ในวันถัดมาเมื่อยามเช้าได้มาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเริ่มขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจหวนย้อนคืนกลับมา ค่ำคืนที่ยากลำบากสำหรับทัตและพิมในหลาย ๆ ความหมายจึงจบลงไปแล้ว

เหตุการณ์หลังจากที่เด็กหนุ่มร่างเล็กทั้งสองคนถูกกินไปส่วนทัตกับพิมที่ประเมินแล้วว่าราชามนุษย์หมาป่าแข็งแกร่งเกินไปจึงใช้สกิลพรางกายหนีออกมา แม้จะมีการกำจัดมอนสเตอร์ตามทางอยู่ประปรายจนเขาเลเวล 60 และพิมปลดล็อคอาชีพนักดาบเวทได้

…แต่เรื่องพวกนั้นต้องโยนมันทิ้งไปก่อนเพื่อกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติ

และไม่ว่าจะกำลังรู้สึกอะไรหรือคาใจอะไรอยู่ แต่เวลาก็ไม่ได้หยุดเดินให้พักปรับอารมณ์ตามไปด้วย ชีวิตประจำวันของทั้งสองคนโดยเฉพาะทัตจึงเริ่มขึ้น ทั้งสองคนจึงยังต้องไปโรงเรียนอยู่

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่มีคาบเรียนพละ ชุดนักเรียนที่คนในชั้นเรียนสวมจึงเป็นชุดพละของทางโรงเรียน โดยหากคำนึงจากเรื่องที่ว่านี่เป็นสัปดาห์แรกของการเปิดเทอม นั่นก็หมายความว่านี่เป็นวันแรกที่ทุกคนได้สวมชุดพละนั่นเอง ทุกคนถึงได้ดูตื่นเต้นกันมากที่จะได้ขยับร่างกายในคาบพละ ซึ่งคาบเรียนดังกล่าวนั้นอยู่ช่วงบ่ายที่เป็นคาบก่อนสุดท้าย

แล้วพอเวลาได้มาถึง อาจารย์ก็แนะนำรายวิชาเหมือนเคยก่อนจะปล่อยให้ทุกคนเล่นกีฬาที่ตัวเองชอบในโรงยิม นี่แหล่ะคือคาบแรกที่ทุกคนคาดหวัง

ในโรงยิมนี้เป็นแบบในร่มที่มีถึง 4 สนามอันประกอบไปด้วยสนามฟุตซอล สนามวอลเลย์บอล สนามแบดมินตันและสนามสุดท้ายที่พวกทัตกำลังเล่นกันอยู่นี้คือสนามบาสเกตบอล

ไม่สิ… พูดอย่างนั้นคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะทัตนั้นนั่งดูอยู่นอกสนามไม่ได้ลงไปเล่น

คนที่เล่นอยู่ในสนามนั้นคละเพศไม่แบ่งแยกชายหญิงแม้อันที่จริงควรจะทำ แต่คนที่เสนออย่างนั้นคือพิมเพราะเธอไม่คิดว่ามันจะลำบากอะไร (แม้อันที่จริงเธอจะเสนอแบบนั้นออกมาแค่เพราะอยากเล่นกับทัตก็ตามที ถึงสุดท้ายทัตจะไม่มีอารมณ์เล่นก็เถอะ)

คนที่เล่นด้วยกันก็มีทั้งมิ้น พล กล้าและหนุ่มที่อยู่ทีมเดียวกัน… ส่วนแพรนั้นนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้าง ๆ ทัตเพราะเดิมทีก็ไม่ใช่คนชอบออกแรงอยู่แล้ว

กลับกันแล้ว ทางด้านของพิมกับมิ้นนั้น…

“ส่งมาเลย!”

“จัดให้!”

พิมตะโกนเรียกหาบอลในขณะที่วิ่งนำไป โดยมีมิ้นวิ่งตามไปติด ๆ ก่อนจะเหวี่ยงบอลในมือส่งไปหาพิมอย่างแม่นยำแม้จะใช้แค่มือเดียว แว่นที่สวมอยู่ในขณะที่ออกแรงไม่เป็นอุปสรรคกับเธอเลยแม้แต่น้อย

และแน่นอนว่าพิมเองก็รับได้อย่างสวยงามเช่นกัน เธอเล่นจับลูกบอลเดินสองก้าวทำทีเป็นจะชูตแต่ที่จริงเป็นดับเบิ้ลคลัชก่อนจะโยนลูกขึ้นจนลงห่วงอย่างสวยงาม ทำเอาอีกทีมที่เป็นชายล้วนอายม้วนต้วนเลยทีเดียวที่ถูกเด็กผู้หญิงสองคนรุมยำ

“เจ๋งเป้ง!” เพราะเล่นแบบใช้ห่วงเดียว มิ้นเลยมีเวลาวิ่งเข้ามาแล้วตบแปะกับพิมแสดงชัยชนะ

“ฮิฮิ มันแน่อยู่แล้ว”

เห็นอย่างนั้นพิมเองก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ เธอจึงตบแปะมือกลับไปเช่นกันด้วยรอยยิ้มซุกซน ดูเหมือนว่าเธอคงจะได้เพื่อนสนิทคนใหม่นอกเหนือจากแพรก็งานนี้แหล่ะ พวกเธอร่าเริงกันสุด ๆ แม้จะออกแรงอย่างต่อเนื่องมาเกินกว่า 20 นาทีแล้วก็ตาม

แต่กลับกัน…

“ให้ตายสิ… เป็นสัตว์ประหลาดกันรึไง?”

“พวกฉันเหนื่อยจะตายชักแล้วเนี่ย”

ในขณะที่กล้ากับหนุ่มในทีมเดียวกันกับเธอนั้นเริ่มจะหอบรับประทานเข้าไปแล้ว กับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายและแค่อยากจะมาเล่นกับเด็กผู้หญิงน่ารักอย่างสองคนนี้ นี่น่าจะเป็นขีดจำกัดแล้ว

เห็นได้ชัดเลยว่าความสามารถทางด้านกีฬานั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับเพศสภาพ โดยเฉพาะพิมที่แสดงจุดแข็งของตัวเองออกมาได้ในทุกกีฬาเพราะมีพื้นฐานร่างกายที่ดี

“พิมยังเก่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยเนาะ แต่มิ้นเนี่ย นึกว่าจะเป็นประเภทเดียวกับฉันซะอีก” ความมหัศจรรย์ใจนั่นทำให้แพรต้องเอ่ยชม สำหรับเธอที่ไม่ค่อยเก่งกีฬาย่อมมองว่าทั้งสองคนน่าชื่นชมเป็นธรรมดา

“นั่นสินะ”

ทัตพยักหน้ารับเบา ๆ ตอบรับพอเป็นมารยาท นั่นเพราะเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามมากไปกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ทำไมถึงเย็นชาจังละ? กำลังกังวลอะไรอยู่รึเปล่านะ?

แพรเอียงคอสงสัยและขมวดคิ้วเป็นห่วงด้วยความที่เป็นเพื่อนต่างเพศไม่กี่คนที่รู้จักเพราะมีพิมเป็นคนกลางให้ ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าทัตไม่ใช่คนประเภทที่ชอบคุยเช่นเดียวกันกับเธอ แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดที่จะแลกความเห็นอย่างที่แสดงออกอยู่ตอนนี้

อย่างไรก็ดี… สาเหตุของเรื่องนั้นคงมีแค่ทัตกับพิมเท่านั้นแหล่ะที่รู้

“โอย… ไม่ไหวแล้ว”

“ฉันด้วย… จะตายอยู่แล้ว”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง… กล้ากับหนุ่มที่บ่นโอดโอยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เริ่มถึงขีดจำกัดจนล้มลงไปนั่งกับพื้นสนามซะแล้ว

ทั้งที่ทางด้านของพิมกับมิ้นยังส่งบอลเล่นกันไปมาอย่างสบาย ๆ อยู่เลย

“ให้ตายสิ พวกนายนี่ไม่ไหวกันเลยน้า” มิ้นเห็นแล้วก็ยิ้มเยาะไปพร้อมกับที่หมุนลูกบอลบนนิ้วชี้ เธอช่างมีพลังล้นเหลือจริง ๆ

“นะ หนวกหูน่า! เธอต่างหากเล่าที่แปลก”

“นั่นน่ะสิ เอาจริง ๆ ฉันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ”

ในขณะที่เป็นกล้าต่างหากที่มองว่ามิ้นแปลก แม้แต่พลเองก็ด้วย ถึงเขาจะยังไม่หมอบเหมือนกับอีกสองคนแต่เขาเองก็เหนื่อยหอบจนไม่สามารถแสดงท่าทีสบาย ๆ ออกมาได้

“อุหวา… ดูสิพิม เจ้าพวกนี้บอกว่าเราแปลกแหล่ะ” คิดแล้วยังไงก็เถียงแพ้แน่ ๆ ทางด้านจำนวน มิ้นก็เลยใช้ไพ่ตายด้วยการหาแนวร่วมที่พวกนั้นเอาชนะไม่ได้อย่างพิมมาอยู่ฝั่งตัวเอง

“เฮ้ย! ขี้โกงนี่หว่า”

“ฉันว่ามิ้นคนเดียวนะ ไม่ได้ว่าเธอแปลกหรอกนะพิม!”

พออ้างชื่อพิมขึ้นมากล้ากับพลก็รีบแก้ตัวกันใหญ่เพราะกลัวว่าจะโดนพิมเกลียดเอา กลายเป็นหนุ่มคนเดียวที่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกโล่งใจที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้

“อะฮะฮะ…” เห็นท่าทีสองมาตรฐานอย่างนั้น พิมเองก็อดไม่ได้เหมือนกันที่จะหัวเราะแห้ง ๆ ส่วนทางมิ้นนั้นกอดอกทำแก้มป่องไปเรียบร้อยแล้ว

“ถ้างั้นพวกเธอพักก่อนไหมล่ะ? เดี๋ยวให้ทัตกับแพรมาเล่นแทนก็ได้” แต่ยังไงเรื่องที่พวกเขาเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นต่อไหวก็เป็นเรื่องจริง พิมก็เลยเสนอแบบนั้นขึ้นมา

“เอ๋? ฉะ ฉันไม่ไหวหรอก!” แต่แพรที่นั่งอยู่ข้างสนามก็ลนลานปฏิเสธอย่างเขินอายในทันที อย่างที่พิมคิด

“นั่นสิ… ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากเล่นเหมือนกัน”

เช่นเดียวกันกับทัตที่พูดออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ตอนนี้เขายังคงก้มหน้ามองพื้นโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองคู่สนทนาอย่างพิมเลยด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้แพรคิดเข้าไปใหญ่ว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับทัตแน่ ๆ และนั่นอาจจะเกี่ยวกับพิมด้วย

…แต่ในระหว่างที่ทัตกำลังง่วนอยู่กับความคิดตัวเอง พอรู้สึกตัวอีกทีพิมก็มายืนอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว ด้วยรอยยิ้มแป้นทีเดียว นั่นคือก่อนที่เธอจะเอื้อมมือลงไปจับมือที่วางอยู่บนม้านั่งของทัตแล้วดึงขึ้นเป็นแกมบังคับ

“อะเฮ้ย!”

“เดี๋ยวเด้!”

“วีดวิ้ว”

ในจังหวะนั้นพวกผู้ชายที่ได้เห็นต่างก็อิจฉาตาร้อนกันไปเป็นแถบ ๆ เมื่อได้เห็นทัตกุมมือกับเด็กสาวที่น่ารักที่สุดในโรงเรียนที่ทุกคนหมายปองอย่างพิมเข้า มิ้นเองก็แอบแซวด้วยเหมือนกัน

บรรยากาศที่ถูกจับตามองในจังหวะที่อารมณ์กำลังสับสนทำให้ทัตไม่ชอบเลย

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยน่า! รู้รึเปล่าว่าการออกกำลังกายมันช่วยระบายอารมณ์ได้เหมือนกันนะ!” ในขณะที่ทางพิมนั้นเอาแต่ให้ความสนใจกับทัตจนไม่ได้สังเกตเรื่องพวกนั้นด้วยซ้ำ

พูดจบแล้วเธอก็ออกแรงดึงทัตมากขึ้นไปอีกแต่ก็เหมือนจะไม่สำเร็จด้วยน้ำหนักของตัวทัต เห็นอย่างนั้นทัตก็เลยพอจะรู้ว่าเธอคงเป็นห่วงเขามากจนพยายามจะหาทางช่วยในแบบของตัวเองอยู่

ซึ่งทัตเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นวิธีที่ถูกไหม แต่ที่แน่ ๆ… การปฏิเสธความหวังดีของเด็กสาวตรงหน้า สำหรับทัตแล้วมันเป็นเรื่องผิด

“ก็ได้ ๆ” ทัตพูดเหมือนระอา แต่ก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดีพร้อม ๆ กับผละมือออกจากพิมไปด้วยเพื่อให้พวกเพื่อนในห้องเลิกแซวเสียที

“เอ้า ๆ แพรเองก็ด้วยนะ… เดี๋ยวฉันช่วยเองไม่ต้องห่วง”

“อือ… ก็ได้”

พอถูกพิมขอร้องด้วยสายตาออดอ้อนแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเองก็ยากจะทานทน แพรก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปเล่นด้วย

ด้วยเหตุนั้น ทีมของพิมในตอนนี้เลยมีพล มิ้น บวกกับแพรและทัตที่เข้ามาแทนหนุ่มกับกล้าที่พลังงานหมดไปก่อนหน้านี้

“เอาเว้ย ๆ ไอ้ทัตมันลงสนามแล้วเว้ย”

“อย่าให้มันได้ลูกเชียว เอาให้ขายหน้าพิมไปเลย”

เฮ้ย ๆ… ฉันได้ยินนะ

ในขณะที่อีกทีมกลับวางแผนร้ายเอาไว้ แต่ก็วางแผนได้แย่เหลือเกินที่ไม่คิดปิดบัง

แต่อย่างไรก็ดี… เห็นได้ชัดเลยว่าหนุ่ม ๆ ในห้องนี้ต่างเห็นว่าทัตกับพิมมีสายสัมพันธ์พิเศษต่อกันแต่ไม่ถึงขั้นเป็นแฟน ดังนั้น การจะฝ่าด่านเพื่อไปหาพิมได้ ก็มีแต่ต้องโค่นคนที่ใกล้ชิดกับเธอที่สุดอย่างทัตลงให้ได้เสียก่อน นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดสมกับที่เป็นเด็กวัยรุ่น

“พวกนายตื่นเต้นกันเกินไปแล้ว” ทัตเห็นดังนั้นเลยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ ในขณะที่หัวเราะแห้ง ๆ

ยังไงก็ตาม… นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้พวกนั้นดูถูกหรือยอมแพ้ไปง่าย ๆ แต่อย่างใด

ด้วยเหตุนั้น… ในจังหวะที่เกมใหม่เริ่มขึ้นจากการที่เด็กหนุ่มคนนึงส่งบอลให้พิมที่เป็นคนรับอยู่กลางสนาม ก่อนจะส่งกลับไปให้เด็กหนุ่ม ทัตก็ขยับไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ถือบอลในทันที

“อ้าวเฮ้ย!” เด็กหนุ่มคนนั้นตกใจในทันทีที่เห็นว่าทิศทางที่กำลังจะเลี้ยงลูกไปมีทัตรออยู่ก่อนแล้ว แถมพอจะไปอีกทางก็เจอพิมดักรออยู่ก่อนเสียอีก

“หนอย…”

จากหลาย ๆ เกมก่อนหน้านี้ เขาชั่งน้ำหนักแล้วว่าเลี้ยงบอลไม่ผ่านพิมแน่ จึงเลือกที่จะเลี้ยงบอลไปทางทัตแทน แถมในจังหวะที่กำลังจะเลี้ยงผ่าน เขายังพยายามพลิกตัว 180 องศาเพื่อบังบอลไม่ให้ทัตเอื้อมไปถึงลูกด้วย

ไม่สิ อันที่จริง… สิ่งที่เขาหวังผลน่าจะเป็นการแสดงท่าเลี้ยงลูกเท่ ๆ ให้พิมที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นมากกว่า

ทว่า…

“อะไรกัน!?”

ในจังหวะที่พลิกตัวหลบ ช่องว่างเพียงเล็กน้อยนั่นทำให้มือของทัตพุ่งเข้าไปถึงลูกบอลอย่างแม่นยำจนมันกระดอนออกนอกสนามไป

แม้จะเป็นความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มที่เลี้ยงบอลไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่ในขณะเดียวกันปฏิกิริยาในการโต้ตอบของทัตก็เร็วเกินไปอยู่ดี มากเกินจนทัตรู้สึกข้องใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ

เมื่อกี้นี้มันอะไรเนี่ย? รู้สึกเหมือนหมอนั่นเคลื่อนไหวช้าไปแวบนึงเลยแฮะ

เขาถึงยกมือขวาข้างที่พุ่งไปปัดบอลออกมองจ้องเสมือนไม่ใช่มือตัวเองราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ไม่สิ… ไม่ใช่พวกนั้นเคลื่อนไหวช้ากว่าทุกที

แต่เป็นเพราะประสาทสัมผัสของเราเร็วขึ้นรึเปล่า?

ทัตตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้น เพราะคำอธิบายเรื่องเมื่อกี้คงไม่พ้นหนึ่งในสองอย่างนี้นี่แหล่ะ

ในระหว่างนั้น เพื่อนร่วมทีมต่างก็แสดงความดีใจที่ทัตทำลายโอกาสบุกของอีกทีมได้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่อีกฝ่ายกำลังจะส่งบอลที่ออกนอกสนามให้กับเพื่อนในทีม

ความสงสัยของทัตยังไม่ถูกแถลงไข แต่ตอนนี้ก็ควรจะมีสมาธิกับเกมก่อน ทัตก็เลยขยับไปบล็อกคนที่อยู่ใกล้ ๆ เช่นเดียวกับที่คนอื่น ๆ ทำ คงมีแค่แพรคนเดียวที่วิ่งตามไปบล็อกทีมคู่แข่งไม่ทัน นั่นเลยเป็นจังหวะให้คนส่งบอลส่งไปยังเด็กหนุ่มคนนั้น และเขารับได้อย่างสวยงาม

แพรรู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองเลยพยายามวิ่งตามเด็กหนุ่มคนนั้นที่เลี้ยงบอลเข้าไปในเขตสองแต้ม แต่ก่อนจะได้ชู้ต ตรงจุดนั้นก็มีพลรออยู่ก่อนแล้ว

“หนอย…” เด็กหนุ่มได้เห็นจึงรู้ว่าตนเลี้ยงผ่านไปไม่ได้แน่ก็เลยส่งบอลกลับออกไปให้เพื่อนที่อยู่ด้านนอกเขตแทน

แต่ในจังหวะก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้รับลูก มิ้นก็พุ่งเข้ามาตัดบอลได้ก่อน จนมันพุ่งกระเด็นไปอีกทาง และนั่นแหล่ะที่ทำให้เกือบจะเกิดเรื่อง

เพราะทิศทางที่ลูกบอลพุ่งไปนั้นมีแพรอยู่ แถมด้วยความสูงของลูกบอลที่มิ้นหวังผลให้แพรรับลูก

แต่มีสิ่งหนึ่งที่มิ้นคิดผิดถนัด คือปฏิกิริยาโต้ตอบของแพรที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา เธอช้าเกินกว่าจะรับลูกนั้นได้ทันในระยะไม่กี่เมตรนี้

ลูกบอลถึงได้พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของแพร นั่นทำให้พิมรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างแต่ก็ไกลเกินไป

โดนแน่เลย!

แม้แต่แพรเองยังทำได้แค่หลับตาปี๋ที่ลูกบอลพุ่งเข้ามา เธอยกมือขึ้นมากันลูกบอลไม่ทันด้วยซ้ำ แล้วลูกบอลก็กระแทกหน้าเธอเข้า

…ความจริงมันควรเป็นอย่างนั้น หากไม่มีทัตเข้ามารับลูกบอลไว้ได้ก่อน

“ให้ตายสิ เกือบไปแล้ว”

ทัตรับบอลด้วยมือเดียวก่อนจะเคาะลงกับพื้นเลี้ยงลูกตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือแพรไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย นั่นทำให้พิมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ขะ ขอบคุณนะ” แพรตอบกลับอย่างเอียงอาย แต่ลึก ๆ เหมือนจะรู้สึกผิดที่เกือบจะทำให้บรรยากาศที่กำลังสนุกเปลี่ยนไปมากกว่า

“อย่าคิดมาก ๆ”

ทัตตอบกลับไปตามมารยาทเหมือนทุกที แม้จะไม่สนิทมากแต่อย่างน้อยก็พอรู้ว่าแพรเป็นคนยังไงเขาจึงปลอบใจไปแบบนั้น เพราะถ้ารู้สึกหดหู่เอาตอนนี้จะกลายเป็นพิมที่รู้สึกผิดไปด้วยเอา

เอาล่ะ… ขอลองทดสอบอะไรหน่อยแล้วกัน

แถมอีกอย่าง… เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ปฏิกิริยาของทัตเร็วขึ้นจนตัวเองยังสังเกตได้ ทัตจึงอยากทำให้แน่ใจว่านั่นไม่ใช่แค่การคิดไปเอง

เด็กหนุ่มที่เป็นทีมคู่แข่งคนนึงปรากฏตัวด้านหน้าของทัตหวังจะแย่งบอล ทัตเริ่มหลอกล่อเขาด้วยการเลี้ยงลูกถอยหลังกลับไปเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าแล้วโชว์ลีลาอ้อมลูกที่เลี้ยงอยู่ในมือขวาผ่านหลังแล้วส่งไปทางด้านซ้ายผ่านเด็กหนุ่มที่รอแย่งลูกอยู่ด้านหน้าไป ก่อนจะวิ่งอ้อมไปรับลูกด้านหลังของเขา

ทว่าในจังหวะนั้นกลับมีเด็กหนุ่มอีกคนซ้อนรออยู่ด้านหลังก่อนแล้ว เขาถึงยิ้มแฉ่งออกมาเพราะคิดว่าทัตมองไม่เห็นตน และหากจะมีจังหวะไหนที่จะใช้ขัดขาทัตไม่ให้โดดเด่นไปกว่านี้ก็คงเป็นตอนนี้นี่แหล่ะ

แต่หารู้ไม่… ในจังหวะที่ทัตวิ่งอ้อมเด็กหนุ่มคนแรกไป เขาก็อาศัยจังหวะเดียวกันพุ่งไปเอาลูกบอลได้ก่อนด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อแล้วพลิกตัว 180 องศาหลบเด็กหนุ่มคนที่สองไปได้อย่างสวยงาม นั่นทำให้เด็กหนุ่มคนแรกที่ทัตเผชิญหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยที่ทัตใช้ท่าแบบเดียวกันแต่ทัตดันทำสำเร็จ

“ไม่ยอมให้ผ่านหรอก!”

เหลือเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ใต้แป้น เขารอให้ทัตมาเผชิญหน้าตั้งแต่แรกและคิดจะกระโดดป้องกันลูกในจังหวะที่ทัตจะชู้ต

“โทษทีนะพวก” แต่เขาคิดผิดถนัดเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทัตคิดจะทำ

พอเข้ามาในเขตสองแต้ม สิ่งที่ทัตทำกลับเป็นการกระโดดขึ้นสูงยังกับติดปีกลอยเข้าหาห่วงพร้อม ๆ กับที่มีลูกบอลติดในมือขวา ก่อนจะจับลูกบอลยัดลงห่วงอย่างสวยงามจนเสียงดังลั่น นั่นแสดงถึงพละกำลังที่เขามีในตอนนี้

ด้วยเพราะถูกแรงโน้มถ่วงทำให้ทัตตกลงมาถึงพื้น แม้จะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่มือของเขายังจับคอห่วงอยู่เลยเหมือนห้อยอยู่บนนั้นก็เถอะ แต่นั่นคือสิ่งยืนยันอีกครั้งในพลังการกระโดดของเขา

“สุดยอด…”

“ไอ้หมอนั่นมันดังค์ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย”

นั่นเลยทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะพวกเด็กหนุ่มที่คิดจะล้มทัตต่อหน้าพิมเพื่อทำคะแนนให้เธอสนใจ พวกเขาเห็นแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ให้กับทัตเพราะคิดไม่ออกว่าจะเอาชนะได้ยังไง

ทั้งที่ในความเป็นจริง… ทัตก็แค่อยากทดสอบสมมติฐานของตัวเองเท่านั้น

❖❖❖❖❖

อย่างนี้ก็ชัดแล้วล่ะนะ… ถึงจะสุดยอดก็จริง แต่ในความเป็นจริงฉันไม่เคยดังค์ได้มาก่อนหรอกนะ

แล้วอันที่จริงฉันก็ไม่ได้เล่นบาสเก่งอะไรด้วย… แต่ที่เคลื่อนไหวได้เร็วและกระโดดได้สูงขนาดนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นเพราะมีพละกำลังเพิ่มขึ้น และไม่ได้คิดไปเองด้วย

ส่วนสาเหตุของเรื่องนี้ คิดยังไงก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘การตื่น’ นี่แหล่ะ

ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าพวกสเตตัสพื้นฐานจะส่งผลกับชีวิตจริงด้วย แต่การได้รู้เรื่องนั้นก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่หรอกนะ เพราะฉันไม่ได้คิดที่จะเป็นนักกีฬาหรือทำอาชีพอะไรที่ต้องใช้กำลัง

พอมีเรื่องนี้เข้ามาเลยทำให้ตระหนักถึงสถานการณ์อีกครั้ง ว่าเรานั้นไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับ ‘การตื่น’ เลย

นั่นยังรวมถึงสาเหตุของเรื่องที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นหรือสาเหตุที่เกิดเรื่องทั้งหมดด้วย… ที่ทำได้ตอนนี้มีแค่การเอาตัวรอดไปวัน ๆ โดยหวังว่าคำตอบจะออกมาสักวันนึงก็เท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะยังไง… เพราะผลลัพธ์การทดสอบมันออกมาอย่างนั้น เลยกลายเป็นว่าฉันถูกจับตามองเพราะเรื่องนี้ไปพักใหญ่เลย

อย่างน้อยก็จนกระทั่งเลิกเรียน คนส่วนใหญ่ในห้องก็ยังพูดถึงกันอยู่เลย

แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือ ทุกคนก็ยังจะชวนเราไปเที่ยวหลังเลิกเรียนกันอยู่

“น่า ๆ เย็นนี้ไปเที่ยวกันเถอะ!” คนที่ตามเซ้าซี้พูดเรื่องนั้นเหมือนเคยก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพล เหตุการณ์เหมือนกับเมื่อวานไม่มีผิดที่เข้ามาทักหลังเวลาเลิกเรียนได้มาถึง

แต่สำหรับทัตแล้ว นั่นทำให้การปฏิเสธทำได้ยากมากขึ้น… เพราะการถูกชวนด้วยวิธีเดิมไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยข้ออ้างเดิมนั่นแล นั่นคือสาเหตุที่ทัตลำบากใจจนขมวดคิ้วเหงื่อตก

“จริง ๆ ก็ฟังดูน่าสนุกดีนะ ไปเที่ยวกันเถอะทัต!” และสาเหตุอย่างที่สองที่ทำให้ทัตลำบากใจ… ก็คือการที่พิมเข้ามาร่วมด้วยนี่แหล่ะ แถมยังพูดเป็นเชิงส่งเสริมทั้งที่รู้เรื่องราวทั้งหมดดีอยู่แล้วแท้ ๆ

“…จะดีเหรอ?” ทัตถึงได้เอียงคอเอ่ยถามด้วยความสงสัย สีหน้าของเขายังแฝงด้วยความรู้สึกไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ด้วย แม้แต่พิมเองก็ตามที

“ทำไมล่ะ? นายไม่อยากไปกับฉันเหรอ?”

“…”

และดูเหมือนทัตจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปหน่อย… มากเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัว และไม่ว่ามันจะเป็นเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นในอกที่ตกค้างมาจากเมื่อคืนหรืออย่างไร แต่นั่นก็ทำให้พิมรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมา เพราะทัตทำเหมือนกับผลักไสเธอ

ไม่เข้าใจเธอเลยให้ตายสิ…

ทัตคิดแบบนั้นอย่างหน่าย ๆ ตอนนี้แม้แต่กับพิมเขาก็ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะเล่นด้วยเท่าไหร่นัก

“เข้าใจแล้ว ฉันไปด้วยก็ได้” แต่สุดท้าย เขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของเธอได้อยู่ดีนั่นแล แม้หน้าจะยังมุ่ยอยู่แต่ทัตก็ยังฝืนความรู้สึกตัวเองตอบตกลงไป

“ต้องแบบนี้สิ!” พิมได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแป้นออกมาในทันที

…แม้ว่าในความเป็นจริง รอยยิ้มนั่นจะดูฝืนเกินกว่าจะพูดได้เต็มปากว่ามาจากใจก็ตามที เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเองก็รู้สึกลำบากใจที่ทำให้ทัตต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่อยากเหมือนกัน

แต่ตอนนี้ความคิดหลาย ๆ อย่างมันกำลังกดทับในหัวเขาอยู่ ทัตจึงมองไม่เห็นความจริงในข้อนั้น

“อะไรเหรอ ๆ!? จะไปเที่ยวแต่ไม่ชวนฉันงั้นเหรอ!” ในจังหวะเดียวกันนั้นเองที่มิ้นปรากฎกายขึ้นข้าง ๆ กลุ่มสนทนา เธอทำแก้มป่องเหมือนตอนที่โดนเปรียบเทียบกับพิมเมื่อตอนที่เล่นบาสไม่มีผิด

“ไม่ใช่ซะหน่อย ก็กะจะชวนไปด้วยอยู่แล้วล่ะ” พิมรีบตอบกลับอย่างไว ไม่อยากให้มิ้นเข้าใจผิดเพราะอุตส่าห์ได้สนิทกันมากขึ้นทั้งที พิมจึงอยากจะพัฒนาให้กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจริง ๆ

“แต่จะว่าไป เธอต้องรีบกลับรถสายไม่ใช่เหรอ?” พลพูดเปิดประเด็นทำให้ทุกคนหวนนึกถึงสาเหตุที่ทำให้กลุ่มแยกตัวกันเมื่อวันแรกเปิดเทอม

“จริงด้วย จะไม่เป็นไรเหรอ?” แพรเองก็แสดงความเป็นห่วงด้วยเหมือนกัน แต่ว่า…

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันขอให้พ่อมารับได้อยู่น่ะนะถ้าจำเป็น” มิ้นว่าแบบนั้นแล้วก็ชูสองนิ้ววิคตอรี่อย่างร่าเริง พยายามแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่ปัญหา

รวมกับกล้าและหนุ่ม… ทั้งกลุ่มเลยตัดสินใจจะไปเที่ยวในเมืองชดเชยจากวันแรกที่เปิดเทอมกัน โดยจุดหมายคือห้างสรรพสินค้าที่เป็นศูนย์กลางของจังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… ในช่วงหัวค่ำที่จะมีถนนคนเดินซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าและอาหารต่าง ๆ อันเรียกได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนไม่อยากพลาด แต่เพราะช่วงที่ครึกครื้นที่สุดเป็นช่วงหัวค่ำเลยต้องรอสักพัก

และในขณะที่ทุกคนตัดสินใจว่าจะไปเดินเที่ยวห้างรอ พิมก็เอ่ยขึ้นมาว่ามีธุระที่ต้องไปทำก่อนเดี๋ยวตามไปทีหลัง และแน่นอนว่าคนที่เธออยากให้พาไปเป็นผู้ช่วยก็คือทัต

แต่ที่จริงแล้วนั่นก็แค่ข้ออ้าง… ทัตรู้เรื่องนั้นหลังจากพิมลากเขามาที่ห้องของเขาเอง ตอนนี้ทั้งสองคนจึงอยู่หน้าห้องของทัตนี่แหล่ะ

“ธุระของเธอคือที่ห้องฉันเนี่ยนะ?” ทัตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนน่าดูแต่ไม่ใช่ความหน่ายจากร่างกายกาย เรื่องนั้นพิมเองก็รู้อยู่ และเพราะรู้ สีหน้าเธอจึงขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก

“มีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ และคิดว่าที่นี่คงเหมาะสุด”

“…เหรอ”

ทัตตอบกลับเหมือนจะยังไงก็ได้ ก่อนจะเปิดประตูให้ แล้วพิมก็พุ่งพรวดเข้าไปในห้องก่อนทัตเสียอีก ท่าทางรีบร้อนแปลก ๆ นั่นทำให้ทัตสงสัยเหมือนกัน แต่ก็ยอมตามเข้าไปแต่โดยดี

“จะว่าไป ทำไมถึงได้อยากไปเที่ยวล่ะ? ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าคืนนี้มันมีมอนสเตอร์น่ะ?”

พอได้จังหวะทัตก็เอ่ยถามสิ่งที่คาใจมาตั้งแต่ตอนเลิกเรียน ตอนนี้พิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน ทัตเลยไปนั่งที่ขอบเตียงนอนแทน

“มอนสเตอร์มันก็มาทุกคืนอยู่แล้วนี่” พิมตอบอย่างขวานผ่าซาก ซึ่งก็ถูกของเธอ แต่ว่า…

“…มันก็ใช่อยู่หรอก แต่เราก็ต้องเตรียมตัวอยู่ดีนะ ลืมแล้วเหรอว่าถ้าพวกเราที่เกิด ‘การตื่น’ ตายขึ้นมา ก็คือตายจริง ๆ น่ะ?” ทัตพยายามใช้ความจริงเพื่อให้พิมเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ แต่ว่า…

“แล้วนายจะเก็บตัวไม่อยู่กับเพื่อนไปตลอดชีวิตเหรอ? แบบนั้นที่เรามีชีวิตรอดมาได้มันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ?”

พิมเอ่ยอย่างแข็งกร้าว น้ำเสียงแฝงด้วยความจริงจังสอดคล้องกับสีหน้าของเธอ ความแน่วแน่ในแนวคิดของตัวเองคือหนึ่งในจุดแข็งของเธอที่ทัตเอาชนะไม่ได้

แถมหนนี้… ความคิดของพิมก็มีส่วนถูกด้วย ทัตก็เลยอึ้งไปเล็กน้อยและไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรเถียงกลับไปดี ปากที่อ้าขึ้นเพื่อจะเถียงกลับจึงได้ไม่มีเสียงใดลอดออกมา

ไม่สิ… เขารู้ตัวว่าตัวเองคงเถียงอะไรกลับไปแบบข้าง ๆ คู ๆ หรือไม่อย่างนั้นก็คงใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลมากยิ่งกว่าที่พิมเป็นอีกแน่ ๆ และการทำอย่างนั้นมันไม่ต่างจากการเอาความทุกข์ของตัวเองไปลงที่พิมเลย เพราะรู้แบบนั้นทัตก็เลยเลือกจะหลบหน้าเธอแล้วมองลงต่ำแทนที่จะพูดสวนกลับไป

และการทำแบบนั้น ดูยังไงก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่โอเค… และไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังจะเป็นอะไรแต่พิมก็รู้สึกปล่อยไว้ไม่ได้เมื่อเห็นทัตแสดงสีหน้าเป็นทุกข์ขนาดนั้นออกมา

“กำลังเครียดอะไรอยู่… บอกฉันได้นะ”

เธอเลยลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินมานั่งลงขอบเตียงข้าง ๆ ทัตแทน หวังให้ความใกล้ชิดนี้เป็นตัวละลายหัวใจที่ปิดตายของทัต นั่นเลยทำให้ทัตเงยหน้าขึ้นมองเธอ

ด้วยความสับสนนั่นก็ส่วนหนึ่ง… แต่ที่มากกว่าคือความสงสัย กล่าวคือ ทัตสงสัยว่าทำไมพิมถึงต้องอยากรู้เรื่องของเขาขนาดนั้น ทั้งที่ตัวเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วแท้ ๆ

“ไม่ได้เหรอ? ฉันอยากช่วยนายนะ… นายในตอนนี้น่ะเหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีผิดเลย” พิมว่าแบบนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ บางอย่างกำลังบอกกับทัตว่านี่ไม่ใช่การหยอกแกล้งตามเคย

“นายมีอะไรก็ชอบเก็บไว้คนเดียวตลอด แบบนั้นมันจะแย่เอานายก็รู้นี่นา… มีอะไรก็ระบายให้ฉันฟังสิ” พิมขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก เสียงสั่นระรัวของเธอจึงยิ่งกรีดแทงเข้าไปในใจของทัต แต่ที่มากกว่านั้นคือตอนที่เธอเอื้อมมือตัวเองมาสัมผัสกับมือของทัต นั่นทำให้ทัตสัมผัสได้ชัดเจนว่ามือของเธอเองก็สั่นเหมือนกัน

“ขอร้องล่ะ… ฉันไม่อยากเห็นนายทำหน้าอย่างนั้นนะ”

จนสุดท้ายพิมก็พูดอย่างนั้นออกมา… เสียงที่สั่นนั่นเป็นเพราะเธอพยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาที่เกิดจากความเจ็บปวดในหัวใจตัวเองมันหลุดรอดออกมา

แล้วความเจ็บปวดนั่นมันมาจากไหนกันล่ะ? ทัตตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นก็ได้คำตอบในทันที เพราะเขารู้ ‘ความรู้สึกที่พิมมีต่อเขา’ มากพอ ๆ กับที่เจ้าตัวรู้สึก

เขาจึงรู้… ว่าที่พิมกำลังเป็นกังวล เจ็บปวดทรมานขนาดนี้ มันก็เป็นเพราะเธอทนไม่ได้ที่เห็นเขาทนทุกข์อยู่อย่างนี้

“ขอโทษ… ฉันไม่อยากทำอย่างนั้น” แต่ยิ่งรู้แบบนั้น ทัตยิ่งทำไม่ได้

“มันเหมือนฉัน… ใช้ประโยชน์จากเรื่องที่เธอชอบฉันเลย เพราะงั้น…”

นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เขารู้สึก และดูเหมือนเรื่องนั้นจะยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… หากคำนึงจากความรู้สึกของพิมที่เคยสารภาพรักขอคบเป็นแฟนกับทัต แต่เขากลับปฏิเสธเธอไปเพราะคิดว่าตัวเองที่ยังแก้ปัญหาครอบครัวได้ไม่ตกและเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีค่าพอจะคบกับคนระดับพิม

ปัญหานั้นไม่ได้เกิดจากการที่เขาไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกับที่พิมรู้สึก แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม พิมรู้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของทัตเธอจึงรอเขามาตลอดจนกว่าที่ทัตจะพร้อมและยืดอกรับคำขอของเธอได้โดยไม่มีอะไรค้างคา

บางที… นั่นคงเป็นสิ่งที่เธอหวังมากที่สุดจากทัตจึงได้อยู่เคียงข้างเขามาตลอด และนั่นแหล่ะคือเหตุผลที่เธอเจ็บปวดไปพร้อมกับทัตเสมือนมีหัวใจดวงเดียวกับเขา

เพราะสำหรับหญิงสาวที่รักใครสักคน มันก็เหมือนกับว่าเธอได้ผูกโยงหัวใจของตัวเองเข้ารวมกับคน ๆ นั้นไปแล้ว

ใช่… เพราะทัตรู้ความรู้สึกของพิมอย่างนั้น เขาถึงไม่คิดฉวยโอกาสต่อความรู้สึกที่เธอมีแก่เขา หรือแม้แต่การใช้ความอ่อนโยนของเธอให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง เพราะทัตคิดว่าตัวเองที่ไม่ยอมรับคำขอของพิมนั้นไม่มีสิทธิที่จะได้รับความอ่อนโยนจากเธอ แม้นั่นจะเป็นคำขอที่มาจากตัวพิมเองก็ตาม

ไม่สิ… ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่ความรู้สึกของพิมเสียทีเดียว เรียกว่าเป็นอย่างนั้นแค่ครึ่งหนึ่งคงได้

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้น ความจริงแล้วเขาก็แค่กลัวว่าจะโดนพิมเกลียดหากใช้ให้เธอเป็นคนคอยรับฟังเรื่องกลุ้มใจเสมือนที่รองรับอารมณ์ทั้งที่ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นคนรู้ใจ

ทั้งที่ความจริงแล้ว เรื่องแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้นตราบใดที่เขาจริงใจกับเธอ อย่างที่ตอนนี้ทัตได้บอกความรู้สึกลำบากใจของตัวเองออกมาอย่างซื่อตรง

และที่สำคัญที่สุด… จริง ๆ แล้วที่ทัตไม่อยากระบายความรู้สึกอะไรให้พิมรับรู้ด้วย มันก็เป็นเพราะทัตไม่อยากให้พิมต้องมาคอยเป็นทุกข์ไปกับเขานั่นแหล่ะ

แต่ทัตนั้นหารู้ไม่… ว่าพิมไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด

จะทั้งเรื่องที่ไม่อยากให้พิมเกลียด เรื่องที่กลัวว่าการทำตามที่ใจต้องการจะเป็นการหลอกใช้ความรู้สึกของพิม หรือเรื่องที่คิดว่าไม่ควรให้พิมแบกรับอะไรไปพร้อมกันทั้งที่เป็นแค่เพื่อน เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญกับเธอเลยสักนิด

นั่นเพราะสำหรับพิม… สถานะระหว่างคนสองคนมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ใช้บ่งบอกระยะห่างของหัวใจ

พิมรู้สึกดังนั้นจึงอยากให้ทัตตระหนักในสิ่งเดียวกัน… ตระหนักถึงความใกล้ชิดที่เธอปรารถนาจากเขา

และที่สำคัญ… เพื่อให้ทัตรู้ว่าระยะห่างของเธอกับตัวเขา มันไม่ได้ห่างไกลขนาดที่ต้องไปสนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้น

“คิดมากเกินไปแล้ว… ตาบ้าเอ้ย”

เธอถึงได้เอื้อมมือทั้งสองข้างเข้าไปสวมกอดศีรษะของทัตไว้ ดึงมันเข้ามาใกล้ให้ซบลงที่อกของเธอ นั่นทำให้ทัตตกตะลึงมากในจังหวะแรก ทว่าถัดจากนั้นพิมกลับใช้มืออันอ่อนนุ่มและอบอุ่นของเธอลูบผมของเขาเบา ๆ ราวปลอบโยนไปพร้อม ๆ กับที่ออกแรงกอดอย่างพอเหมาะให้ทัตได้สัมผัสกับไออุ่น

มันช่างน่าประหลาดที่ทัตไม่รู้สึกแปลก ๆ กับพิมทั้งที่สัมผัสกับความนุ่มของหน้าอกของเธอเลยสักนิด แต่ที่เป็นแบบนั้นน่าจะเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากทั้งร่างกายและจิตใจของเธอมากกว่า ความรู้สึกกำหนัดหรือตัณหาจึงกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่พิมมีให้แก่เขา

ถึงตอนนั้นทัตก็ได้รู้… ว่าการเก็บความรู้สึกพวกนี้จนเป็นทุกข์เอาไว้โดยไม่บอกอะไรเธอ มันกลับทำให้ผู้หญิงคนนี้ที่รักเขามากยิ่งทรมานมากกว่าการระบายให้เธอฟังเสียอีก

คิดได้ดังนั้น เหตุผลที่ต้องปิดบังก็เลยหายไป

“โทษทีนะ รู้งี้ฉันน่าจะพูดไปตั้งแต่แรกจะได้สบายใจขึ้น… คงไม่มานั่งเก็บกดอยู่อย่างนี้หรอก” ทัตเอ่ยอย่างรู้สึกผิด แต่ในน้ำเสียงใสกังวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจึงทำให้พิมรู้สึกโล่งอกขึ้นมาด้วย

“เพราะนายเห็นแก่ความรู้สึกของฉันใช่ไหมล่ะ… แต่เพราะนายเป็นคนที่เห็นความรู้สึกของคนรอบตัวสำคัญกว่าตัวเองแบบนี้แหล่ะ ฉันถึงได้หลงรักนาย” พิมเอ่ยไปก็ยิ้มแฉ่งไป ดูเหมือนในเวลาสำคัญเธอจะไม่เอียงอายเลยสักนิดที่ต้องเผยความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง

“มันเขินนะ…”

แต่กลับกัน… สำหรับทัตแล้วมันดูน่าอายนิดหน่อย เพราะเขาห่างหายไปกับความใกล้ชิดมานาน เรียกว่าไม่ค่อยมีภูมิคุ้มกันก็ว่าได้ ทัตเลยพยายามผละตัวออกมาจากอ้อมอกของพิม

ในตอนที่ผละออกมาเขาเองก็สังเกตเห็นว่าพิมดูไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยเพราะอยากจะกอดให้นานกว่านี้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็คงไม่ได้ทำอะไรเอา

“แล้วสรุปนายเป็นอะไรอ่ะ?” พิมกลับมาใช้น้ำเสียงตามปกติ ดูเหมือนนอกจากทัตแล้ว พิมเองก็อารมณ์ดีขึ้นเหมือนกัน

แต่ดูเหมือนจะมากไปนิดเพราะเธอขยับเข้ามาใกล้เขาจนอย่างน้อย ๆ แขนก็ชิดติดกันแล้วตอนนี้

“ก็นะ แค่มีเรื่องที่ทำให้คิดนิดหน่อยน่ะ” ทัตพูดเหมือนไม่สนใจเรื่องความใกล้ชิดนี้ เพราะดูเหมือนพูดไปพิมก็คงไม่ฟังแหง ๆ เลยหันมาพูดถึงประเด็นที่เขากำลังรู้สึกอยู่แทน

“จะว่าฉัน… รู้สึกผิดก็ได้มั้ง”

สีหน้าของทัตกลับมารู้สึกอย่างที่พูดอีกครั้ง แต่ไม่ได้จมจ่อมเหมือนกับที่เป็นมาทั้งวัน อย่างน้อยนั่นก็เป็นจุดที่พิมโล่งใจ

แต่อย่างไรก็ดี… คำตอบของทัตมีสิ่งที่สะกิดใจพิมอยู่เหมือนกัน

“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเรื่องของพวกคนเมื่อวาน” พิมที่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ตัวเองคิดเลยเอ่ยถามไปตรง ๆ เธอรู้ได้ทันทีว่าคำตอบนั้นถูกต้องจากคิ้วที่เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจของทัต

“รู้ได้ไง?”

“เดาเอาต่างหากล่ะ” พิมตอบแล้วก็ยิ้มแป้น ดูท่าเธอจะคาดเดาเอาจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวมถึงจากนิสัยของตัวทัต แน่นอนว่าเธอไม่รู้รายละเอียดเชิงลึกหรอก

แต่อย่างไรก็ดี… นั่นทำให้ทัตดีใจนิดหน่อย เพราะมันหมายความว่าพิมมองดูเขาบ่อยจนถึงขนาดที่รู้จิตรู้ใจของเขาได้

“แต่ก็ใช่… อย่างที่เธอคิดนั่นแหล่ะ เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน” ทัตว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ ก่อนจะเอนตัวลงนอน ด้วยส่วนสูงของเขาทำให้หัวเกือบจะไปชนผนังห้อง

“เรื่องที่คนพวกนั้นตายน่ะ มันคาใจฉันมาจนถึงตอนนี้เลย… จะว่ารู้สึกผิดก็คงได้” ทัตว่าแบบนั้นแล้วก็ก่ายหน้าผากหลังพูดความรู้สึกซ้ำเป็นหนที่สอง แต่พูดมาจนถึงตอนนี้พิมก็เข้าใจความรู้สึกทัต แต่ก็แค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น

“ใจดีจังเลยนะ นายเนี่ย… ฉันไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย” พิมว่าแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ในขณะที่ขยับร่างตัวเองขึ้นไปนั่งบนเตียงเต็ม ๆ ก่อนจะเอาหลังพิงผนังแล้วพูดต่อ

“ฉันเองก็ตกใจเหมือนกันแหล่ะ แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากหรอกนะ… คิดว่าพวกนั้นสมควรโดนแล้ว” พิมว่าแบบนั้น ในน้ำเสียงของเธอไม่มีความรู้สึกอื่นใด จะว่าเย็นชาก็คงไม่ผิดนัก

“ถ้าเป็นเจ้าพวกที่ตั้งใจจะฆ่าเราก็อาจใช่… ” ทัตพูดถึงตรงนั้นแล้วหยุดไป ที่จริงเขาพูดอย่างนั้นเพราะอยากจะคิดอย่างเดียวกับพิม แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่

“ไม่สิ… ที่จริงสำหรับเจ้าพวกนั้นเอง ฉันก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน แต่ที่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าคือเด็กผู้ชายตัวเล็กสองคนที่ไม่ได้ทำอะไรเราเลยต่างหาก”

ทัตเลยกลับคำตัวเองเสียใหม่ พูดถึงตรงนั้นแล้วเขาก็เลื่อนมือที่ก่ายหน้าผากลงมา

“ในตอนนั้น… ตัวฉันคิดว่าถึงปล่อยให้พวกนั้นตายไปก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแท้ ๆ” ทัตว่าแล้วก็ถอนหายใจ สื่อให้เห็นว่าการตัดสินใจนั้นไม่ตรงกับใจจริงของเขา

“ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ฉันกลับมารู้สึกผิดเสียอย่างนั้น… ดันมารู้สึกว่าไม่น่าปล่อยให้พวกนั้นตายเลย นี่ฉันเป็นอะไรของฉันเนี่ย…” ทัตว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้

แต่สีหน้าของทัตก็ดีขึ้นมากแล้ว พิมสังเกตเรื่องนั้นได้

อย่างไรก็ดี… เพราะทัตยอมพูดใจจริงออกมาอย่างที่รู้สึก นั่นเลยทำให้พิมพอจะเข้าใจทัตขึ้นมาแล้วว่าอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด

“ฉันว่าเราไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนยังไง จนกว่าจะอยู่ในจุดที่สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวเองไป”

แต่คำตอบที่ถูกต้องสำหรับวิธีแก้ปัญหา พิมเองก็ไม่มีให้ทัตหรอก… ทว่าอย่างน้อยก็มีอย่างหนึ่งที่พิมแน่ใจ

“ตอนนี้นายก็รู้แล้วนี่นาว่าตัวเองรู้สึกแย่กับเรื่องนี้” พิมว่าแล้วก็หันไปมองทัตที่นอนอยู่ ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปลูบผมให้เขาแต่นั่นเธอทำไปแบบไม่รู้ตัว

“เพราะงั้น… ถึงไม่บอกนายก็น่าจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? วิธีที่จะไม่ทำให้นายเจ็บปวดแบบนี้เป็นหนที่สองน่ะ”

พิมว่าแล้วก็ยิ้มแฉ่งเป็นหนที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ไม่เพียงแค่นิ้วมือของเธอเท่านั้นแต่รอยยิ้มนั่นก็ยังอบอุ่นจนทำให้ทัตรู้สึกปลอดโปร่งไปด้วย

ฉันเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นคนที่เห็นแก่คนอื่นได้แบบนี้

เพราะก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะมีคนที่หลบอยู่ในห้องสันทนาการหรือเจอคนอื่นที่มีชีวิตและหลบซ่อนอยู่ข้างนอกฉันก็ไม่ได้สนใจแท้ ๆ

แต่ตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว ว่านั่นมันเป็นเพราะฉันไม่ได้เห็นตอนที่พวกเขาตาย

สิ่งที่ทำให้ฉันเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่เพราะว่าฉันเห็นแก่คนอื่นเสียทีเดียว แต่เป็นเพราะไม่อยากเห็นการตายที่ไม่จำเป็นต่างหาก

ฉันแค่… ไม่อยากปล่อยให้คนที่สามารถช่วยได้ต้องมาตายเปล่าต่อหน้าต่อตา

นั่นต่างหากคือตัวฉัน

แล้วพอปลอดโปร่ง… คำตอบที่ง่ายแสนง่ายที่อยู่ตรงหน้ามาตลอดก็ออกมา เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่จะปรากฏก็ต่อเมื่อเมฆฝนได้อันตรธานหายไปฉันใดก็ฉันนั้น

“เธอนี่ก็ช่างคมคายซะจริงนะ ไปเอาประโยคนั้นมาจากหนังสือเล่มไหนล่ะนั่น” ทัตเอ่ยในขณะที่ชันตัวลุกขึ้น ดูเหมือนพละกำลังโดยเฉพาะกำลังใจของเขาจะกลับมาแล้ว รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเหมือนกับทุกทีคือสิ่งยืนยันในเรื่องนั้น

“ไม่รู้สิ จำไม่ได้แล้ว แฮะ ๆ”

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พิมหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ

สำหรับเธอแล้ว… คงไม่มีอะไรน่าดีใจไปกว่าการได้เห็นรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของคนที่เธอหลงรักอีกแล้ว

❖❖❖❖❖