หลังจากทัตประกาศความตั้งใจของตัวเองไปแล้วว่าจะสู้หากยังไม่ยอมเลิกตามตื้อ พวกเด็กหนุ่มนิสัยอันธพาลทั้งหลายก็นิ่งเงียบตะลึงงันไปสักพักใหญ่

จากสาเหตุที่ท่าทีของทัตเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจนต้องสะกิดใจว่าจะเล่นลูกไม้อะไรอีกก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ทำให้พวกเด็กหนุ่มอันธพาลรู้สึกว่าทัตอาจไม่ได้ดีแต่ปากก็คงเป็นการที่เขาร่ายเวทได้แบบไม่ต้องใช้เวลาชาร์จนี่แหล่ะ

อะไรกันวะนั่น? การร่ายเวทแบบทันทีอย่างนั้นมันสำหรับคนที่มีสกิลเวทมนตร์เลเวล 6 ไม่ใช่เรอะ!?

แล้วไอ้คนที่มีเลเวลรวมแค่ 34 อย่างมันจะไปทำอย่างนั้นได้ไงกันวะ!?

เด็กหนุ่มที่โกรกผมทองบ่นอย่างหงุดหงิดและสับสนในใจ แต่เหงื่อก็ผุดขึ้นบนใบหน้าในจังหวะนั้นเช่นกัน

“เฮ้ย… หรือว่ามันโกหกเรื่องเลเวลวะ?” เด็กหนุ่มผมดำอีกคนกระซิบถามพร้อม ๆ กับยกดาบขึ้นเตรียมรับการโจมตีได้ทุกเมื่อ ดูเหมือนหากเป็นสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจ พวกเขาก็ไม่ประมาทเหมือนกัน

“ไม่ เจ้าหมอนั่นเลเวล 34 จริง ๆ”

คนที่ตอบคำถามคือเด็กหนุ่มอีกคนที่ถือมีดสั้นคนเดียวกับที่ขู่ทัตก่อนหน้านี้

ทว่าคำตอบที่ได้รับการยืนยันจากเขากลับยิ่งทำให้สับสนเข้าไปใหญ่… เพราะในความเป็นจริง ทัตต้องอัพเลเวลของอาชีพ ‘Mage’ จนถึงเลเวล 51 เลยทีเดียวถึงจะทำอย่างนั้นได้ แม้ในกรณีที่เป็นอาชีพผสานยังต้องมีเลเวลรวมอยู่ที่ 42

ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ทัตสามารถทำเช่นนั้นได้ทั้งที่เลเวลของเขาอยู่แค่ 34

“เหมือนจะไม่ตกใจที่ฉันใช้หมัดผสานกับเวทมนตร์เลยนะ… พวกนายเองก็รู้เรื่องอาชีพผสานเหมือนกันล่ะสิ?”

ทัตเอ่ยถามอย่างนั้น จังหวะเดียวกับที่พวกนั้นกำลังสับสนยิ่งทำให้พวกนั้นตกใจจนสะดุ้ง ได้ผลพอแล้วทัตก็คลายเวทยิงธาตุไฟที่เคลือบหมัดตัวเองออกเพราะมันอาจรุนแรงเกินไปสำหรับมนุษย์ด้วยกัน

อย่างไรก็ดี… ตอนนี้พวกเด็กหนุ่มอันธพาลทั้งหลายไม่คิดจะเผยข้อมูลอะไรให้ทัตง่าย ๆ อีกแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้ พวกนั้นไม่ได้มองว่าทัตเป็นคนอ่อนแอที่จัดการได้ง่าย ๆ อีกแล้ว

…นั่นคือสิ่งที่ทัตหวัง แต่ว่า

“เฮอะ! ไอ้เรื่องนั้นมันจะเป็นยังไงก็ช่าง! ยังไงทางเราก็มีจำนวนมากกว่า อย่าซ่าไปหน่อยเลยพวก!”

“ใช่แล้ว! ไอ้ที่ทำอย่างนั้นคงจะมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่อีกล่ะสิ! พวกเราไม่หลงกลซ้ำสองหรอก!”

เด็กหนุ่มผมทองและดำสลับกันเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง ดูท่าการข่มด้วยรูปลักษณ์จะได้ผลเพียงไม่นานเท่านั้นพวกเขาก็กลับมาคิดว่าตัวเองไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าคนที่เลเวลน้อยกว่าอีก

ซึ่งถ้าคิดตามสามัญสำนึก สิ่งที่พวกนั้นคิดก็ไม่แปลกหรอก… แต่ก็ประมาทมากเกินไปเช่นเดียวกัน

ส่วนคนที่ไม่ประมาทอย่างเด็กหนุ่มร่างเล็กถือกระบอง กับเด็กหนุ่มอีกคนที่สวมแว่นนั้นยังมีท่าทีระแวงทัตอยู่ตลอด ซึ่งอันที่จริงนี่ต่างหากคือการแสดงออกที่ถูกต้องเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองตกเป็นรองด้านข้อมูล

“งั้นก็แสดงว่าจะไม่ยอมถอยไปง่าย ๆ สินะ”

“แหงสิ… พอดีทางนี้กำลังขาดคนอยู่น่ะนะ คงยอมปล่อยพวกมีพลังไปง่าย ๆ ไม่ได้หรอก”

เด็กหนุ่มที่ถือมีดสั้นว่าอย่างนั้นก่อนจะยกมีดขึ้นในท่าพร้อมจู่โจม เช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มที่ถือมีดพร้าอีกสองคนที่เหลือ ดูท่าพวกเขาจะมีเหตุผลที่ต้องซ่องสุมกองกำลังของกลุ่มตัวเอง แต่เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทัตต้องสนใจอยู่แล้ว

เรื่องที่เขาสนใจมีแค่การทดลองพลังใหม่นี้ แล้วสู้เพื่อไม่ให้เกิดการตามรังควาญ

และที่สำคัญที่สุด… คือเพื่อปกป้องพิมเท่านั้น

“เธออยู่ด้านหลังไว้นะ” เขาถึงเอื้อมมือซ้ายยกขึ้นขวางเป็นเชิงไม่ให้พิมเข้ามาร่วมด้วย

“ฉันจะไม่ยอมให้ใครผ่านหลังฉันไปได้แน่”

“หวา… เท่อะไรอย่างนี้เนี่ย”

เห็นอย่างนั้นพิมก็เผลอใจเต้นขึ้นมาแวบนึงเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนทัตจะไม่ได้สังเกตเรื่องนั้นมากไปกว่าเสียงตื่นเต้นของเธอ

อย่างไรก็ดี… สำหรับพวกเด็กหนุ่มอันธพาลทั้งหลาย การทำแบบนั้นมันไม่ต่างจากเมินข้ามหัวพวกเขาเลย นั่นถึงทำให้พวกมันหงุดหงิดกันใหญ่

“อย่ามาทำเป็นเมินนะโว้ย ไอ้เวรเอ้ย!”

เด็กหนุ่มผมทองถึงได้ตะโกนลั่นอย่างกริ้วโกรธก่อนจะถีบพื้นพุ่งเข้าหาทัตก่อนใคร

คำนึงจากสเตตัสความสามารถทางกายของทัตที่ตอนนี้สูงถึง 79 แต้มแล้วก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ทว่าอีกฝ่ายที่มีเลเวลมากกว่านั้นมีความเชี่ยวชาญคลาสและเลเวลสกิลอยู่ หากจะมีเรื่องน่ากังวลก็คงเป็นจุดนั้น

ไม่ยอมแพ้กันอย่างที่คิด… ถ้าอย่างนั้น

ทัตคิดได้ดังนั้นเขาก็ไม่คิดจะให้พวกนั้นเข้ามาประชิดตัวหากไม่จำเป็น

ซู่ม!

“อะไรกันวะเนี่ย!?”

ในพริบตาถัดมา ไอเย็นก็ปรากฏที่พื้นตรงเท้าของเด็กหนุ่มผมทองก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งแช่เท้าของเขาไว้ทั้งสามคนพร้อมกัน ยกเว้นเด็กหนุ่มร่างเล็กทั้งสองคนที่ไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูกับทัตเขาเลยปล่อยไป

คนที่อยู่นิ่ง ๆ นั้นไม่เท่าไหร่ แต่เด็กหนุ่มผมทองที่วิ่งเข้ามานั้นถูกแช่แข็งที่เท้ากะทันหันในขณะวิ่ง ทำให้เสียหลักจนล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น

“เลิกตามพวกฉันซะ” ทัตย้ำความตั้งใจของตนเป็นหนที่สอง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้อยากปะทะเกินความจำเป็น

แต่สำหรับบางคน… โดยเฉพาะคนพวกนี้ การถูกข่มด้วยคำพูดเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้แก่อัตตาตน พวกเขาจึงยิ่งกัดฟันโกรธหนักเข้าไปอีก

“อย่าได้ใจไปนะโว้ย!”

เด็กหนุ่มผมดำจึงตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด เขาใช้พร้าในมือกะเทาะน้ำแข็งที่เกาะเท้าอยู่ออกรวมถึงใช้แรงขยับช่วยด้วยทำให้หลุดออกมาอย่างง่ายดาย

ทางด้านเด็กหนุ่มที่ใช้มีดสั้นเองก็ทำแบบเดียวกัน ก่อนจะถีบพื้นร่นระยะเข้ามาหาทัตพร้อม ๆ กัน

“ไปตายซะ!” เด็กหนุ่มผมดำคนเดิม เพิ่มเติมคือความหัวร้อนเหวี่ยงพร้าใส่โดยเล็งที่ลำคอของทัตอย่างแม่นยำ

แม้อุปนิสัยจะดูประมาทและขาดความประณีตแต่การโจมตีกลับเฉียบคม สมกับที่มีสกิลของ ‘Knight’ อยู่ที่เลเวล 5-6 ซึ่งพอ ๆ กับทัต ความเร็วของการโจมตีนั้นจึงยังน่าเป็นห่วงอยู่หากให้มันเข้ามาในระยะประชิด แต่ว่า…

เคร๊ง!

“หา!!?”

ในพริบตาก่อนที่คมดาบของมีดพร้าจะสะบั้นคอของทัต ดาบของเขาก็กลับกระแทกกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้าก่อนจนถูกดีดกลับไปแทน นั่นทำให้เด็กหนุ่มผมดำตะลึงมากจนชะงักไป

“อั๊ก!”

และจังหวะนั้นแหล่ะที่ทัตเล็งเอาไว้… เขาพุ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่เสียจังหวะแล้วเตะตัดขาเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นจนล้มกระแทกพื้นหงายท้องนอนดูดาว

ไม่เพียงเท่านั้น ทัตยังออกหมัดใส่เด็กหนุ่มถือมีดสั้นอีกคนด้วยโดยหวังจะอัดเสยคาง แต่เขากลับเงยหน้าหลบได้อย่างฉิวเฉียด

เร็วชะมัด… งั้นถ้าแบบนี้ล่ะ!

ทัตประเมินสถานการณ์ใหม่หลังจากที่เห็นเด็กหนุ่มถือมีดสั้นกระโดดถีบพื้นถอยไปตั้งหลัก จึงใช้เวทเดียวกันกับเมื่อกี้ นั่นคือเวทเกราะธาตุลมที่สร้างเป็นกำแพงใส่ป้องกันการโจมตี แต่หนนี้นำไปใช้เพื่อการปิดทางหนีแทน

“อึก! อะไรอีกวะเนี่ย!” นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เด็กหนุ่มมีดสั้นกระแทกเข้ากับบางอย่างในขณะที่กำลังถอยหนีจนเสียหลักไปอีกคน และยังไม่หมดเท่านั้น

“!!!?”

ในพริบตาถัดมา ทัตก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มถือมีดสั้น เพราะสติของเขาให้ความสนใจกับการโดนกระแทกเลยรู้สึกเหมือนทัตวาร์ปมาอยู่ตรงหน้า

“อั๊ก!!!”

ก่อนที่จะโดนทัตอัดหมัดขวาใส่กลางท้องน้อยเต็ม ๆ ทีนึงเพราะไม่มีที่หลบหนี เด็กหนุ่มผู้ใช้มีดสั้นล้มลงคุกเข่ากุมท้องตัวเองเป็นสภาพพ่าย

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ทัตถีบพื้นกลับไปอยู่จุดเดิมคือระหว่างเจ้าคนพวกนี้กับพิมพอดี

สมแล้วจริง ๆ… ถึงตอนนี้ความแข็งแกร่งของฉันจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ช่องว่างระหว่างเลเวลก็ยังมีมากถึง 20 เลเวล

ถ้าสู้กันตรง ๆ ยังไงพวกนั้นก็ได้เปรียบกว่าด้วยเลเวลสกิลที่สูงกว่าแม้เพียงเลเวลเดียว

เพราะงั้น… วิธีเดียวที่จะได้เปรียบตอนนี้…

คือต้องใช้เวทมนตร์ทำให้อีกฝ่ายเสียจังหวะ แล้วอาศัยช่วงเวลานั้นโจมตี!

ทัตสรุปแผนรับมือในหัวเสร็จก็กลับมาตั้งท่าตั้งรับต่อ ใจจริงเขาก็คิดว่าพวกเด็กหนุ่มทั้งหลายจะยอมรามือแต่โดยดีหลังได้เห็นว่าทัตในตอนนี้เป็นฝ่ายได้เปรียบ

แต่ช่างน่าเสียดาย… ที่คนพวกนี้เป็นประเภทใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

“แม่งเอ้ย…” เด็กหนุ่มผมทองกัดฟันอย่างหงุดหงิดในจังหวะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นหลังทำลายน้ำแข็งที่เกาะเท้าได้เป็นคนหลังสุด

“ช่างแม่งละ ฆ่ามันเลย! คราวนี้โจมตีมันพร้อมกันเลย!”

ท่าทางดื้อรั้นของเขาเป็นอย่างที่ทัตเดาเอาไว้ไม่มีผิด แต่ไม่น่าดีใจเลยสักนิดที่เดาถูก

พวกเขาทุกคนถึงลุกขึ้นมาตั้งหลักก่อนจะจ้องทัตด้วยสายตาอาฆาตแค้นกันทุกคน

“พวกนายเป็นบ้าไปแล้วรึไง? ถ้ากระหายเลือดขนาดนั้นก็ไปฆ่าพวกมอนสเตอร์แทนสิฟะ!” ทัตเลยอดไม่ได้ที่จะสบถ อย่างน้อย ๆ เขาก็คิดว่าพวกนี้น่าจะยังพอมีศีลธรรมอยู่บ้าง

แต่พอมานึกดู… พวกที่หน้ามืดจนปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำแล้วทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยก็มีอยู่ประปรายในสังคม

“เฮอะ! ศีลธรรมน่ะโยนให้หมากินไปเถอะ”

“ตำรวจน่ะมันตายห่าไปหมดแล้วนะไม่รู้เหรอ!”

“ถ้าเอาแต่โลกสวย มันจะไปเอาตัวรอดได้ยังไง”

แถมที่เลวร้ายยิ่งกว่า… คือพวกที่ทั้งไร้ศีลธรรมและปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสันดานดิบอย่างพวกเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่พูดเรื่องพวกนั้นออกมาได้โดนไม่ตะขิดตะขวงใจใด ๆ

นั่นทำทัตขมวดคิ้วแน่น แน่นอนว่าเขาไม่เห็นด้วยว่าการฆ่าคนมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือควรทำแม้ในสถานการณ์นี้ก็ตาม

“ทำเป็นพูดดี… เท่าที่ฟัง พวกแกก็แค่หาข้ออ้างที่จะทำเรื่องสกปรกเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ?” แน่นอนว่าทัตไม่หวั่นไหวกับคำพูดของคนพวกนี้

เพราะอย่างไรเสียทัศนคติก็ต่างกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

และเพราะมันต่างกัน ถึงเป็นเหตุผลให้สร้างความไม่ลงรอยกันของมนุษย์ จนกระทั่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากแววตาของพวกเด็กหนุ่มอันธพาลในตอนนี้

“ทำเป็นปากดีไปเถอะ แกยังเอาชนะพวกเราไม่ได้นะเผื่อยังไม่รู้”

“ฉันอาจจะปากดี… แต่ถ้างั้น คนที่ยังทำอะไรฉันไม่ได้เลยอย่างพวกนายก็คงเป็นพวกดีแต่ปากล่ะนะ”

“ว่าไงนะ!?”

กับอีกฝ่ายที่ดูแคลน ทัตก็ไม่มีเหตุให้ต้องยอมจึงปะทะฝีปากกลับไป และดูท่าว่านั่นจะกระตุ้นความโกรธของพวกนั้นได้เป็นอย่างดี เส้นเลือดถึงปูดโปนขึ้นเต็มใบหน้าของพวกเขาทุกคน

“แก… ฆ่าแม่งเลย!”

เด็กหนุ่มที่โกรกผมทองตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้งก่อนจะถีบพื้นพุ่งเข้ามาใกล้ทัตอีกครั้ง แต่หนนี้พวกที่เหลือเองก็กระโจนเข้ามาพร้อมกันด้วย

เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่พิมจะเป็นห่วง เธอถึงชักคาตานะออกจากฝักและทำท่าเหมือนกับจะพุ่งเข้ามาช่วยเพราะเห็นว่าทัตกำลังเสียเปรียบด้านจำนวน

“ทัต!”

“ฉันไม่เป็นไรหรอก”

แต่ก็ถูกทัตห้ามไว้เหมือนเคย ก็จริงที่สถานการณ์มันน่าเป็นกังวล แต่ถึงแบบนั้นทัตก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะแพ้

“ดูข้างหน้าก่อนจะพุ่งมาซะหน่อยเป็นไง?”

ทัตเอื้อมมือสร้างกำแพงลมด้วยเวทเกราะธาตุลมอีกครั้งเบื้องหน้าของตน ด้วยความที่ตอนนี้สกิลเวทเกราะของเขาอยู่ที่เลเวล 4 ดังนั้น หากต้องการจะสร้างกำแพงที่มีขนาดมาตรฐานจึงยังต้องใช้เวลาชาร์จ 2 วินาที แต่ก็สามารถลดเวลาชาร์จลงมาเพื่อให้เวทมนตร์ปรากฏออกมาได้ทันทีอยู่ แม้จะต้องแลกมาด้วยความแข็งของตัวกำแพงก็ตามที

บวกกับสกิลผสานเวทที่ตอนนี้มีเลเวล 4 จึงทำให้ทัตสามารถใช้เวทได้พร้อมกันถึง 5 อย่าง

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่กำแพงลมล่องหนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของพวกเด็กหนุ่มอันธพาลคนละอัน และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีอยู่ พวกเขาจึงพุ่งชนมันอีกครั้งอย่างง่ายดาย

“อึก! แม่งเอ้ย! ไอ้กำแพงเวรนี่อีกแล้ว————”

เด็กหนุ่มผมดำที่พุ่งเข้ามาก่อนยังสบถไม่ทันครบคำ หมัดเปล่า ๆ ของทัตก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขาในจังหวะที่เสียหลัก ทว่าก่อนหน้าที่หมัดของทัตจะถึงตัว เขาก็กลับหลบได้อีกครั้งหนึ่ง

“สมแล้วที่มีสกิลซิกส์เซนส์เลเวล 5 ของ ‘Knight’ น่ารำคาญจริง ๆ เลยนะให้ตายสิ”

“แก… ทำไมถึงได้รู้!?”

เด็กหนุ่มผมดำได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ผงะไปชั่วครู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ทัตถีบพื้นถอยไปตั้งหลัก และอันที่จริง ที่ทัตพูดแบบนั้นออกไปก็เพื่อเป็นการสร้างจังหวะให้ตัวเองเว้นระยะห่างออกมานี่แหล่ะ

เพราะตอนนี้ฉันมีสกิล ‘วิเคราะห์ LV-6’ ไงล่ะ เลยทำให้รู้สกิลที่อีกฝ่ายมีได้… แต่ถึงพูดไปก็คงไม่เชื่อหรอกมั้งนะ

ทัตคิดแล้วก็ยักไหล่ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจข้อสงสัยของอีกฝ่ายให้มากนัก เพราะไม่ใช่หน้าที่เขาที่ต้องแถลงไขให้ฟัง

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

แทนที่จะทำอย่างนั้นทัตก็เอาเวลาไปร่ายเวทยิงอีกครั้ง… หนนี้มีลูกบอลสายฟ้าปรากฏขึ้นพร้อมกันถึง 5 อันเรียงเป็นลักษณะครึ่งวงกลมด้านหลังของทัต

“ห้าอันพร้อมกัน… ไอ้หมอนี่มันมีสกิล ‘ผสานเวท LV-4’ !!!” เด็กหนุ่มที่ถือมีดสั้นเอ่ยอย่างหวาด ๆ

“เห… รู้เยอะเหมือนกันนี่นายน่ะ”

ทัตยิ้มยียวน หากมีโอกาสที่จะได้แสดงความเหนือกว่าเขาก็ไม่ปล่อยไปให้เสียเปล่า

และคงจะต้องขอบคุณเด็กหนุ่มมีดสั้นคนนี้ เพราะเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่ตระหนักได้ถึงสถานการณ์อันแปลกประหลาดของทัต ในจุดที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เลเวล 34 อย่างทัตจะมีสกิลของทั้งสามอาชีพเป็นเลเวล 4 พร้อมกันแบบนี้

“เอ่อ… เรายอมถอยไปก่อนดีกว่าไหมฮะ” และดูเหมือนเด็กหนุ่มร่างเล็กสวมแว่นที่ยืนอยู่แนวหลังของพวกนั้นเองก็สังเกตได้เหมือนกัน และตัวเลือกที่เสนอขึ้นมาก็ถือว่าฉลาด แต่ว่า…

“หนวกหูน่าไอ้เด็กใหม่! ไม่ช่วยก็หุบปากไปเลย!”

“อึก! คะ ขอโทษครับ!”

แทนที่จะทำตาม เด็กหนุ่มผมดำกลับตวาดใส่เด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างหงุดหงิด เสียงตะโกนนั่นดังจนน่าจะได้ยินไปทั่วบริเวณโรงเรียนด้วยซ้ำกระมัง แต่คำพูดนั่นก็ไม่ยุติธรรมสำหรับเหล่าเด็กใหม่ร่างเล็กทั้งสองคนเลย เพราะคนที่ห้ามไม่ให้ร่วมสู้ก็คือพวกเขาเองที่คิดว่าคนเลเวลน้อยมันเกะกะตอนสู้แท้ ๆ

อย่างไรก็ดี… สิ่งที่แฝงในน้ำเสียงของเด็กหนุ่มผมดำไม่ได้มีแค่ความโกรธอย่างเดียว

“แม่งเอ้ย… ถ้าหนีกลับไปอย่างนี้ พวกเราก็ซวยกันหมดดิวะ”

จากก่อนหน้านี้ที่ตะโกนอย่างหงุดหงิดกลับกลายเป็นเสียงที่เบาลงกอปรกับสีหน้ากังวลและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดถึงขนาดที่มีเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเต็มไปหมด

เด็กหนุ่มผมทองและเด็กหนุ่มที่ถือมีดสั้นเองก็แสดงสีหน้าอย่างเดียวกันออกมา ดูท่าเรื่องภายในแก๊งของคนพวกนี้จะมีลับลมคมในอะไรอีกที่ทัตไม่รู้

เจ้าพวกนี้มันกลัวอะไรอยู่กันแน่นะ? ไม่เข้าใจเลย…

แต่ว่า… ถ้าเป็นงั้นจริง ไอ้พวกนี้คงไม่คิดจะยอมแพ้จนกว่าจะฆ่าเราได้แหง ๆ เลย

“โอ้วววว!!!” จากตอนแรกที่มีความโกรธเป็นเครื่องหนุน กลับกลายเป็นความกลัวที่เป็นแรงผลักดันให้พวกอันธพาลถีบพื้นเข้าหาทัตอีกครั้ง

“ช่วยไม่ได้!”

ทัตเห็นและรู้ดังนั้นเลยตัดสินใจที่จะอัดพวกนี้ให้หมอบโดยที่ไม่ต้องฆ่า เพราะถ้าไม่งั้นเจ้าพวกนี้คงไม่เลิกตื้อแน่ ๆ อย่างน้อยก็สำหรับคืนนี้

เวทยิงธาตุสายฟ้าที่เตรียมไว้จึงลอยออกมาด้านหน้าหนึ่งลูก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าฟาดเข้าใส่เด็กหนุ่มผมดำที่วิ่งนำหน้ามา

เปรี้ยง!!!

“!!!?”

ทว่าในพริบตาที่สายฟ้าจะเข้าถึงตัว เด็กหนุ่มผมดำคนนั้นกลับถีบพื้นพุ่งหลบออกไปด้านข้างได้เสียก่อน นั่นทำให้ทัตเบิกตาโพลงไปเลยเมื่อเห็นว่าคนเราหลบสายฟ้าได้

สกิลซิกส์เซนส์ที่เป็นสกิลสูงสุดของทุกอาชีพที่เป็นสายต่อสู้หลักนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ แฮะ

เพราะมันทำให้เราสามารถรับรู้การโจมตีล่วงหน้าหรือรู้การโจมตีที่อีกฝ่ายเล็งมายังจุดตายได้นี่แหล่ะ

ทัตเห็นภาพที่เด็กหนุ่มผมดำหลบสายฟ้าออกไปด้านข้างแล้วพุ่งกลับเข้ามาหาเขาอีกครั้งแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าการยิงเวทมนตร์ด้วยระยะที่ไกลเกินไปจะไม่ได้ผลกับมนุษย์ด้วยกัน

เขาคิดแบบนั้นได้สักพักมีดพร้าของเด็กหนุ่มผมดำก็กำลังจะเข้ามาถึงตัว ทัตถึงยิงเวทสายฟ้าที่เหลืออีกสี่นัดออกไปหมด แต่ไม่ได้เล็งที่เด็กหนุ่มผมดำ หากแต่เป็นอีกสองคนที่กำลังจะเข้ามาเพื่อให้มีช่วงพักระหว่างการโจมตีบ้าง เพราะมันคงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะโดนรุมอย่างต่อเนื่อง

“เอาไปแดกซะ!” เด็กหนุ่มผมดำแสดงสัญชาตญาณดิบอีกครั้งด้วยการฉีกยิ้มกว้างก่อนจะจ้วงแทงใส่กลางลำตัวของทัต

แต่ก่อนหน้าที่คมดาบจะเข้าถึงตัว ทัตก็สร้างกำแพงลมเป็นมุมเฉียงให้ปลายคมดาบที่แทงเข้ามานั้นแฉลบออกไปด้านข้าง ก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นเตะตัดขาเด็กหนุ่มผมดำสวนกลับไป ทว่าเขากลับชักเท้าหลบได้อีก

ข่าวร้ายยังไม่ใช่แค่นั้น

“มองไปทางไหนอยู่วะ!” เด็กหนุ่มโกรกผมทองอีกคนปรากฏตัวด้านหลังของทัต ตะโกนออกมาอย่างเย่อหยิ่งแทนที่จะลอบโจมตีเงียบ ๆ ซึ่งน่าจะได้ผลมากกว่า ไม่รู้ว่าเขาฉลาดหรือโง่กันแน่

“เงียบน่า”

แต่ถึงจะลอบโจมตี มันก็ไม่พ้นวิสัยของทัตเพราะเขามองเหตุการณ์รอบ ๆ อยู่ตลอด ในพริบตานั้นทัตจึงสร้างกำแพงดินขึ้นมาป้องกันการโจมตีจากด้านหลังเอาไว้ทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็นก่อนจะถีบพื้นหลบฉากออกไปด้านข้าง

เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กหนุ่มโกรกผมทองใช้มีดพร้าฟันกำแพงดินของทัตจนขาดครึ่งในดาบเดียว

“เฮ้ย! ระวังหน่อยสิวะ!”

“ชิบหาย โทษที”

แต่ที่ทำอย่างนั้นได้เหมือนหั่นเนยมันเป็นเพราะทัตสร้างไว้ให้อ่อนและบางไม่ใช่แข็ง

และไม่ได้ทำเพื่อป้องกันการโจมตีแต่เพื่อลวงให้อีกฝ่ายโจมตีใส่พวกเดียวกันที่อยู่อีกฝั่งต่างหาก ทว่าพวกเขาโชคดีนักที่ดาบของเด็กหนุ่มผมทองเฉี่ยวหัวของเด็กหนุ่มผมดำไปเพียงนิดเดียว

อย่างไรก็ดี… ทัตไม่ได้ทำอย่างนั้นเพื่อหวังผลเพียงอย่างเดียว

เพราะมีจังหวะที่เสียไปกับการพูดคุยและหงุดหงิดของสองคนนั้น ทัตเลยอาศัยจังหวะดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้าไปประชิดเด็กหนุ่มถือมีดสั้นอีกคน ซึ่งดูเหมือนมันตั้งใจจะพุ่งเข้าไปโจมตีพิมด้วย

“ไม่ให้ทำอย่างนั้นหรอก!!!”

ทัตสร้างกำแพงดินขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มถือมีดสั้นทำให้เขาชะงักไป ทัตอาศัยจังหวะนั้นออกหมัดใส่กะจะอัดใส่หลังศีรษะ แล้วเด็กหนุ่มมีดสั้นก็หลบได้อีกครั้ง เขาพลิกตัวกลับมามองทัตในจังหวะเดียวกันด้วย ก่อนที่จะสลับท่าจับมีดแล้วเริ่มกระหน่ำแทงใส่ทัตอย่างแม่นยำ แต่แน่นอนว่าทัตเองก็หลบได้เหมือนกัน

กระทั่งทัตหลอกล่อเขาด้วยการขยับเท้าถอยร่นออกมา

“เฮ้ย!”

ในจังหวะที่ก้าวเท้าขยับตามเข้ามา เด็กหนุ่มมีดสั้นก็สะดุดเข้ากับก้อนดินเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงพื้นจนเสียหลัก นั่นเองก็เป็นหนึ่งในเวทดินที่ทัตสร้างขึ้นเหมือนกัน

“อั๊ก!!!”

แน่นอนว่าทัตไม่ปล่อยให้จังหวะนั้นเสียเปล่า เขาเข่าลอยใส่หน้าของเด็กหนุ่มถือมีดสั้นจนเลือดแตกออกจากจมูกก่อนจะล้มก้นคะมำลงไปกับพื้น

เป็นจังหวะเวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มผมดำปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของทัตแล้วเหวี่ยงพร้าฟันในแนวนอนหวังจะผ่าทัตออกเป็นสองส่วน แต่ทัตรู้ตัวก่อนจึงกระโดดขึ้นสูงเพื่อหลบไปทางอื่น

แต่ว่า…

“ทัต! ระวัง!!!”

ในจังหวะถัดมา เขากลับได้ยินเสียงตะโกนเตือนจากพิมเสียอย่างนั้น ทัตเองก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไงจนกระทั่งเหลือบไปเห็นพื้นด้านล่าง

“ติดกับแล้ว ไอ้โง่เอ้ย!!!”

“!!?”

ในจังหวะที่ทัตกำลังจะลงถึงพื้น ตรงจุดนั้นก็ดันมีเด็กหนุ่มโกรกผมทองง้างมีดพร้ารออยู่ก่อนแล้ว ทัตรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นการจงใจล่อให้กระโดดแล้วโจมตีเขากลางอากาศซึ่งเป็นช่วงที่ทัตไม่มีทางหลบได้

เด็กหนุ่มผมทองเห็นดังนั้นยิ่งกระหายในชัยชนะ เขากระโดดขึ้นสูงเข้าหาทัตราวกับรอไม่ไหวแล้ว การเข้ามาโจมตีจากด้านหลังแถมยังลอยอยู่กลางอากาศจึงเป็นสถานการณ์ที่ทัตไม่สามารถหลบได้เลย

…หากว่าเขาเป็นแค่ ‘Fighter’ ธรรมดาก็คงทำอย่างนั้นไม่ได้

“อะไรกัน!?”

ก่อนที่เด็กหนุ่มผมทองจะเข้าระยะการโจมตี ทัตได้สร้างกำแพงลมขึ้นเบื้องหน้าแล้วใช้เป็นแท่นเหยียบกลางอากาศจนลอยอยู่เหนือเด็กหนุ่มผมทองที่กระโดดเข้ามาหา แผนของพวกนั้นจึงพังไม่เป็นท่าด้วยการหลบหลีกกลางอากาศของทัต

นอกจากนี้…

“อุก!!!”

ในจังหวะที่ลอยสวนกัน ทัตยังเหวี่ยงตัวเตะใส่กลางลำตัวของเด็กหนุ่มผมทองเข้าอย่างแรง สุดท้ายแล้ว สถานการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ทัตอยู่ในจุดที่หลบไม่ได้กลับกลายเป็นตัวเด็กหนุ่มผมทองเองที่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นแทน เพราะคนเดียวที่เปลี่ยนตำแหน่งได้กลางอากาศก็มีแต่ ‘Mage’ เท่านั้น

เด็กหนุ่มผมทองจึงตกลงไปกระแทกกับพื้นจนแตกละเอียดและจุกจนกระอัก

มีเพียงทัตเท่านั้นที่ลงพื้นอย่างสวยงามก่อนจะถีบพื้นเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ พิมเหมือนเดิม

“มะ เมื่อกี้โคตรเท่เลยอ่า” พิมเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ ตื่นเต้นจนยิ้มแป้นกำมือสะบัดขึ้นลงเสียหลายรอบ ความรู้สึกของเธอคงคล้ายกับการได้เห็นนักกีฬาที่ชื่นชอบแสดงการทำแต้มแบบสวย ๆ ให้เห็นในระยะประชิดกระมัง

…แต่สำหรับพิม ความรู้สึกที่มองทัตน่าจะมากกว่าแค่เป็นนักกีฬาที่ชื่นชอบ ทัตรู้แบบนั้นเลยเผลอประหม่าไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากเกินไปกว่าศัตรูที่หมอบราบคาบเบื้องหน้า

ไม่สิ… การที่ทัตหันไปคุยสบาย ๆ กับพิมได้ คงเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่น่ากลัวอีกแล้วมากกว่า เพราะผลลัพธ์มันก็เห็น ๆ อยู่

“เห็นแล้วใช่ไหม… ต่อให้เข้ามาพร้อมกันพวกนายก็ไม่ชนะหรอก หรือต่อให้อีกสองคนเข้ามาร่วมด้วย ผลก็คงไม่ต่างกัน” ทัตพูดไปพลางก็มองข้ามหัวพวกเด็กหนุ่มทั้งสามคนผ่านไปด้านหลังถึงเด็กหนุ่มร่างเล็กอีกสองคนที่ไม่แม้แต่จะยื่นมือมาสนับสนุน

เพราะสำหรับทัตแล้วเขาไม่รู้ว่าพวกนี้วางแผนการรบกันยังไง แต่นั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มร่างเล็กสองคนร่างกระตุกด้วยความหวาดกลัวอยู่ดีเมื่อเผลอไปสบตาเข้ากับทัตที่โค่นพวกรุ่นพี่ที่น่ากลัวได้ง่าย ๆ

“ผลลัพธ์ถูกตัดสินแล้ว… พวกนายยอมแพ้ไปได้แล้ว”

ทัตกล่าวด้วยย้ำเสียงเย็นชาเหมือนไม่แคร์ ท่าทางสบาย ๆ ของเขายิ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเด็กหนุ่มอันธพาลไม่ใช่คู่มือของทัตในตอนนี้อีกต่อไปแล้ว

และอันที่จริง… ถึงทัตไม่ต้องพูดย้ำแต่พวกเขาก็ย่อมรู้ดีแก่ใจ เพราะแม้ความแข็งแกร่งของทัตในฐานะคลาสนักสู้จะด้อยกว่านิดหน่อย แต่เพราะมีเวทมนตร์ที่ทรงพลังและหลากหลายเข้ามาเสริมจึงทำให้การสร้างข้อได้เปรียบเป็นเรื่องลำบากสำหรับพวกเขา นั่นยังไม่นับความเยือกเย็นของทัตที่มีเป็นทุนเดิมตามบุคลิกของเจ้าตัวด้วยอีก

ยิ่งถ้านับแค่จุดนั้น… เหล่าเด็กหนุ่มอันธพาลที่สูญเสียเหตุผลไปเพราะความโกรธมาตั้งแต่แรกจนมองไม่เห็นภาพรวมของสนามรบ ก็มีแนวโน้มจะพ่ายแพ้มาตั้งแต่แรกแล้ว

“ฮึ…” แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น

“ฮะฮะฮะฮ่า!!!”

ใบหน้าที่แสดงความพ่ายแพ้กลับไม่ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา โดยเฉพาะเด็กหนุ่มผมดำที่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง พาลทำให้คิดว่าหมอนี่มันเสียสติไปแล้วเลยทีเดียว

พิมเห็นแบบนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเลยเดินขยับเข้ามาอยู่ด้านหลังของทัต มือข้างที่ไม่ได้จับดาบเอื้อมไปจับชายเสื้อของทัตไว้แน่นเลยทีเดียว

“อย่างพวกแกน่ะไม่รู้หรอก…” เด็กหนุ่มผมดำเอ่ยด้วยเสียงสั่น ๆ

“ถ้าไม่จัดการพวกแกล่ะก็… มันก็จะกลายเป็นพวกเราเองที่ถูกจัดการ”

นอกจากนั้นดวงตายังสั่นระรัว สีหน้าก็ซีดเผือกอย่างหวาดกลัว คนละอารมณ์กับก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน

ท่าทางของเด็กหนุ่มเป็นที่สังเกตของทัต เพราะตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความต้องการที่อยากจะรับสมัครพรรคพวกมากถึงมากที่สุด แต่ทัตก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มาจากความต้องการของพวกเขาเองเสียเป็นส่วนใหญ่

บวกกับความหวาดกลัวที่แสดงให้เห็นในตอนนี้ซึ่งคล้ายคลึงกับปฏิกิริยาที่เหล่าเด็กใหม่ร่างเล็กทั้งสองคนมีต่อพวกเด็กหนุ่มพวกนี้

นั่นทำให้ทัตคิดว่าบางที… ในกลุ่มนี้อาจมีระดับหัวหน้าที่แข็งแกร่งมากพอจะกุมชะตาชีวิตคนในกลุ่มได้อยู่ แถมเจ้าหัวหน้าที่ว่านั่นก็น่าจะเป็นพวกอันตรายมากเสียด้วย พวกเขาถึงได้หวาดกลัวความผิดพลาดกันจนเสียสติขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงแค่กลับไปแล้วบอกว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมันก็เพียงพอแล้วแท้ ๆ

แต่เพราะแบบนั้น… ทัตเลยรู้ว่าไม่ว่ายังไง การต่อสู้นี้จะไม่จบลงจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดสภาพไปก่อน หรือไม่งั้นพวกนั้นก็คงคิดจะสู้จนกว่าจะตาย

ทว่าในความเป็นจริง… มันกลับไม่ได้ลงเอยเช่นนั้น

บรู้ววว!!!!

“ “ “ “ “!!!!?” ” ” ” ”

ในจังหวะที่กำลังคิดว่าจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่คาดหวังให้ถึงตายนี้อย่างไรดี กลับเป็นจังหวะเวลาเดียวกันกับที่เสียงเห่าหอนของสุนัขดังขึ้นมาพอดิบพอดี

พอทุกคนหันขวับไปมองตามต้นกำเนิดเสียงที่อยู่บนยอดตึกของตึกเรียนฝั่งตะวันตก พวกเขาก็พบว่ามีหมาป่าที่ยืนได้สองขาอยู่บนนั้น ลักษณะของมันคล้ายคลึงกับตัวที่ทัตเคยปราบไปก่อนหน้านี้ร่วมกับพิม แต่จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือเจ้าตัวนี้มันสวมเกราะไว้ทั่วทั้งร่าง

และที่สำคัญ… ตัวของมันใหญ่กว่าตัวที่ทัตเคยปราบมาก่อนคนละระดับ ส่วนสูงของมันน่าจะประมาณสี่เมตรเห็นจะได้ ความผิดแปลกนั่นทำให้ทัตสงสัยจนต้องใช้สกิล ‘วิเคราะห์’ กับมันเพื่อตรวจสอบดู

…แล้วคำตอบก็ยิ่งทำให้ทัตต้องเบิกตาโพลงมากยิ่งขึ้นไปอีก

ราชามนุษย์หมาป่า (LV-71)

ประเภท : Boss

ความสามารถทางกาย: 128

สกิล: เสริมพลังกาย

เวทมนตร์ : ไฟ, ลม

จุดอ่อน : ศีรษะ, เวทมนตร์ธาตุดิน น้ำ น้ำแข็ง

บ้าน่า! บอสของเจ้าพวกมนุษย์หมาป่าก่อนหน้านี้งั้นเหรอ!?

ก็คิดไว้อยู่แล้วแหล่ะว่ามันน่าจะมีตัวบอสอยู่ที่นี่เหมือนกับตอนผึ้งยักษ์เมื่อคืนวาน

แต่เลเวลระดับนั้นมันอะไรกันเนี่ย!? มากกว่าเราตั้งสองเท่าตัวเลย!

แบบนี้ใครมันจะไปเอาชนะได้กันวะเนี่ย!!!

“พิม ระวังด้วยนะ! ไอ้หมานั่นเลเวล 71!”

“อะไรนะ!?”

พิมได้ยินทัตบอกแบบนั้นดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมาไม่ต่างจากที่ทัตเป็น เหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าและแผ่นหลังของทั้งสองคนเต็มไปหมดเมื่อได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของมัน

“บะ บ้าน่ะ! ที่นี่มีบอสด้วยเหรอวะ!? ได้ไงกันวะ!?”

“เป็นพวกที่เลเวลมากกว่า 50 ด้วย! ใครมันจะไปเอาชนะได้กันวะ!?”

เฉกเช่นเดียวกันกับกลุ่มของพวกเด็กหนุ่มทั้ง 5 คน… ตอนนี้พวกเขาเองก็เหมือนจะรับรู้ความอันตรายของสถานการณ์ได้แล้วเหงื่อถึงได้แตกพลั่กกันหมดทุกคน

ถึงแม้สำหรับทัตจะไม่เข้าใจก็เถอะ ว่ามอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า 50 มันมีอะไรให้น่าหวาดกลัวอย่างมีนัยยะสำคัญมากกว่าเรื่องของเลเวล

แฮ่…

ในขณะที่เจ้าราชาหมาป่าที่ยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าตึกเรียน มันได้มองจ้องลงมาเหมือนได้เจออาหาร น้ำลายของมันไหลอาบเขี้ยวจำนวนมากทั้งยังมีขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากด้านล่าง น้ำลายที่หยดลงมาจนถึงชั้นล่างสุดแสดงถึงความกระหาย

และเป้าหมายแรกของมัน… คือเด็กหนุ่มผมดำที่ยืนห่อเหี่ยวมาตั้งแต่เมื่อกี้

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มผมดำคนนี้หมดไฟสู้… แต่เพราะแสดงความอ่อนแอให้เห็น เจ้าหมาป่าจึงเลือกหมอนี่เป็นเหยื่อ มันเลือกได้แล้วดังนั้นก็ถีบพื้นจากดาดฟ้าร่นระยะลงมากระแทกกับพื้นเบื้องล่างด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ

ก่อนที่จะใช้กรงเล็บขนาดยักษ์พุ่งเสียบกลางลำตัวของเด็กหนุ่มผมดำที่ชื่อวินคนนั้นแล้วยกร่างของเขาขึ้นมากัดลำตัวส่วนบนกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยความสูงที่มากกว่าสองเท่าของเจ้าราชาหมาป่าทำให้รู้สึกเหมือนมนุษย์เป็นแค่บุฟเฟต์สำหรับมันเท่านั้น

“ไอ้วิน!”

เลือดของเด็กหนุ่มไหลอาบในจังหวะที่เพื่อนตะโกนเรียกหา ดูท่าจะเป็นเพราะเขาเหม่อไปถึงได้หลบไม่พ้น แม้จะเพียงเสี้ยววินาทีแต่นั่นหมายถึงความตายได้เลย

ภาพอันน่าสะอิดสะเอียนของเครื่องในและลำไส้ที่ไหลออกมาจากร่างกายส่วนบนทำให้ทุกคนรู้สึกคลื่นไส้ พวกเด็กใหม่ร่างเล็กทั้งสองคนเห็นแบบนั้นถึงกับอาเจียนออกมาโดยไม่สนนกสนกาเลยทีเดียว ทางพิมเองก็ออกอาการเช่นนั้นแต่พยายามปิดปากตัวเองรวมถึงพยายามหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ให้มันออกมา

ส่วนทางด้านของทัตนั้น…

ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 45’ แล้ว

ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 11 แต้ม

มี ‘แต้มเลเวล’ ที่ยังไม่ได้อัพ 12 แต้ม

หา? เลเวลอัพเหรอ!?

อัพเรื่องอะไรของมันกันอีกวะเนี่ย? ฉันยังไม่ได้ทำอะไร————

ก่อนที่จะทันได้สบถจนจบ คำตอบที่เขาสงสัยก็ได้รับการแถลงไขเสียก่อน เพราะหากลองคิดดูอย่างใจเย็น คนที่เพิ่งตายไปก็มีแค่คนเดียว นั่นคือเด็กหนุ่มผมดำที่ต่อสู้กับทัตก่อนหน้านี้

ดังนั้น ถ้าถามว่าค่าประสบการณ์นี้ได้รับมาจากใคร… ก็ย่อมต้องเป็นเขานี่แหล่ะ

“แม่งเอ้ย! มึง! ไอ้หมาป่าเวร!!!”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง… เด็กหนุ่มโกรกผมทองที่เห็นเพื่อนตัวเองตายไปต่อหน้าก็เริ่มเลือดขึ้นหน้า เขาจึงเริ่มเหวี่ยงมีดพร้าพุ่งเข้าหาเจ้าหมาป่าด้วยความโกรธหวังโจมตีมันในจังหวะที่กำลังก้มกินร่างกายส่วนล่างของเด็กหนุ่มผมดำที่ตกลงพื้นไป

ฉั๊ว!!!

เด็กหนุ่มผมทองฟันสุดแรงเกิดใส่แผ่นหลังของราชามนุษย์หมาป่าจนมันร้องโอดครวญออกมา ทว่าในความเป็นจริง บาดแผลที่สร้างได้นั้นไม่ลึกเท่าไหร่เลย

ด้วยเหตุนั้น แทนที่จะทำความเสียหายใส่มันได้ กลับกลายเป็นเพิ่มโทสะให้มันแทนเสียอย่างนั้น

แฮ่…

เจ้าราชามนุษย์หมาป่าจึงหันขวับกลับมาทางเด็กหนุ่มผมทอง จดจ้องลงไปยังเบื้องล่างราวกับคนมองมดปลวก สายตาคมกริบของมันสะกดให้เด็กหนุ่มผมทองขยับไปไหนและทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนขาสั่น

และเพราะแบบนั้นเขาเลยกลายเป็นอีกคนที่ถูกเขี้ยวของมันขย้ำ… ร่างของเด็กหนุ่มผมทองถูกปากของมันตะครุบกินในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพราะถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ และเพราะแบบนั้นมันจึงกลายเป็นจุดจบจริง ๆ ของเขา

ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 53’ แล้ว

ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 8 แต้ม

มี ‘แต้มเลเวล’ ที่ยังไม่ได้อัพ 20 แต้ม

เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของทัตอีกครั้ง แต่ตอนนี้ทัตไม่ได้โฟกัสสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า พูดตามตรงว่ามันช็อคพอสมควรที่ได้เห็นคนที่เพิ่งมีชีวิตอยู่หลัด ๆ ตายไปต่อหน้าแม้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ตาม

แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในความรู้สึกของทัตเท่านั้น แถมยังเป็นส่วนน้อยด้วย…

นี่มันอะไรกัน… ทำไมฉันถึงรู้สึกแย่อย่างนี้…

เจ้าพวกนั้นเป็นคนที่พยายามจะฆ่าเราไม่ใช่เหรอ?

ปัญหาที่กลัวว่าจะถูกตามรังควาญก็จะไม่มีแล้วด้วย…

แล้วทำไม… เราถึงไม่รู้สึกดีใจกัน?

ความรู้สึกรุนแรงที่เป็นส่วนใหญ่นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ในตอนนี้และกำลังรุมเร้าเขาอยู่ ทัตถึงกำเสื้อบริเวณหน้าอกตัวเองไปพร้อม ๆ กับที่ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง

ทัต…

และแน่นอน… มันทำให้พิมรู้สึกเป็นห่วงเขามาก

ในขณะที่เด็กหนุ่มถือมีดสั้นอีกคนที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ นั้น พอเห็นว่าฝ่ายตนสูญเสียกำลังหลักของทีมไปจนหมดแล้ว อย่าว่าแต่โค่นทัตเลย จะเอาตัวรอดจากเจ้ามนุษย์หมาป่ายักษ์นี่ได้รึเปล่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ

“แม่งเอ้ย… แม่งเอ้ย!!!” เพราะแบบนั้น… เขาจึงอาศัยจังหวะที่ราชามนุษย์หมาป่าลิ้มรสเลือดและเนื้อของเด็กหนุ่มผมทอง แล้ววิ่งหนีหายไปในทิศตรงข้ามกับทัตในทันที

“เดี๋ยวก่อนครับพี่!”

“ทำไมถึงทิ้งพวกเราล่ะ!!!”

เหลือไว้แต่เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มร่างเล็กอีกสองคนที่ตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มมีดสั้นไป แต่เขาไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามองด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาหายไปจากระยะมองเห็นของทุกคนรวมถึงเจ้ามนุษย์หมาป่าไปแล้ว

ทำให้ตอนนี้… คนที่อยู่ใกล้ราชามนุษย์หมาป่าที่สุดกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กทั้งสองคนแทน หรือบางที นี่อาจเป็นแผนการที่ตั้งใจจะทิ้งพวกเขาไว้เป็นตัวล่อเพื่อถ่วงเวลาหนีให้ตัวเองของเด็กหนุ่มมีดสั้นด้วยก็ได้

แต่นั่นคงไม่สำคัญอีกแล้วสำหรับคนที่หนีไปก่อน

“อย่านะ… อย่าเข้ามานะขอร้อง”

“พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ… ผมยังไม่อยากตายนะ”

เด็กหนุ่มร่างเล็กทั้งสองคนเอ่ยด้วยเสียงสั่นระรัวเมื่ออยู่ต่อหน้าของราชามนุษย์หมาป่า แม้จะดับกระหายด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ไปสองคนก็ยังไม่เพียงพอต่อความหิวโหยของมัน น้ำลายที่สอไม่มีท่าทีจะหยุดลงทำให้เข่าของพวกเด็กหนุ่มร่างเล็กอ่อนระทวยจนล้มลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง

ไม่สิ… ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว หลังจากที่ถูกพวกพ้องทิ้งไป ทั้งสองคนเลยเหลือบไปมองที่ทัตราวกับเป็นความหวังสุดท้ายแทน

“ช่วยด้วย… ได้โปรด————”

สายตาอ้อนวอนนั้นส่งไปถึงทัต แต่ก็ช้ากว่าคมเขี้ยวของราชามนุษย์หมาป่าอยู่ดี เด็กหนุ่มร่างเล็กทั้งสองคนจึงกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของมัน

…เหลือทิ้งไว้แค่บางสิ่ง ให้ติดคาอยู่ในใจของทัตไปตลอดนับจากนี้

❖❖❖❖❖