช่ไหมล่ะ?” เด็กหนุ่มผมดำอีกคนเอ่ยถาม ปฏิกิริยาของเขาดูมากกว่าทุกครั้งจากที่ยกมือประกอบการอธิบาย

หรือนี่จะเป็นเป้าหมายแต่แรกของคนพวกนี้กันนะ? ทัตกับพิมแอบคิดอย่างนั้น

“พวกเราก็อยู่ด้วยกันสองคนนั่นแหล่ะ” ทัตตอบอย่างเลี่ยง ๆ พยายามทำให้คิดว่าไม่รู้สึกลำบากหากทั้งกลุ่มมีแค่เขากับพิม

“ไม่เอาน่า… อยู่ด้วยกันเยอะ ๆ มันจะไม่อุ่นใจกว่าเหรอ?”

“แถมทางฉันเลเวลเยอะกว่าด้วยนะ ปลอดภัยกว่าอยู่กันแค่สองคนเห็น ๆ เลย”

เด็กหนุ่มผมดำและผมโกรกสีทองเริ่มโปรโมทตัวเองหนักขึ้นและหนักขึ้น พยายามเชื้อเชิญให้ทัตกับพิมเข้าร่วมกับตน

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ แต่พวกเราสะดวกอยู่ด้วยกันมากกว่า”

ถึงอย่างนั้น… ต่อให้อีกฝ่ายมีข้อได้เปรียบหรือจุดเด่นอันน่าเชื่อให้คล้อยตามการเชิญชวนมากขนาดไหนแต่ทัตก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี เพราะถึงจะให้พูดยังไง มันก็สะดวกใจกว่าถ้าได้อยู่กับคนรู้จักโดยเฉพาะพิม แถมถ้าจะเลือกจับกลุ่มจริง ๆ เขาก็ขออยู่กับกลุ่มที่ดูเป็นทางการ มีข้อมูลและไว้ใจได้มากกว่านี้คงจะดีกว่า

และที่สำคัญที่สุด… จากการประเมินอะไรหลาย ๆ อย่างจากกลุ่มคนพวกนี้ ทัตก็ตัดสินแล้วว่าคนพวกนี้อาจมีอะไรซ่อนอยู่ที่ไม่ได้บอกกับเขา แถมนิสัยและทัศนคติคงเข้ากันไม่ได้ด้วย เพราะงั้นถ้าจะให้เอาตัวรอดไปด้วยกันก็คงรู้สึกแคลงใจเสียเปล่า ๆ

“ให้ตายสิ นายนี่มันไม่ไหวเลยน้า… แบบนั้นจะไปเอาตัวรอดได้ยังไง” แต่ถึงอย่างนั้น การเชิญชวนก็ยังไม่จบลง

ไม่สิ… สำหรับทัตอาจจบลงแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มสองคนมุ่งสายตาความสนใจไปที่พิมแทนแล้ว

“แล้วเธอล่ะ? ไม่สนใจมาอยู่กับพวกฉันเหรอ?”

“พวกเราแข็งแกร่งกว่าหมอนั่นอีกนะ? ดูแลเธอได้ดีกว่าหมอนั่นเป็นไหน ๆ เลย?”

พวกเขาเอ่ยแบบนั้นด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าตนทรงเสน่ห์ไปยังพิม แต่คำพูดมันก็ข้ามหัวทัตอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าตอนนี้พวกเขาจะไม่สนใจทัตแล้วด้วยซ้ำ

และสำหรับพิมที่เห็นว่าทัตโดนดูถูกก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน

“ขอโทษด้วยน้า แต่ไม่เอาหรอก” พิมจึงปฏิเสธเสียงใส ด้วยท่าทางเหมือนกับบอกปัดคนที่เข้ามาชวนเธอไปเที่ยวอยู่บ่อย ๆ ว่าไปแล้วเธอคงเคยชินกับการบอกปัดผู้ชายที่เข้าหาแล้วกระมั้ง

แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้น… เพราะพิมยังเขยิบเข้ามาใกล้ทัตแล้วกอดแขนขวาเขาไว้แน่นอีกด้วย ความกะทันหันนั่นทำเอาทัตสะดุ้งไปเลย

ทำอะไรของเธอเนี่ย!?

ทัตเริ่มแสดงสีหน้าสับสนพร้อมกับมองค้อนไปทางเธอ แต่พิมกลับยิ่งกดหน้าอกตัวเองกับแขนของทัตเข้าไปใหญ่ ความนุ่มของมันทำให้ทัตสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอันร้อนระอุของร่างกายเธอในตอนนี้ได้เลย แถมความใกล้ชิดนั่นยังทำให้เขารู้สึกเหมือนแขนขวาจะละลายกลายเป็นปุยนุ่นไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะยังไงอย่างงั้น

และเพราะทัตนิ่งไป พิมก็เลยเป็นคนที่ต่อบทสนทนาแทน

“ก็แบบว่าถ้าจะให้อยู่ล่ะก็… ได้อยู่กับแฟนตัวเองมันปลอดภัยแถมสะดวกใจกว่านี่นา”

แถมหลังจากนั้นพิมก็ดันพูดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นมาอีก และอีกครั้งที่ทำให้ใบหน้าทัตร้อนผ่าวขึ้นมาแวบนึง

แต่อันที่จริง… ตัวพิมที่พูดแบบนั้นออกมาน่ะ อาการออกหนักกว่าทัตเสียอีก เพราะใบหน้าของเธอแดงไปจนถึงหูแล้ว

แน่นอนว่าเรื่องที่พูดมันใช่ความจริง… ยังไม่ใช่ความจริง… พอตั้งสติทัตก็ตระหนักเรื่องนั้นได้

แล้วพอตั้งสติได้ ทัตก็เริ่มจะเข้าใจการกระทำของพิมที่พยายามแสดงให้เห็นว่าเธอกับตัวเขาเป็นคู่รักที่เอาตัวรอดด้วยกันและไม่สะดวกใจที่จะอยู่กับกลุ่มผู้ชายคนอื่น เธอพยายามเล่นละครแสดงออกให้พวกนั้นเชื่ออย่างที่เธออยากให้เชื่อ เพื่อที่จะได้ไม่มีเหตุผลในการเชิญชวนอีก

…และที่สำคัญ เธอหวังว่าสายตาโลมเลียของเด็กหนุ่มพวกนั้นจะลดน้อยลงด้วยเมื่อได้รู้ว่าพิมมีคนรู้ใจอยู่แล้ว เพราะเดิมทีสำหรับเด็กผู้หญิง การถูกชายที่ไม่ได้หมายปองมามองจ้องจุดสำคัญไม่ว่าจะต้นขา หน้าอกหรือขาอ่อน มันก็ทำให้รู้สึกแย่ทั้งนั้น

แต่สำหรับทัตที่ได้สติกลับมาจากการถูกตัณหาเข้าครอบงำนั้น มีแค่ความรู้สึกผิดที่ว่า ‘ทำให้พิมต้องพูดแบบนั้น’ อยู่ในใจเท่านั้น… ด้วยสาเหตุที่ทั้งคู่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ

“เอ๋… อะไรกันเนี่ย? เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”

“นึกว่าไม่ใช่ซะแล้วเชียว น่าเสียดาย”

ทางด้านของพวกเด็กหนุ่ม พอได้ยินอย่างนั้นก็แสดงท่าทีเสียดายกันออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง

ทว่า… ทางด้านเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ถือกระบองกับสวมแว่นนั้นทำแค่ยิ้มแห้ง ๆ ตามสถานการณ์เหมือนเคย แต่ที่ทำให้ทัตรู้สึกติดใจ น่าจะเป็นสายตาที่เหมือนกับหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า

“น่าเสียดายจังแฮะ… แสดงว่าจะไม่ยอมเข้าพวกสินะ” เด็กหนุ่มโกรกผมทองเอ่ยสรุปความ

“…ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ”

ทัตตอบกลับไปแบบรักษามารยาทอย่างที่ควรทำ แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายใช้น้ำเสียงที่ต่างไปจากก่อนหน้านี้

…ในทางที่แข็งกร้าวและรุนแรงมากขึ้นก็ตาม

“ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ…”

ในจังหวะถัดมา เด็กหนุ่มที่โกรกผมทองคนเดิมก็พึมพำอะไรสักอย่างอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แต่กลับฉีกยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

เจ้าพวกนี้คิดจะทำอะไรกัน? ทัตกับพิมสงสัยอย่างนั้นด้วยความกังวล ทางพิมเองก็เผลอเพิ่มแรงกอดแขนของทัตมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพราะความกลัวเหมือนกัน

…จนกระทั่งในท้ายที่สุดคำตอบก็ออกมา

“พวกนายห้ามขยับเด็ดขาด… นอกซะจากว่าอยากตายน่ะนะ”

เมื่อมีชายคนที่ 5 ปรากฏตัวด้านหลังของทัตกับพิมในระยะประชิดอย่างกะทันหันโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงใด ๆ เป็นสัญญาณก่อนเลย นอกจากคำประกาศดังกล่าวราวกับเป็นผีหรือวิญญาณยังไงอย่างงั้น

และที่น่ากลัวกว่านั้น… คือสิ่งที่มีลักษณะคมแหลมที่กำลังจิ้มหลังของทัตอยู่กอปรกับคำขู่ของเจ้าตัวนี่แหล่ะที่ทำให้ทัตตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้ เดาได้ไม่ยากเลยว่ามันคือมีดที่พร้อมจะแทงหลังเขาได้ทุกเมื่อหากทำอะไรนอกเหนือไปจากความต้องการของพวกมัน

ไอ้หมอนี่! อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่สิ! หรือว่า… ใช้สกิลพรางกายมาตลอดจนถึงตอนนี้งั้นเหรอ!?

หัวของทัตประมวลผลอย่างรวดเร็วในช่วงที่ความตายกำลังจ่อหลังเขาอยู่ตรงตามความจริงทุกตัวอักษร

และแม้จะไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ได้คิดหาทางแก้เผื่อในสถานการณ์นี้ แต่เพราะตั้งแต่เกิดมาทัตยังไม่เคยถูกข่มขู่เอาชีวิตมาก่อน ประสบการณ์ครั้งแรกที่ไม่อยากจะเจอถึงได้ทำให้เหงื่อเย็น ๆ เริ่มไหลบนแผ่นหลังของเขา

“นี่มันหมายความยังไง?”

เมื่ออีกฝ่ายรุนแรงก็ไม่จำเป็นต้องประนีประนอม ทัตเลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้น

และที่ทำอย่างนั้นได้ เพราะทัตประเมินแล้วว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้คิดจะฆ่าพวกตนทิ้งเสียทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงฆ่าไปแล้วและไม่ออกมาปรากฏตัวให้เสียเวลาหรอก

คำถามคือ… พวกมันต้องการอะไร?

“จะถามอีกรอบนะ จะยอมมาเป็นพวกเราแต่โดยดี? หรือว่าจะยอมตายที่นี่? เลือกเอา”

เด็กหนุ่มผมดำเอ่ยพร้อมกับยกมีดพร้าในมือขึ้น ชี้คมนั้นเข้าหาทัต น้ำเสียงนั่นดูเย็นชาแต่กลับเผยรอยยิ้มออกมาราวกับรู้สึกพอใจกับสถานการณ์ที่ตนเหนือกว่า

“เดี๋ยวก่อนสิ… ไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่ากันซะหน่อย ยังไงพอกลางคืนจบลงทุกคนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ?”

ทัตเอ่ยถามด้วยข้อเท็จจริงที่เขารู้ แต่ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จแค่ไหน

เพราะเท่าที่ทัตรู้… อย่างน้อย ๆ สำหรับคนที่ยังไม่เกิด ‘การตื่น’ อาทิกล้า หนุ่ม แพร หรือแม้แต่พิมที่ตายไปในคืนแรกล้วนแล้วแต่ฟื้นคืนชีพขึ้นมากันหมด เพราะเวลามันถูกย้อนกลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น

แต่ว่า… ถ้าหากเวลามันย้อน ‘ทุกอย่าง’ กลับมาก่อนหน้าที่จะเกิดจริง จนเหตุการณ์ตายมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ มันก็จะมีเรื่องหนึ่งไม่สมเหตุสมผล นั่นคือ ‘การอัพเลเวล’ เองก็ควรจะถูกย้อนกลับมาด้วย

ทั้งอย่างนั้นเหล่าผู้มีพลังกลับสามารถเก็บสะสมเลเวลได้ทั้งที่ทุกอย่างมันถูกย้อนกลับมา เห็นได้ชัดเลยว่าพวกคนที่เกิดการตื่นแล้วนั้นไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ปกติได้

ดังนั้น ทั้งเลเวลและความทรงจำมันถึงไม่ถูกย้อนกลับไปเหมือนกับคนปกติ… หรืออาจหมายรวมถึงความตายเองก็ด้วย

“เฮอะ”

ทางด้านของเด็กหนุ่มที่โกรกผมสีทองพอได้ยินคำถามของทัตก็กลับหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมดำอีกคน เหลือแค่เด็กหนุ่มร่างเล็กสองคนกับชายที่เอามีดจี้หลังทัตอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้เปลี่ยนท่าที

“พวกแกนี่มันไม่ได้รู้อะไรเลย! สำหรับ ‘พวกเรา’ น่ะ ตายมันก็คือตายนั่นแหล่ะ!”

ท่าทีหัวเราะเยาะผู้ที่ด้อยกว่าราวมองว่าอีกฝ่ายโง่เขลากว่าตน บางทีนั่นคงเป็นคำตอบที่ทัตสงสัยซึ่งเขารู้ก่อนที่พวกมันจะอ้าปากตอบคำถามซะอีก

อย่างนี้นี่เอง… เป็นอย่างที่เดาไว้จริง ๆ…

ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าการตายของพวกเราจะแตกต่างจากคนปกติยังไง

แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างที่เจ้าพวกนี้พูดจริงหรือไม่ เราก็ไม่คิดจะตายอยู่แล้ว!

และแน่นอน… ว่าจะไม่ให้พิมตายเหมือนกัน!

“เอ้า ๆ คำตอบล่ะ?”

“เธอเองถ้าอยากเอาตัวรอด จะถือโอกาสบอกเลิกกับหมอนั่นมาอยู่กับฉันแทนก็ได้นะ”

“…เจ้าพวกนี้น่ารังเกียจชะมัด”

พิมขมวดคิ้วกัดฟันด้วยความหงุดหงิดมากกว่าทุกครั้งเพราะความอดทนมาถึงขีดจำกัด สายตาของเธอที่จ้องกลับไปอย่างรุนแรงราวกับงูแผ่แม่เบี้ย แต่พวกเด็กหนุ่มกลับยิ้มรับเสียอย่างนั้น แถมชอบใจอีกต่างหาก

เห็นอย่างนั้นทัตเลยพลอยหงุดหงิดตามไปด้วย สายตาของเขาแสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน แต่พวกเด็กหนุ่มก็ยิ้มเยาะอย่างดูถูกเพราะไม่คิดว่าทัตจะทำอะไรได้ในสถานการณ์อย่างนี้

ซึ่งตามปกติมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น… นอกเสียจากว่าเขาได้เตรียมการอะไรบางอย่างป้องกันไว้ก่อนแล้ว

และในชั่วพริบตาที่พวกเด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองจะครองความเหนือกว่าไปได้ตลอด พวกเขาก็ได้ถูกลงโทษจนตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดควบคุมได้

เปรี้ยง!!!

“!!!?”

นั่นคือจังหวะที่สายฟ้าได้ฟาดลงมาจากเหนือศีรษะเข้าใส่คนที่ใช้มีดขู่ทัตจากด้านหลังจนเขาชะงักไป

เป็นเวลาเดียวกับที่ทัตใช้โอกาสนี้เอื้อมมือข้างที่ไม่ได้ถูกพิมกอดแขนไว้ ดึงเธอเข้ามาสวมกอดโดยพยายามให้ใบหน้าของเธอหลบเข้ามา

“คิดจะทำอะไรของแกวะ!!!” เด็กหนุ่มที่โกรกผมทองตะโกนอย่างหงุดหงิดแม้จะยังสับสน พยายามจะวิ่งเข้ามาในขณะที่เงื้อมีดพร้าเข้าใส่ แต่ทัตไม่ได้สนใจมันมากนัก

“หลับตาซะพิม!”

แทนที่จะหวาดกลัวคนมีอาวุธที่กำลังวิ่งเข้าใส่ ทัตสนใจแค่การเตือนพิมที่อยู่ในอ้อมอกของเขามากกว่า เพราะไม่อย่างนั้น… หากเธอโดนลูกหลงไปด้วยมันจะแย่เอา

วูม!!!

ถัดจากคำบอกกล่าวให้สัญญาณของทัต พริบตาถัดมาจู่ ๆ ก็มีลูกบอลแสงสว่างลอยมาจากเหนือศีรษะอีกลูก พุ่งมาตรงกึ่งกลางระหว่างเขากับพวกเด็กหนุ่ม ก่อนที่มันจะระเบิดออกจนแสงสว่างขยายตัวไปรอบทิศเจิดจ้าไปหมด ความสว่างนั่นราวกับจะเผาไหม้เปลือกตาทุกคนยังไงอย่างงั้น

“เวรเอ้ย ตากู!”

“แม่งอยู่ไหนวะ!”

เด็กหนุ่มที่ถือมีดพร้าทั้งสองคนตะโกนอย่างหงุดหงิด ในขณะที่เด็กหนุ่มร่างเล็กสองคนสับสนกับสถานการณ์ ส่วนเจ้าคนที่ใช้มีดขู่ทัตจากด้านหลังโดนระเบิดแสงเข้าไปเต็ม ๆ จนตาพร่าไปหมดจากการที่ถูกสายฟ้าก่อนหน้านี้ทำให้ขยับไม่ได้

กับศัตรูทุกคนที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมกันหมด… หากจะมีโอกาสไหนที่จะใช้หนีก็คงไม่มีอีกแล้วนอกจากตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าพิมเองก็ถูกผลของระเบิดแสงไปด้วยเหมือนกันแม้จะไม่มากเท่ากับพวกนั้นก็เถอะ

“ว้าย!” ทัตที่ไม่มีทางเลือกก็เลยอุ้มพิมขึ้นมาในท่าเจ้าหญิง นั่นเลยทำให้พิมตกใจ

“นี่ฉันเอง จับแน่น ๆ นะ”

ทัตไม่ลืมที่จะบอกพิมให้เข้าใจสถานการณ์เพราะตอนนี้เปลือกตาเธอยังปิดอยู่ ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปจากที่เกิดเหตุในทันที

โดยเหลือทิ้งไว้แต่พวกอันธพาลสามคนและเด็กใหม่ที่กำลังสับสนสองคนให้อยู่กับความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาท

“แฮ่ก… แฮ่ก…”

ไม่นานหลังจากวิ่งหนีออกมา ทัตก็พยายามกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อหาที่หลบดี ๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าของพวกนั้นทำได้แค่ถ่วงเวลาและคงใช้ได้ผลแค่ครั้งเดียวด้วย

หลังวิ่งอ้อมผ่านตึกเรียนใหญ่มาจนถึงตึกอันเป็นที่ตั้งห้องเรียนของทัตกับพิมเขาก็ตัดสินใจขึ้นไปในนั้น

ถ้าขึ้นไปชั้นสองแล้วพวกมันล้อมจับได้ล่ะแย่แน่… ต้องหาที่หลบที่ชั้นหนึ่ง!

คิดได้ดังนั้นทัตก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องเรียนวิทยาศาตร์ที่ตั้งอยู่กลางตึกของชั้นหนึ่งก่อนจะรีบปิดประตูให้สนิท ต้องขอบคุณที่มันไม่ได้ล็อคอยู่ ทัตเลยเข้ามาและใช้เป็นที่หลบซ่อนได้โดยที่ไม่ต้องพังอะไรให้น่าสงสัย

เขาเดินไปจนถึงโต๊ะเรียนรวมที่นั่งได้ 10 คนบริเวณริมหน้าต่างถึงจะวางใจปล่อยพิมลงจากท่าอุ้มไว้ที่พื้นห้องเรียน ตัวเขาเองก็นั่งยองลงใกล้ ๆ เธอเหมือนกัน

“น่าจะปลอดภัยแล้วล่ะ” ทัตว่าแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ทำอย่างเบา ๆ เพราะกลัวว่าเสียงจะลอดออกไปข้างนอก

“ให้ตายสิ… ตกใจหมดเลย” พิมว่าแล้วก็ถอนหายใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนทางฝั่งเธอจะไม่ได้ทำไปเพราะโล่งอกเพียงแค่อย่างเดียว สังเกตจากใบหน้าที่แดงก่ำจนถึงหูของเธอก็รู้

อย่างไรก็ดี… แม้จะแค่ชั่วคราวแต่สถานการณ์ก็ผ่อนคลายลงแล้วทัตเลยหย่อนก้นลงเต็ม ๆ แล้วนั่งพักข้างเธออย่างเหนื่อยอ่อน

“เห็นไหมล่ะ คนอื่นมันไว้ใจได้ที่ไหน”

“…เข้าใจแล้วน่า” พิมทำแก้มป่องกับประเด็นที่ทัตเปิดขึ้นมา เพราะถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ความจริงมันก็เป็นอย่างที่เห็น

แต่ก็เป็นเพราะทัตมีมาตรการสำรองเผื่อไว้ในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นพวกหัวรุนแรงด้วยนี่แหล่ะถึงได้ผ่านวิกฤตมาได้ พิมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับ

ด้วยการใช้เวทมนตร์ที่เขามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและร่ายไว้ก่อนล่วงหน้าแต่ยังไม่ยิงออกไป อย่างเวทยิงสายฟ้าที่ใช้เพื่อสตั้นศัตรู บวกกับเวทแสงสว่างที่ใช้แทนระเบิดแสงเพื่อทำให้อีกฝ่ายสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว

ทั้งสองอย่างนั้นถูกร่ายไว้ก่อน แล้วทัตก็ควบคุมให้มันลอยอยู่ข้างบนสูงกว่าศีรษะไปหลายสิบเมตร แต่แน่นอน ด้วยความที่เป็นเวทมนตร์ประเภทที่มีแสงสว่างทั้งคู่ ต่อให้อยู่สูงแค่ไหนก็คงเหมือนกับมีหลอดไฟลอยตาม ด้วยเหตุนั้นทัตที่ตอนนี้ใช้เวทได้ 3 อย่าง จึงใช้เวทธาตุความมืดอีกชนิดคลอบเวททั้งสองไว้อีกต่อเพื่อไม่ให้ถูกมองเห็นแม้ว่าจะมองตรง ๆ ก็ตาม

นั่นแหล่ะคือแผน… และมันก็สำเร็จอย่างงดงาม

“ยังไงก็ ขอบใจนะ… แล้วจะเอายังไงต่อเหรอ?” พิมเอ่ยถามอย่างนั้น ความกังวลยังอยู่บนสีหน้าของเธอเพราะปัญหายังไม่คลี่คลาย

“ก็คิดว่าจะซ่อนตัวจนกว่าคูลดาวน์ของสกิล ‘พรางกาย’ จะกลับมานั่นแหล่ะ… แต่ว่า…”

“มันไม่แก้ปัญหาในระยะยาวใช่ไหมล่ะ?”

พิมชิงตอบทัตก่อนราวกับอ่านใจเขาได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง คำตอบนั้นก็ไม่น่าอภิรมย์อยู่ดี

เพราะถึงพวกทัตจะใช้สกิลพรางกายหนีไปจากที่นี่คืนนี้ได้ แต่ในอนาคตหากกลุ่มที่ตามล่าพวกทัตนี้เป็นกลุ่มหัวรุนแรงจริง พวกเขาคงจะตามรังควาญพวกทัตต่อในอนาคตอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่นอน

หรือที่น่ากลัวยิ่งกว่า… คือพวกนี้อาจถึงขั้นตามล่าพวกทัตในความเป็นจริงปกติที่มอนสเตอร์ยังไม่บุกมาก็เป็นได้เหมือนกัน

แต่ว่า… ถ้าจะให้ถึงขั้นต้องสู้แลกชีวิตกันจริง ๆ

แบบนั้นมันก็…

ทัตคิดไปถึงจุดที่ช่วยไม่ได้แล้วก็เหลือบไปมองพิมที่อาจจะกำลังคิดเรื่องแบบเดียวกันอยู่

นั่นเพราะทั้งทัตและพิมต่างก็รู้… ว่าวิธีที่จะทำให้พวกนั้นไม่ตามรังควาญก็มีแต่การแสดงให้เห็นว่าฝ่ายที่เหนือกว่าไม่ใช่พวกนั้นแต่เป็นพวกทัตต่างหาก และการพิสูจน์เรื่องนั้นคงทำด้วยวิธีอื่นไม่ได้นอกจากการต่อสู้

โดยประเมินจากท่าทางของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันเอาจริงถึงขั้นที่ว่าสามารถฆ่าแกงกันได้อย่างไม่รู้สึกผิดเลย ทัตก็ไม่รู้ว่าพวกมันเคยทำเรื่องอย่างนี้มาก่อนรึเปล่าถึงได้ดูเคยชินจนถึงขั้นสนุกที่จะได้เข่นฆ่า

…แต่นั่นไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับทัตและพิมที่โตมาในสภาพสังคมปกติ การฆ่าคนอยู่นอกเหนือตัวเลือกที่ยอมรับได้ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่อยากไปต่อสู้กับพวกนั้น เพราะรู้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้แบบแลกชีวิตนั่นเอง

“จะให้เจรจาก็คง… ไม่ไหวสินะ” พิมพยายามหาตัวเลือกอื่น แต่คำตอบก็ออกมาทันทีอย่างน่าหงุดหงิด

ในขณะที่ทัตนั้นมองมุมต่าง… เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าหากต้องการหนีจากการตามรังควาญ มันก็มีแค่วิธีเดียวนั่นคือการต่อสู้ ดังนั้น ในหัวของทัตตอนนี้จึงไม่ได้คิดหาวิธีอื่น แต่เป็นการคิดหาวิธีแสดงความเหนือกว่าโดยที่ไม่ต้องฆ่ากันให้ตาย

พูดน่ะมันง่าย… แต่จะให้ทำยังไงดีล่ะ?

เพราะเจ้าพวกนั้นก็รู้เลเวลของเราอยู่แล้ว… อันที่จริงแค่นึกถึงเรื่องนั้นก็รู้สึกอยากยอมแพ้แล้ว เพราะพวกนั้นเลเวล 50 ตั้งสองคน แถมยังไม่รู้เลเวลของอีกสามคนที่เหลืออีก

หรือจะแสดงความเหนือกว่าทางด้านอุปกรณ์ดีไหม?

ไม่สิ… เท่าที่ดู คนดิบเถื่อนอย่างพวกมันถ้าไม่แสดงให้เห็นว่าเหนือกว่าตรง ๆ ล่ะก็ ยังไงก็คงไม่เข้าใจหรอก

ทัตคิดแล้วคิดอีกก็ไม่ได้คำตอบจนเกาหัวแกรก ๆ อย่างหงุดหงิด ทำเอาพิมเป็นห่วงเขาไปด้วยทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันแท้ ๆ

ทว่าในตอนนั้น ทัตก็เพิ่งจะนึกเรื่องที่ว่ายังมีแต้มเลเวลเหลืออยู่จากการที่โค่นพวกมนุษย์หมาป่าไป

รวมถึงนึกเรื่องที่คิดอยากทดลองขึ้นมาได้เหมือนกัน

“นี่… จำเรื่องที่ว่าอาจจะมีอาชีพผสานเกิดขึ้นตอนที่อัพเลเวลของอาชีพ ‘Supporter’ ให้เป็นเลเวล 11 ได้ไหม”

“ได้สิ… จะลองดูเหรอ?”

พิมเอียงคอเอ่ยถาม เพราะเธอเคยคำนวณผลลัพธ์ของมันมาก่อนแล้ว ว่าถึงจะเกิดอาชีพผสานขึ้นอีก 2 อาชีพ สเตตัสรวมถึงเลเวลสกิลก็ยังน้อยกว่าคนที่เน้นอัพอาชีพเดียวอยู่ดี คงมีแค่ความหลากหลายของสกิลเท่านั้นที่ได้เปรียบ

แต่หากเป็นการต่อสู้ระหว่างคนด้วยกันที่เลเวลสกิลเพียงหนึ่งเลเวลก็มีผลในการตัดสินแพ้ชนะ ยังไงอาชีพผสานนี้ก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้ว ยิ่งอีกฝ่ายมีเลเวลสูงกว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

แต่ว่า… ยังไง ๆ แต้มเลเวลมันก็เหลืออยู่แล้ว

แถมถ้าจะต้องต่อสู้ ยังไงก็ต้องใช้แต้มเลเวลเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าที่จะมากได้ไว้ก่อนอยู่แล้ว

เพราะงั้น…

ทัตคิดอย่างนั้นเพราะไม่มีอะไรจะเสีย รวมถึงไม่มีแผนอื่นที่ดีกว่า

…เขาจึงใช้แต้มที่เหลืออัพเลเวลของ ‘Supporter’ ให้เป็นเลเวล 11

❖❖❖❖❖

“แม่งเอ้ย ไปไหนกันแล้ววะ!”

หลังจากที่ทัตกับพิมเล่นเล่ห์จนหนีออกมาได้ เจ้าพวกเด็กหนุ่มก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างหงุดหงิดมาตลอดในขณะที่เดินหาพวกทัตแบบกวาดไปทั่ว ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้หัวคิดสิ้นดีเพราะเผยเสียงของตัวเองเสียดังลั่น หากว่าทัตกับพิมยังอยู่แถวนี้จริง พวกเขาก็คงหนีไปทางอื่นไกลกว่าเดิมแล้วแน่ ๆ

“เอ่อ พี่ครับ เบาเสียงหน่อยดีไหมครับ”

เพราะแบบนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กสวมแว่นก็เลยเตือนเด็กหนุ่มผมโกรกสีทองไป ไอ้เรื่องที่เผยจุดให้ทัตกับพิมรู้ตัวก็ส่วนหนึ่ง แต่เขากลัวว่าเสียงตะโกนนี้จะดึงดูดมอนสเตอร์เข้ามาต่างหาก

“หนวกหูน่า! แกเองก็ใช้เวทมนตร์ได้ไม่ใช่เหรอ!? ทำไมถึงไม่รู้ตัวก่อนวะ!”

“คะ ขอโทษด้วยครับ”

แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นการโดนตวาดแทนเสียอย่างงั้น ดูท่าการใช้เหตุผลกับคนที่กำลังโกรธจะเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ แต่ถึงแบบนั้นมันก็มากเกินไปอยู่ดี

ให้ตายสิ ทั้งที่จริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากทำเรื่องแบบนี้ซะหน่อย… เด็กหนุ่มสวมแว่นคิดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่กล้าเถียงพวกรุ่นพี่กลับไปหรอก

“เฮ้ย”

“ “ “!!!?” ” ”

แล้วในจังหวะที่คิดจะเปลี่ยนตำแหน่งไปหาที่จุดอื่นต่อ อยู่ดี ๆ เป้าหมายอย่างทัตก็ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้าของพวกเขาเสียอย่างนั้น

ได้ยินเสียงทำให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กหนุ่มผมดำ เด็กหนุ่มโกรกผมทองและเด็กหนุ่มที่ถือมีดสั้นที่ขู่ทัตหันขวับไปมอง แล้วก็สบเข้ากับทัตที่กำลังเดินลงมาจากตัวอาคารช้า ๆ ส่วนพิมเองก็อยู่ห่างจากทัตไปไม่ไกล

“อะไรกัน? เปลี่ยนใจแล้วเหรอ?” เห็นทัตยอมเผยตัว เด็กหนุ่มที่โกรกผมทองก็เอ่ยถาม เพราะมันไม่น่ามีเหตุผลอื่นที่ทัตซึ่งอ่อนแอกว่าจะยอมเผยตัวเอง

แต่ว่าเขาคิดผิดถนัด…

“ไม่มีทาง”

ทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ ไร้อาการสั่นกลัวใด ๆ แตกต่างจากก่อนหน้านี้ แถมความกังวลยังไม่ปรากฏบนสีหน้าอีก เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีอะไรแปลกไป

อะไรกันไอ้หมอนี่… ทำไมมันถึงซ่า ต่างจากก่อนหน้านี้จังวะ?

พวกเด็กหนุ่มอันธพาลพวกนี้เองก็สังเกตเห็นได้เหมือนกัน… อย่างน้อย ๆ ก็รู้สึกว่าทัตไม่ได้กลัวพวกตนเลยทั้งที่มีเลเวลและจำนวนมากกว่า

…แต่คำตอบสำหรับเรื่องนั้น พวกเขาคงไม่อาจรู้ได้จนกระทั่งพ่ายแพ้ไปแล้ว

“ห้ามมายุ่งกับพวกเราอีก ถ้าไม่ฟังที่พูด ฉันจะอัดพวกนายให้เละ” ทัตพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม แววตาของเขาราวกับเหยี่ยว แต่สำหรับพวกเด็กหนุ่มอันธพาลสวมปลอกแขนแดง พวกเขาเขารู้สึกว่ามันคือการข่มขู่

ทัตเองก็ไม่ใช้เวลานานนัก เพราะหากปล่อยเวลาผ่านไป… ที่จงใจสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในใจพวกนั้นมันก็คงไม่มีประโยชน์

เขาจึงเลื่อนมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นและกำหมัดแน่น ก่อนที่จะ…

พรึ่บ!

ร่ายเวทยิงธาตุไฟให้เคลือบหมัดทั้งสองข้าง ด้วยความเร็วที่เกือบจะเรียกได้ว่าทันที ไร้ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จแตกต่างจากก่อนหน้านี้คนละระดับ

เพียงเท่านั้นเหล่าเด็กหนุ่มที่เคยทำตัวอันธพาลมาตลอดก็รู้สึกตัว ว่าทัตแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วจนเกินคาดแม้จะไม่รู้ว่าทำได้ยังไง

ส่วนความจริงของเรื่องนั้น… ในที่นี้คงมีแค่ทัตกับพิมกระมังที่รู้

ว่าในตอนนี้ ทัตได้กลายเป็นผู้มีพลังที่ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ไปแล้ว

❖❖❖❖❖