เมื่อสองปีก่อนครั้งที่ทั้งสองคนเรียนอยู่ชั้น ม.ต้น หรือก็คือช่วงชั้น ม.2

นั่นเป็นช่วงหลังจากที่พ่อของทัตแต่งงานใหม่มาแล้ว 2 ปี และเป็นช่วงเดียวกันกับที่ทัตเริ่มรู้สึกถึงความแปลกแยกระหว่างตัวเองกับครอบครัวจนความรู้สึกที่อยากจะอยู่กับบ้านมีน้อยลงนั่นเอง

ทัตจึงมองหาที่อยู่ของตัวเองที่ไม่ใช่ที่บ้านเพื่อใช้เป็นที่พักใจอย่างที่โรงเรียนกับเพื่อน ๆ เป็นต้น การได้อยู่กับเพื่อนมันช่วยให้เขาสบายใจมากขึ้นก็จริง แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกเท่านั้นเพราะในท้ายที่สุดแล้วทัตก็ตระหนักว่า ‘ไม่มีใครเลยที่เข้าใจความรู้สึกของเขา’ อยู่ดี

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทัตมองหาที่อยู่ใหม่… และเพราะได้รู้แล้วว่าช่องว่างในหัวใจนี้ไม่อาจเติมเต็มได้ด้วยคนอื่น เขาจึงเลือกที่จะอยู่คนเดียว แล้วพอรู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นคนรักสันโดษไปแล้ว

ถ้ายังอยู่กับคนอื่นแล้วรู้สึกไม่ต่างจากอยู่คนเดียวล่ะก็ สู้อยู่คนเดียวมันสบายใจกว่าเยอะ… ด้วยความคิดแบบนั้นทำให้ทัตปลีกตัวออกจากเพื่อนร่วมชั้นนับจากตอนนั้น แน่นอนว่ามันผิดปกติจนสังเกตได้ แต่พอผ่านไปนานเข้าเพื่อน ๆ ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ทัตอยู่คนเดียว นั่นเลยทำให้ทัตตระหนักได้ ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่เคยมีเพื่อนสนิทเลย

และในตอนนั้นเองที่เขาพบกับพิมซึ่งในตอนนั้นเป็นหัวหน้าห้องของทัตเองนั่นแหล่ะ

อย่างที่รู้ว่าเธอเป็นคนเข้ากับคนอื่นง่ายและชอบเข้าหาคนอื่นด้วย แต่ที่มากกว่านั้นคือความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตัวเอง

ไม่ว่าจะในฐานะนักเรียน หัวหน้าห้อง พลเมือง เธอสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทุกคนชื่นชอบเธอ แต่ก็เพราะหน้าที่ของเธอนั่นแหล่ะเลยมองว่าการทำให้ทุกคนรอบตัวมีความสุขหรืออย่างน้อยก็เป็นไปเพื่อรักษาความปกตินั้นเอาไว้เป็นหน้าที่ของเธอ

นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่พิมเข้าหาทัตในช่วงที่เขาปลีกวิเวกเพราะเห็นว่าทัตกำลังมีปัญหาและอยากจะเข้าไปช่วยตามหน้าที่ของหัวหน้าห้องที่เธอเป็น

แต่ว่าสำหรับทัต สิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องการ แถมกลับกัน… เขาสัมผัสถึงใจจริงของพิมไม่ได้เลยสักนิด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะพิมก็ทำไปแค่เพราะมันเป็นหน้าที่ของหัวหน้าห้องที่ต้องดูแลสมาชิกในห้อง เธอไม่ได้เข้าหาเขาด้วยความสิเนหาหรือเป็นห่วงเป็นใย

“เป็นหุ่นยนต์รึไง? ถ้าไม่คิดอยากจะช่วยก็อย่ามาช่วยเลย” ทัตตัดพ้อไปอย่างนั้น และแน่นอนว่าพิมโกรธหนักมากที่ถูกว่าอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เพราะทัตมองผิดหากแต่เป็นเพราะคำพูดของเขามันถูกต้องแทงใจดำต่างหาก

ตัวพิมนั้นเป็นลูกของมหาเศรษฐี… แม้จะไม่ถึงขนาดติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศแต่ก็นับได้ว่าเป็นคนรวยอย่างไม่ต้องสงสัย และเพราะเป็นคนมีชาติมีตระกูล เธอถึงได้ถูกฝึกสอนเรื่องต่าง ๆ ทั้งการวางตัว มารยาท การเข้าสังคมเพื่อให้เป็นหน้าเป็นตาของบ้าน เธอทำอย่างนั้นไปโดยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก และเก็บความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองเอาไว้ลึกสุดใจ ดังนั้น คำพูดของทัตจึงแตกต่างแค่ส่วนรายละเอียดเท่านั้น แต่เนื้อความมันก็ตรงกับสิ่งที่พิมกำลังเป็นและทำกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน

ถ้าไม่ได้คิดอยากจะช่วย ก็ไม่ต้องทำ มันน่ารำคาญ… นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทัตจะสื่อ

แต่ว่า… สำหรับพิมที่ใช้ชีวิตอย่างนั้นมาตลอด มีหรือจะยอมรับได้ เพราะหากทำอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างจากการยอมรับว่าตัวเองที่ใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อความต้องการของตัวเองเลย เรื่องแบบนั้นเธอไม่อาจยอมรับได้ นั่นเลยทำให้พิมเข้าหาทัตยิ่งขึ้นกว่าเดิมและพยายามจะแก้ปัญหาให้เขา

แน่นอนว่าไม่ได้ทำเพื่อช่วยทัต แต่เพื่อพิสูจน์ว่าการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองมันคือความต้องการของตัวเธอเองไม่ใช่ของพ่อแม่ที่เชิดเธอและไม่ได้สูญเปล่าต่างหาก

นั่นแหล่ะคือความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน

พอรู้ตัวอีกที ทั้งสองคนก็อยู่ด้วยกันเกือบจะตลอดเวลาเพื่อใช้เวลาในพิสูจน์ว่าความคิดของตัวเองต่างหากที่ถูกต้องไม่ใช่อีกฝ่าย และเมื่อได้แลกเปลี่ยนความคิดตัวเองกับอีกฝ่ายบ่อยเข้า มันย่อมทำให้ทั้งสองคนรู้จักเนื้อแท้ของกันและกันมากขึ้น

ทางทัตได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วพิมเองก็รู้สึกว่าการเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แล้วปฏิบัติตัวในฐานะลูกสาวคนเดียวของตระกูลมันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ตุ๊กตาที่ถูกแต่งตัว และไม่เคยพอใจกับเรื่องนั้นเลย แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นแค่ลูกสาว ไม่ได้มีอำนาจคัดค้านใด ๆ เธอเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเติมเต็มหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดแม้บางครั้งจะไม่ชอบก็ตามที

รวมถึงพิมเองก็ได้รู้ว่าพ่อของทัตได้แต่งงานใหม่ ทำให้เขาเกิดความคับข้องใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนรู้สึกไม่อยากจะอยู่บ้าน ครั้นพอหันไปพึ่งพาเพื่อนก็ไม่ได้ความเพราะไม่มีใครเติมเต็มความโดดเดี่ยวให้กับเขาได้ จึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวแม้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาก็ตาม

และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ทั้งสองคนก็ได้ตระหนักตัวจริงของอีกฝ่าย…

อย่างทัตที่ชอบอยู่อย่างสันโดษและชอบเก็บอารมณ์ส่วนตัวของตัวเองไว้แม้จะไม่พอใจมากแค่ไหน ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ห่วงใยคนใกล้ตัวมากเกินกว่าจะแสดงความเอาแต่ใจตัวเองออกมา นั่นแหล่ะคือสาเหตุที่ทำให้ทัตเป็นทุกข์

ส่วนพิมที่รายล้อมไปด้วยบทบาทที่ถูกยัดเยียด แต่ก็ยังพยายามรักษาสภาพแวดล้อมหน้าที่ของตัวเองทั้งหมดเอาไว้เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างดื้อดึงแม้ในความเป็นจริงแล้วมันจะขัดใจตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม เพราะหากละทิ้งบทบาทตัวเองไปความสุขที่เธอมีและถือครองก็จะไม่เหลือเช่นกัน ความครึ่ง ๆ กลาง ๆ นั่นคือคือสาเหตุที่ทำให้พิมเป็นทุกข์

ซึ่งจะว่าไปแล้ว… ทัตที่เห็นแก่ความรู้สึกคนอื่นกับพิมที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจที่จะรักษาความสุขของตัวเองไว้ให้มากที่สุด บางทีอาจเป็นขั้วตรงข้ามกันก็ได้กระมัง นานวันเข้าพวกเขาทั้งสองคนถึงได้รู้สึกว่าตัวตนของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่สามารถเติมเต็มตัวเองได้เพราะเป็นสิ่งที่ตนไม่มี และเมื่อความรู้สึกที่ปรารถนาอีกฝ่ายให้มาเป็นส่วนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้เริ่มพอกพูนเติบโต

นานวันเข้ามันก็แปรเปลี่ยนเป็นความรัก

และแน่นอน… เมื่อมันผลิบาน พิมก็ไม่ลังเลสักนิดที่จะเผยความรู้สึกตัวเอง เธอถึงสารภาพความรู้สึกกับทัตในช่วงที่กำลังจะเรียนจบชั้น ม.ต้น

และแน่นอนอีก ว่าทัตเองก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับเธอ เขาเองก็รู้สึกสนุกที่มีพิมอยู่ด้วยเช่นเดียวกันกับที่พิมได้เรียนรู้และซึมซับการเห็นใจผู้อื่นได้อย่างแท้จริงแบบที่ทัตเป็น ส่วนทางทัตเองก็ได้เรียนรู้ว่าการให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นสิทธิที่ตนพึงมี จะเอาแต่ใจบ้างก็ไม่น่าเป็นเรื่องผิดอะไรเช่นเดียวกัน

ทว่าทัตกลับมีบางสิ่งค้างคาอยู่ในใจจนไม่อาจตอบรับความรู้สึกของพิมได้

แน่นอนว่าอย่างแรกคือสถานะ… ทัตเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ เพียงแค่คิดแบบนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับพิมแล้ว

เพราะเมื่ออยู่ในจุดที่รักพิม เขาย่อมรู้สึกว่าอยากให้เธอได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และทัตรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เขา นั่นเป็นอีกครั้งที่ทำให้พิมรู้ว่าจริง ๆ แล้วทัตเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนรอบตัวมากกว่าความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน

และอย่างที่สอง คือเรื่องของปัญหาส่วนตัวที่ยังแก้ไม่ตก… ทัตมองว่าคนที่ยังแก้ปัญหาและเอาชนะใจตัวเองยังไม่ได้ ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปดูแลใคร

ความคิดเหล่านั้นกดทับปากไม่ให้ทัตยอมรับคำขอของพิม นั่นคือเหตุผลที่เขาปฏิเสธ

แต่ทั้งอย่างนั้นพิมกลับไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิดในขณะที่ทัตเอาแต่รู้สึกผิด… ถึงจุดนั้นเองก็ทำให้พิมตระหนักเหมือนกันว่าตนเองก็ให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเองได้เหมือนกัน และที่เธอทำอย่างนั้นได้ก็เพราะได้พบกับทัต เธอเรียนรู้ที่จะเห็นใจคนอื่นได้อย่างแท้จริงก็เพราะเขา

เหตุการณ์นั้นจึงไม่เพียงแค่เป็นการเผยความรู้สึกเท่านั้น… แต่มันยังทำให้พิมตระหนักรู้ ว่าเธอไม่อาจแยกขาดจากชายคนนี้ที่สอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้เธอได้อีกแล้ว

นั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอปรารถนาความใกล้ชิดกับทัตมาตลอดเช่นเดียวกันกับที่ทัตเป็นและรู้สึก…

…นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน

❖❖❖❖❖

ไม่รู้เพราะพิมพูดอะไรแปลก ๆ หรือยังไงถึงได้ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะพิมทำอย่างนั้นก็เลยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

และสิ่งที่พิมพูดเองก็มีประเด็นให้น่าขบคิดเหมือนกัน

นั่นคือเรื่องที่บอกว่า “มอนสเตอร์มันออกมาทุกคืน” และ “ถ้าเอาแต่ใช้เวลาไปกับการเอาตัวรอด ก็จะสูญเสียวิถีชีวิตของตัวเองไป”

สำหรับพิมคงมองแล้วว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่คุ้มค่า เธอถึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตต่อไปตามปกติแม้ว่าจะมีมอนสเตอร์ออกมาก็ตาม

ซึ่งอันที่จริงนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก… เพราะจริง ๆ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน

จุดประสงค์ของฉันที่อยากจะแข็งแกร่งขึ้น จริง ๆ แล้วก็เกิดขึ้นมาจากความต้องการที่อยากจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขโดยที่ไม่ต้องกังวลพวกมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวออกมานี่แหล่ะ

แล้วตอนนี้ฉันเองก็แข็งแกร่งมากขึ้น… น่าจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วด้วยถ้ามองแค่คุณสมบัติ จึงเหลือแค่เลเวลเท่านั้นที่เป็นปัญหา

ณ ตอนนี้ ถึงเป็นมนุษย์ที่มีเลเวลมากกว่า ถ้าไม่มากเกินไปฉันก็เอาชนะได้สบาย

แต่ถ้าเกิดเจอพวกที่เลเวลเยอะกว่ามากกว่าสองเท่าตัวล่ะก็แย่แน่ มอนสเตอร์เองก็ทำนองเดียวกัน

ยังไม่นับเรื่องพวกกลุ่มทั้งหลายที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างเจ้าพวกปลอกแขนแดงเมื่อวานหรือเซฟเวอร์ (Saver) อีก

เพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นแข็งแกร่งขนาดไหนนี่แหล่ะเลยน่ากังวล… ถึงจะไม่ได้คิดเป็นศัตรูด้วยก็เถอะ แต่ก็ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่าไว้ก่อนจะได้ห่ายห่วงใช่ไหมล่ะ?

เพราะงั้น ปัญหาในตอนนี้จึงมีแค่อย่างเดียว… นั่นคือการรีบอัพเลเวลให้มาก ๆ

แต่… เรื่องนั้นเราก็ทำทุกคืนอยู่แล้ว เพราะงั้นต่อให้ไปเที่ยวกับเพื่อนหรือไม่มันก็คงไม่แตกต่างกันหรอก

บางทีพิมเองก็คงคิดอย่างนี้แหล่ะมั้ง เธอถึงได้ไม่รู้สึกกังวลและให้ความสำคัญกับสิ่งที่สมควรจะให้

ทัตคิดแบบนั้นในขณะที่กำลังเดินลงจากตึก ดูตัวเลขนาฬิกาบนจอโทรศัพท์ก็ใกล้จะถึงเวลาที่บอกเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะไปรวมตัวกันแล้ว และอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาที่มอนสเตอร์จะปรากฏตัวออกมาเช่นกัน

ทั้งสองจึงต้องตามไปสมทบกับทุกคนที่กำลังเดินเล่นอยู่ในห้าง ตัวเลือกมีทั้งนั่งรถสายหรืออูเบอร์ แต่เพราะทัตมีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ตัวเลือกพวกนั้นก็เลยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ดี… ปัญหาก็คือสิ่งที่พิมเอามาด้วยนี่แหล่ะ

“เดี๋ยวนะ… แล้วเธอจะพกดาบติดไปอย่างนี้เลยเหรอ?” ทัตเอ่ยถามหลังเห็นพิมหยิบดาบติดไม้ติดมือลงมาจากตึกด้วย บางทีการมาที่หอของทัตก็คงเพื่อกลับมาเอาอาวุธคู่ใจของตัวเองด้วยนี่แหล่ะ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยัดใส่กระเป๋ามันก็โผล่ออกมาแค่นิดหน่อย เหมือนกับของเล่นนั่นแหล่ะ” พิมว่าแล้วก็ทำอย่างที่ปากบอก ส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากซิบกระเป๋าสะพายเป็นปลายฝักดาบ นั่นทำทัตเหงื่อตกนิดหน่อย

“แล้วถ้าตำรวจถามล่ะ?”

“อืม… ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”

“เธอเนี่ยนะ…”

เห็นพิมยิ้มแป้นตอบกลับเหมือนไม่ได้คิดอะไรมากทำให้ทัตถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ และกังวล

ถึงอันที่จริง… เขาพอจะเดาได้อยู่แล้วก็เถอะ ว่าถึงพิมมีปัญหาจริง ๆ เดี๋ยวพ่อเธอก็คงช่วยได้

ด้วยเหตุนั้นก็เลยยกเรื่องนั้นไว้อยู่นอกเหนือปัญหาที่ต้องกังวล

หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว ทัตก็ขับจักรยานยนต์ไปยังจุดหมายโดยมีพิมนั่งซ้อนท้ายไปด้วย

ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงที่จอดรถในตึก และต้องขอบคุณที่ทางเข้าไม่มีเครื่องตรวจจับโลหะไม่อย่างนั้นพิมคงซวยแน่ ๆ

หลังจากที่เข้ามาในห้างได้แล้ว ถัดไปก็คือการไปยังจุดนัดพบ… ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนกำลังรออยู่ที่ร้านขายชานมไข่มุกที่เป็นแบรนด์ดัง แล้วดูเหมือนจะสั่งน้ำกันอยู่แล้วด้วยพวกเขาก็เลยนั่งรอกันอยู่ในร้าน

ตัวร้านนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในห้องเช่าแต่เป็นร้านที่ตั้งอยู่ข้างทางติดทางเดินของห้าง ที่นั่งรอเองก็เป็นแค่พื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น กลุ่มของพวกพลที่รออยู่อันประกอบด้วยกล้า หนุ่ม แพรและมิ้นจึงมีบางคนที่ต้องยืนรออยู่หน้าร้าน

“อ๊ะ มาแล้ว!” แพรเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นพิมกับทัตมาแต่ไกล อาจเป็นเพราะเธอคุ้นเคยแค่กับพิมล่ะมั้งถึงได้รู้สึกเหงาเวลาที่ในกลุ่มไม่มีพิมอยู่ด้วย

“ขอโทษที่ให้รอนะทุกคน” พิมมาถึงแล้วก็ยิ้มแป้นเหมือนเคย เธอกลับเข้าสู่โหมดคุณหนูมารยาทงามอีกครั้ง

“มาช้าจังเลยน้า แอบไปทำอะไรกันสองคนรึเปล่าเอ่ย?”

แล้วพอได้จังหวะ แทนที่จะถามอย่างอื่นมิ้นก็ดันโยนระเบิดลงมากลางดงด้วยคำถามสุดลำบากใจเสียอย่างนั้น แต่ดูเหมือนคำตอบจะเป็นสิ่งที่หนุ่ม ๆ ในกลุ่มต้องการรู้เหมือนกัน พวกเขาเลยจ้องจำเลยทั้งสองคนโดยเฉพาะทัตตาเป็นมันเลย

“โถ่ ไม่ใช่ซะหน่อย… ฉันให้ทัตพาไปเอาพัสดุที่ตีกลับไปศูนย์ต่างหาก” พิมยิ้มแป้นตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติตามเคย ไม่มีใครเดาออกสักคนว่าเธอกำลังโกหกอยู่

“ตามนั้นแหล่ะนะ”

ทัตว่าแล้วก็ยักไหล่ อยากให้พวกเขาทุกคนเห็นว่าไม่มีอะไรในกอไผ่

…แม้ในความเป็นจริง พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะตอนที่ได้ซุกหน้าอกนุ่ม ๆ ของพิมเลยทำให้เขาเพิ่งจะมารู้สึกแปลก ๆ เอาป่านนี้ก็เถอะ

“แล้วสั่งน้ำกันรึยังน่ะ?” พิมเอ่ยถาม เธอพยายามเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน และแน่นอนว่ามันได้ผล

“พวกผู้ชายสั่งกันไปแล้ว แต่ฉันไม่เอาหรอกนะ” มิ้นว่าพร้อมกับแบะมือ

“งั้นเราไปสั่งด้วยกันไหมแพร?”

“อื้ม!”

ถูกพิมชวนมีหรือที่จะปฏิเสธลง ด้วยเหตุนั้นพิมกับแพรเลยมุ่งไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มของตัวเอง ส่วนทัตนั้นไม่ได้คิดจะดื่มตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เพราะสิ่งที่เขาให้ความสนใจคือ ‘เวลา’ ที่กำลังใกล้เข้ามามากกว่าอะไรทั้งหมด ซึ่งหากคำนึงจากปัจจุบัน ก็เหลืออีกประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ที่มอนสเตอร์จะปรากฏตัวออกมากินคน

“นี่ ๆ ว่างป่ะ?” แต่ในระหว่างที่ทัตกำลังคิดเรื่องวางแผนเอาตัวรอดอยู่ มิ้นก็อาศัยจังหวะที่ทัตอยู่คนเดียวเข้ามาชวนคุยเหมือนเคย แต่ไม่ได้เปิดประเด็นขึ้นมาทันทีเหมือนหลายครั้งก่อนหน้านี้ จึงทำให้ทัตสงสัยอยู่

“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหล่ะ มีอะไรรึเปล่า?” ทัตว่าไปตามมารยาท

“มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ ตามมาหน่อยได้ป่ะ” มิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าทุกที ผิดไปจากคนที่ชอบหยอกแกล้งอย่างซุกซนราวกับเป็นคนละคน

แถมแว่นที่สะท้อนแสงยังทำให้รู้สึกขนลุกแบบแปลก ๆ ด้วย

“เข้าใจแล้ว”

อาจเพราะแบบนั้นทัตก็เลยไม่อาจปฏิเสธได้เพราะไม่มีเหตุผลชัดเจนพอที่จะทำอย่างนั้น

แต่ส่วนหนึ่ง… ทัตเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามิ้นคนนี้ข้องใจอะไรอยู่

❖❖❖❖❖

หลังจากถูกมิ้นชวนออกมาจากกลุ่มเพราะมีเรื่องอยากคุย พวกเราก็เดินแยกออกจากกลุ่มไป อาศัยช่วงที่พิมกำลังไปสั่งน้ำนั่นแหล่ะ

แน่นอนว่าพิมเองก็เห็นแหล่ะว่าฉันไปกับมิ้นสองต่อสอง… ตางี้เขียวมาเชียว โคตรน่ากลัว

เพราะงั้นก็เลยฝากบอกพวกพลไปว่าแค่อยากคุยอะไรนิดหน่อยเท่านั้น

แล้วก็ได้แต่หวังว่าพิมจะไม่มาโกรธฉันทีหลังน่ะนะ… ไม่สิ… เดิมทีก็แค่มาคุยเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีสักหน่อย

แต่จะว่าไปแล้ว มิ้นอยากรู้เรื่องอะไรกันนะ? นึกไม่ออกเลยจริง ๆ

ยังสงสัยเรื่องของฉันกับพิมอยู่รึไงนะ? หรือจะเป็นเรื่องเกม?

ทัตคิดแล้วคิดอีกก็ไม่ได้คำตอบ ในขณะที่เดินตามมิ้นไปจนถึงทางออกก่อนที่จะออกไปยังลานจอดรถแต่ยังอยู่ในอาคาร ซึ่งก็ไม่ไกลจากร้านขายน้ำชานมไข่มุกที่เพื่อน ๆ รออยู่เท่าไหร่นักหรอก

พอถึงตอนนั้น… อยู่ดี ๆ ก็มีความคิดแปลก ๆ ผุดขึ้นมาในหัวของเขา โดยคำนึงจากเรื่องที่มิ้นมักจะชอบเปิดประเด็นด้วยหัวข้อที่เข้าหาเขาได้ง่ายตั้งแต่ที่รู้จักกันวันแรก

เฮ้ย ๆ… นี่คงไม่ได้เรียกมาถามความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพิมแล้วมาสารภาพรักหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ

ทัตเผลอคิดไปแบบนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ความฟุ้งซ่านและจิตปรุงแต่งครอบงำไปในทางนั้นก็เพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องชุ่มชื่นหัวใจเกิดขึ้นกับเขาโดยที่มีพิมเป็นสาเหตุนั่นแหล่ะ

พอคิดแบบนั้นก็ทำให้ทัตรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วครู่ไม่เบา แต่แล้วพอทำใจให้เย็นลงได้ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น และถ้ามันดันกลายเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาก็แค่ปฏิเสธเธอไปแบบไม่ให้เสียน้ำใจก็พอ

เพราะงั้นไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลสักนิด… นั่นคือสิ่งที่ทัตคิดในตอนแรก

ทว่าเขาเดาผิดถนัด… อย่างน้อยก็ในประเด็นของหัวข้อที่มิ้นตั้งใจจะคุยกับเขา

“นายเลเวลเท่าไหร่แล้วเหรอ?”

ในตอนที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ มิ้นก็เอาหลังพิงผนังแล้วเอ่ยถามทัตอย่างนั้นออกมา นั่นทำให้ทัตขมวดคิ้วนิดหน่อย

แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทัตคิดคือเลเวลของพลังที่เกิดจากการตื่น แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาทัตเลยไม่คิดว่าเธอพูดถึงเรื่องนั้น

“หมายถึงเกนชิ* อิ*แพคน่ะเหรอ?” ทัตเลยเลือกตัวเลือกที่สอง ซึ่งเป็นหัวข้อที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้

แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอีกครั้งที่เขาคิดผิด… ทัตรู้เรื่องนั้นในตอนที่มิ้นเริ่มกอดอกเหมือนคำตอบที่ออกมาจากทัตไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เธออยากจะรู้

“ฉันหมายถึงเลเวลของ ‘ตัวนาย’ ต่างหาก… นายเองก็น่าจะเป็นคนที่เกิด ‘การตื่น’ แล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

มิ้นย้ำแบบนั้น… ไม่รู้เป็นเพราะก่อนหน้านี้ทัตเข้าใจว่าเป็นเรื่องเกมหรืออย่างไร มิ้นเลยพยายามทำให้ทัตเข้าใจว่าสิ่งที่เธอหมายถึงคือเลเวลในความเป็นจริง

แต่สำหรับทัต… น้ำเสียงนั่นดูเหมือนคุกคามมากกว่า รวมกับความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามิ้นรู้เรื่องพวกนี้เหมือนกับตนทำให้ทัตตะลึงพรึงเพริดจนเก็บอาการตกใจจนเบิกตาโพลงเอาไว้ไม่อยู่

โกหกน่า… ยัยนี่เองก็มีพลังเหมือนกันเหรอ?

ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่สิ… หรือว่าตั้งแต่แรกเลย!?

ความคิดของทัตเริ่มวิตกจริต แต่นั่นก็ทำให้เขาดึงความทรงจำในช่วงแรกสุดที่ได้พบกับมิ้นออกมาได้

ในวันแรกของวันเปิดเทอม… เธอตั้งใจจะกลับบ้านก่อนเวลาหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่มอนสเตอร์จะออกมาโจมตีผู้คนพอดิบพอดี

ทัตเองก็เคยคิดว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอมาตอนนี้… จะให้คิดอย่างนั้นเห็นทีจะไม่ได้แล้ว

“เดี๋ยวก่อน ๆ!!!”

ในระหว่างที่ความคิดหลาย ๆ อย่างเริ่มเกาะกุมสมองของทัต มิ้นก็ชิงพูดแบบนั้นออกมาอย่างลนลานพร้อมกับสะบัดมือไปมา

“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ใช่ศัตรูของนายหรอก ไม่ได้จะมาหาเรื่องด้วย” มิ้นรีบแก้ตัวไปแบบนั้นพร้อมกับที่ดันคานแว่นให้กลับเข้าที่

เพราะสำหรับเธอ… ทัตที่กำลังใช้เวลาประมวลผลความคิดนั้นดูเคร่งเครียดจนน่ากลัวมากเลยทีเดียว และนั่นแหล่ะคือเหตุผลที่เธอทำท่าทางลุกลี้ลุกลนเมื่อครู่

คำพูดของมิ้นไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อได้ในทันทีก็จริง… แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะไม่ได้โกหก เพราะหากเธอเป็นศัตรูจริง ก็คงไม่มีเหตุผลที่ต้องเผยตัวออกมาก่อนหรอก

แต่นั่นก็ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาเหมือนกัน…

“ต้องการอะไร?” ทัตจึงเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ เพราะการที่มิ้นทำอย่างนี้ย่อมต้องหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งไว้แน่ และทัตก็อยากรู้ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะรับมือได้ถูก

“หวา… นายเนี่ยเครียดน่าดูเลยนะ คงเจออะไรมาเยอะล่ะสิ” พอเห็นแบบนั้นมันทำให้มิ้นรู้สึกว่าทัตเย็นชาก็คงไม่ผิด

ทัตเองก็ไม่ได้โต้ตอบกลับเพราะถึงมิ้นจะกลัวก็คงไม่แปลกอะไร เนื่องจากตัวเขาตอนที่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนนั้นแตกต่างจากตัวเขาตอนปกติคนละระดับ กล่าวคือจริงจังมากกว่าปกติราวกับเป็นคนละคน

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันมีพลังน่ะ?” ทัตเริ่มจากเรื่องนั้น

“เดาเอาจากที่เห็นนายตอนเล่นบาสน่ะ… แล้วที่จริงฉันก็ตามดูนายมาสักพักแล้วล่ะนะ หมายถึงคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ น่ะ” มิ้นว่าแบบนั้น ท่าทางของเธอเหมือนไม่ได้แฝงเจตนาร้ายก็จริง แต่ก็นำมาซึ่งคำถามเหมือนกัน

“ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น?”

“ก็… พอดีมีคนขอร้องให้ทำอย่างนั้นน่ะนะ”

“แล้วใครล่ะ?”

ทัตเริ่มหงุดหงิดว่าทำไมมิ้นถึงไม่ตอบให้ตรงประเด็น แต่เห็นท่าทางลำบากใจของเธอเลยทำให้พอจะรู้ว่าการบอกเรื่องนั้นอาจไม่ง่ายสำหรับเธอ

ไม่ใช่ในเชิงกลัว แต่เป็นกังวลมากกว่า

“ขอโทษนะ เจ้าตัวไม่อยากให้นายรู้น่ะ… แต่คิดว่าอีกไม่นานนายคงรู้นั่นแหล่ะ”

“หมายความว่ายังไงน่ะ?”

มีคำถามอยู่เต็มหัวทัตไปหมดเลยตอนนี้ แถมคำตอบที่ได้มาก็ยิ่งทำให้เกิดคำถามต่อไปเรื่อย ๆ เพราะทัตไม่เข้าใจเลยว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เขารู้ตัวจริงของคนที่ขอร้องมิ้นให้มาตามดูเขา

อย่างไรก็ดี เหมือนว่ามิ้นเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น เธอสังเกตเห็นสีหน้าสับสนของทัตออก บางทีเธอคงรู้ว่าตอนนี้ทัตคงกังวลมาก ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องปกติเมื่อได้รู้ว่ามีใครบางคนแอบตามเขาอยู่ แถมยังไม่รู้ด้วยว่าคนที่ตามอยู่นี่ไว้ใจได้รึเปล่า นั่นจึงยิ่งแล้วใหญ่

“งั้น…” เพราะแบบนั้น… เธอจึงพยายามจะบอกทัตเท่าที่เธอสามารถบอกได้โดยที่ไม่ทำลายน้ำใจของคนที่ขอร้องเธอ

“ก่อนอื่น นายเคยเห็นพวกที่สวมปลอกแขนสีแดงไหม”

แต่ดูเหมือนมิ้นเองก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่เหมือนกัน เธอถึงได้อยากยืนยันอะไรบางอย่างให้แน่ใจก่อน น้ำเสียงเธอดูจริงจังมากทีเดียว

อย่างไรก็ดี คนพวกนั้นเป็นตัวอันตรายสำหรับทัตอย่างไม่ต้องสงสัย

หากมิ้นไม่ใช่พวกนั้นก็ถือได้ว่ามิ้นไม่ใช่ศัตรู แต่ถ้าใช่ก็แค่ต้องระวังตัวเธอเอาไว้

ไม่สิ… ไม่ว่ายังไงก็ต้องระวังตัวไว้อยู่ดี เพราะไม่รู้ว่ามิ้นจะพูดโกหกหรือไม่นั่นแหล่ะ แต่เรื่องนั้นจะกลายเป็นอย่างไรก็ต้องฟังจากเธอก่อน

“ก็เคยเห็นอยู่… เมื่อวานเจอกลุ่มนึง พอปฏิเสธที่จะเข้ากลุ่มพวกนั้นก็ตั้งใจจะฆ่าฉันทิ้งทันทีเลย”

“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจสถานการณ์แล้ว” มิ้นพยักหน้ารับงก ๆ หลังได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยถามต่อ

“แล้วนายได้ฆ่าพวกนั้นไปรึเปล่า?” มิ้นถามด้วยน้ำเสียงธรรมดาจนน่ากลัว ราวกับเรื่องที่พูดเป็นปกติยังไงอย่างงั้น

“หนีไปได้คนนึง ที่เหลือถูกมอนสเตอร์ฆ่าตายไปแล้ว”

“…แบบนั้นก็แย่แล้วสิ แล้วยิ่งเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแบบนี้ด้วยอีก”

พอมิ้นได้ยินแบบนั้น คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าด้วยกันในทันที เธอเริ่มกอดอกยกนิ้วสัมผัสคางครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว แต่เหมือนเธอจะไม่ได้รู้สึกโกรธจึงเดาได้ว่าเธอไม่รู้จักหรือเป็นพวกเดียวกันกับพวกนั้น

หรือหากไม่ได้เป็นเช่นนั้น มิ้นก็คงจะเป็นคนประเภทที่เก็บอาการเก่งมากกว่าพิมเสียอีกทัตถึงมองไม่ออก

“อีกอย่างหนึ่ง… นายเคยได้ยินเรื่ององค์กรที่ชื่อ ‘เซฟเวอร์ (Saver)’ ไหม?”

“อา… ได้ยินมาจากพวกเมื่อวานนั่นแหล่ะ แต่ไม่รู้รายละเอียดหรอก”

ทัตพยักหน้ารับ แต่ในใจก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมิ้นถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวมิ้นยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง เสมือนแนะนำตัวเองซ้ำเป็นหนที่สอง

“ที่จริงแล้ว ฉันเองก็เป็นคนของเซฟเวอร์เหมือนกัน”

ได้ยินมิ้นบอกแบบนั้นทำให้ทัตเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกัน หากว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง มันก็จะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างชัดเจนขึ้นเช่นกัน

แต่ก่อนหน้านั้นย่อมมีเรื่องที่ต้องยืนยันก่อน

“เห… นี่คงไม่ได้กะจะบังคับให้ฉันเข้าเป็นพวกเดียวกันแบบพวกนั้นหรอกใช่ไหม?” ทัตกล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลกแต่ไม่ได้เผยยิ้ม เห็นชัดว่าเขาจริงจังอยู่

“พวกเราไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า แต่ถ้ามาร่วมด้วยก็จะดีใจมากเลยล่ะนะ”

อย่างไรก็ดี… คำตอบของมิ้นทำให้ทัตพึงพอใจมาก เพราะเขาไม่ชอบถูกบังคับและเชื่อว่าไม่มีใครชอบด้วย

“เพราะย้ายมาเรียนที่นี่ ฉันก็เลยต้องมาเป็นคนคอยสังเกตการณ์แถว ๆ นี้ด้วยความที่ขอบเขตการสอดส่องของเซฟเวอร์ยังครอบคลุมมาไม่ถึง ในละแวกนี้ก็มีแค่ฉันคนเดียวด้วยซ้ำ… แต่บอกเลยว่าตึงมือสุด ๆ โดยเฉพาะเจ้าแก๊งปลอกแขนแดงที่นายเจอนั่นแหล่ะ” มิ้นว่าแล้วก็ยักไหล่อย่างเหนื่อยหน่าย ดูท่าการมีอยู่ของกลุ่มดังกล่าวจะสร้างปัญหาให้เธอไม่ต่างจากที่ทัตกับพิมโดนเลย

“พวกนั้นเป็นพวกหัวรุนแรงที่ตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับเราเลย เพราะงั้นแหล่ะพวกนั้นถึงไม่ปล่อยให้คนที่ไม่อยู่ฝ่ายตัวเองมีชีวิตรอด… เพราะงั้นฉันคิดว่าตอนนี้ นายคงโดนพวกนั้นหมายหัวแล้วแน่ ๆ”

“ไม่ต้องย้ำหรอกน่า”

แต่แบบนี้… ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้รีบร้อนอยากหาคนมาเป็นพวกขนาดนั้น

เพราะถ้ามีอริกับอีกกลุ่ม มันก็เป็นธรรมดาที่อยากจะสร้างความเหนือกว่าด้วยจำนวนให้มาก ๆ เข้าไว้ก่อนอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนั้น… ถ้าเอามาเข้ากลุ่มของตัวเองไม่ได้ก็ต้องชิงฆ่าคนที่ปฏิเสธซะ เพื่อไม่ให้ฝ่ายศัตรูอย่างเซฟเวอร์มีโอกาสเพิ่มจำนวนสมาชิกมากไปกว่านี้

นี่คงเป็นเหตุผลที่พวกนั้นจะไม่ปล่อยให้เรากับพิมรอดแน่

ทัตได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่สิ… กังวลต่างหาก

เพราะเขาพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่พอสมควร แต่ประเด็นหลักคือคนพวกนั้นเป็นพวกอันตรายต่างหาก ดังนั้น หากเจ้าเด็กหนุ่มถือมีดสั้นที่หนีเอาตัวรอดไปก่อนนั่นเอาข่าวไปบอกพวกที่เหลือล่ะก็ มันย่อมไม่มีผลลัพธ์อื่นนอกจากการที่ทัตกลายเป็นเป้าหมายให้ถูกพวกนั้นไล่ล่าแน่อยู่แล้ว

“เหลืออีก 8 นาทีแล้วแฮะ”

ในระหว่างที่ทัตกำลังคิดอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ มิ้นเองก็ดูนาฬิกาข้อมือตัวเองเหมือนกัน และสิ่งที่เธอพูดก็ไม่ได้หมายความอื่นใดนอกจากเวลาที่เหลือก่อนที่พวกมอนสเตอร์จะปรากฏตัวออกมา

“ที่เรียกมาคุย จริง ๆ ก็เพราะอยากจะชวนนายเข้าเซฟเวอร์นี่แหล่ะ เพราะเห็นว่านายน่าจะถูกหมายหัวหรอกนะ… ตอนนี้นายก็ดันมีพลังไปแล้วด้วย เพราะถ้านายตายขึ้นมาหัวหน้าที่น่ารักของฉันจะเสียใจเอาน่ะนะ” ในที่สุดมิ้นก็เผยความตั้งใจตัวเองออกมา แต่นั่นก็ไม่ได้เกินความคาดเดาของทัตนักหรอก

แม้จะไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ขอให้มิ้นต้องคอยตามดูเขาก็เถอะ…

“ฉันต้องรีบตอบรับคำชวนนั้นเลยรึเปล่า?” ทัตถามอย่างเกรง ๆ เพราะการถูกชวนให้เข้ากลุ่มมันกลายเป็นแผลใจไปแล้วนิดหน่อยหลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อคืน

“ไม่ ๆ! เรื่องนั้นแล้วแต่นายเถอะ แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องคอยตามดูแลพวกนายอยู่ดีล่ะนะ”

แต่ทางด้านของมิ้น พอได้ยินอย่างนั้นเธอก็รีบสะบัดมือปฏิเสธในทันที บรรยากาศนั้นเป็นกันเองแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลุ่มของพวกปลอกแขนแดงเมื่อวานที่ข่มขู่แม้กระทั่งตอนที่เอ่ยชวน

ถ้านับแค่เรื่องนั้นก็ฟังดูเป็นกลุ่มที่น่าอยู่ด้วยอยู่หรอกนะ

แต่ว่าเรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น… แถมตอนนี้เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย

“เรากลับไปรวมตัวกับทุกคนก่อนดีไหม? จะถึงเวลาแล้วด้วย” ทัตเสนอแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วเขาก็แค่อยากรีบกลับไปอยู่กับพิมก่อนที่จะมีมอนสเตอร์ออกมามากกว่า

“นั่นสินะ เอาแบบนั้นก็แล้วกัน”

มิ้นเองก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเธอก็เลยทำตามนั้น ทั้งสองคนจึงเดินกลับไปยังร้านขายเครื่องดื่มชานมไข่มุกที่เดิม

“นี่… กลุ่มของพวกเธอใหญ่ระดับประเทศจริงเหรอ?” แต่ในระหว่างนั้นทัตก็ยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นมาในระหว่างที่เดินกลับไป

“ใช่ ก็เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นให้สามารถดูแลความเรียบร้อยครอบคลุมได้ทั้งประเทศล่ะนะ แต่ไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐบาลหรอก”

“เป็นงั้นก็ดีแล้ว ไม่งั้นน่ารำคาญตายชัก”

“อะฮะฮะ” ได้ยินอย่างนั้นมิ้นก็หัวเราะแห้ง ๆ จนแว่นเธอตกกรอบไปนิดหน่อยเธอถึงได้ดันมันขึ้นมาใหม่

อย่างไรก็ดี… เป็นเพราะจุดที่ย้ายไปคุยกันไม่ได้ไกลจากร้านขายชานมมากนักจึงใช้เวลาไม่นาน

แล้วพอมาถึงที่ร้าน คนที่ปรี่เข้ามาหาทัตกับมิ้นก่อนใครเพื่อน ก็คือพิมที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับทำแก้มป่องใส่อย่างน่ารักน่าชัง… ล่ะมั้ง

“ไปคุยอะไรกันเหรอ?”

“อึก…”

ถูกพิมถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกทำให้ทัตรู้สึกขนลุกซู่จนเผลอกลืนน้ำลาย

แต่อย่างไรก็ดี… ทัตไม่มีเรื่องให้ต้องปิดบังพิมอยู่แล้วเขาเลยไม่ค่อยกลัว?เท่าไหร่

“เอาหูมาแปปนึง”

“…อะไรเล่า”

ทัตคิดได้ดังนั้นก็กวักมือเรียกให้พิมเข้ามาใกล้ ๆ แต่เหมือนเธอจะยังอารมณ์เสียอยู่ ถึงได้แสดงน้ำเสียงเกรี้ยวกราดออกมาอย่างนั้นในขณะที่จ้องทัตไม่วางตา

“มิ้นเป็นพวกมีพลังเหมือนกันน่ะ… แถมยังอยู่กลุ่มเซฟเวอร์ที่เป็นศัตรูกับกลุ่มเมื่อวานด้วย”

“เอ๊ะ”

พอทัตสรุปความแถลงไขให้ฟัง สีหน้าของพิมก็เปลี่ยนไปในบัดดล

สีหน้าแปลกใจเป็นจังหวะแรก แต่ความเคลือบแคลงปรากฏออกมาเป็นจังหวะที่สองก่อนที่จะค่อย ๆ เหลียวไปมองมิ้นด้วยความกังวลและจริงจัง

“ไว้ใจได้แน่เหรอ?” พิมเอ่ยแบบนั้น แต่มิ้นกลับไม่เสียรอยยิ้มบนใบหน้าตัวเองไปเลย

“แหม… ใจร้ายจังเลยนะ แต่ฉันก็ไม่ได้บอกให้เชื่อหรอก ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ก็ได้”

กระนั้นมันก็เป็นรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปในทางเสียดายอยู่ดี เช่นเดียวกันกับน้ำเสียงของเธอ

แต่อย่างไรเสีย… สิ่งที่มิ้นพูดก็มีประเด็นและเป็นความจริง เพราะการจะไว้ใจคนได้อย่างแท้จริงมันย่อมต้องใช้เวลาเป็นของคู่กันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

และจังหวะเวลาสำหรับการพิสูจน์เรื่องนั้น ก็มาถึงเร็วมากเสียด้วย…

กรี๊ด!!!

เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากส่วนหนึ่งในห้างของชั้นเดียวกันกับที่ทัตและทุกคนอยู่ เสียงนั่นจึงดึงดูดความสนใจให้ทุกคนหันไปมองตามอย่างไม่อาจเลี่ยง

และสำหรับทัต พิมและมิ้น… มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าค่ำคืนสุดหฤโหดได้เริ่มขึ้นแล้ว ทัตยืนยันอีกครั้งด้วยการดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจึงคิดว่าไม่ผิดแน่

เริ่มจนได้… ค่ำคืนของวันนี้!

ตั้งแต่นี้ไปต้องระวังตัวให้ทุกฝีก้าวแล้ว

แต่ว่าก่อนหน้านั้น ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของอาวุธก่อน

“พิมเอาดาบออกมา”

“อื้ม! ทุกคนอยู่ด้วยกันไว้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามแยกกันเด็ดขาด!”

“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่มันเรื่องอะไรกัน”

พิมทำตามคำสั่งของทัตอย่างว่าง่ายเหมือนเคย แต่ก็ไม่ลืมที่จะจ่ายข้อมูลให้กับพล กล้า หนุ่มและแพรที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่ทัตรับดาบคาตานะประจำตัวของพิมมาแล้ว พิมจึงหันไปดูแลพวกเขารอให้ทัตทำเรื่องที่ควรทำ ในขณะที่ทัตนั้น…

เพราะเลเวลของอาชีพ ‘Supporter’ พ้นเลเวล 10 ไปแล้ว ทำให้ฉันได้รับสกิลของอาชีพนี้ครบหมดทุกสกิลแล้ว

น่าตกใจเหมือนกันที่พอเลเวลของอาชีพ ‘Supporter’ ถึงเลเวล 7 แล้วจะได้รับสกิลมาถึงสองสกิล แต่ว่ามันก็เป็นสกิลที่เรามีอยู่แล้วนั่นแหล่ะ

สกิลที่ว่าก็คือ ‘เสริมพลังกาย’ กับ ‘เสริมพลังเวท’ นั่นเอง… ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นสกิลเดียวกันกับที่ได้รับจากอาชีพ ‘Fighter’และ ‘Mage’ นั่นแหล่ะ

แต่ข้อแตกต่างก็มีอยู่… นั่นคือสกิลอันเดียวกันนี้ของอาชีพ ‘Supporter’ จะสามารถใช้ให้ผลเกิดขึ้นกับคนอื่นได้ด้วย แตกต่างกับของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Mage’ ที่ใช้ได้แค่กับตัวเอง

ข้อได้เปรียบคือ สกิลที่เหมือนกันของทั้งสองคลาสนี้มันซ้อนทับกันได้… นั่นคือจะทำให้สเตตัสหรือผลของเวทมนตร์ที่ออกมาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับตอนที่ใช้สกิลแค่ครั้งเดียวนั่นเอง!

กับอีกสกิลที่ได้มาตอน ‘Supporter’ ถึงเลเวล 10 คือสกิลที่มีชื่อว่า ‘เสริมแกร่ง’ โดยเป็นสกิลที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธของตัวเองและคนอื่น

พูดง่าย ๆ… มันคือสกิลที่เอาไว้ใช้ตีบวกให้อาวุธมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นนั่นเอง

โดยเลเวลของสกิลจะระบุจำนวนที่สามารถตีบวกได้ทันที… อย่างตอนนี้ที่ของฉันเป็นสกิล ‘เสริมแกร่ง LV-7’ ก็จะสามารถทำให้อาวุธชิ้นที่ถูกตีบวกกลายเป็นอาวุธเลเวล 7 ทันที

ส่วนถ้าอยากจะตีบวกมากกว่านั้น โอกาสจะลดลง 10 เท่าในทุก ๆ ครั้ง เช่น ถ้าอยากให้เป็นเลเวล 8 โอกาสสำเร็จจะอยู่ที่ 10% ส่วนเลเวล 9 อยู่ที่ 1% เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่ฉันขอดาบมาจากพิม

ทัตที่ถือดาบคาตานะตัวเก่งของพิมเริ่มใช้สกิลดังกล่าวกับตัวดาบ พริบตานั้นลำแสงสีเขียวก็อาบดาบเล่มนั้นในมือของทัตไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหายไป

ทัตยืนยันผลลัพธ์ด้วยสกิล ‘วิเคราะห์’ เพื่อความแน่ใจตามเคย

ดาบคาตานะ (LV-7)

เจ้าของ : ณิศรา ศิริการกุล

ความสามารถทางกาย: 78

อืม… อาวุธพวกนี้เองก็มีสเตตัสเป็นของตัวเองเหมือนกันสินะ

ถ้าจะให้อธิบาย มันก็คงเหมือนกับความคมนั่นแหล่ะ… แล้วดูเหมือนการตีบวกเพิ่มขึ้นให้ 1 เลเวลจะทำให้สเตตัสนี้เพิ่มขึ้น 10 แต้ม

“ได้แล้วพิม!” ทัตยืนยันผลลัพธ์แล้วก็ยื่นดาบให้พิม ดูเหมือนเธอจะพยายามทำให้พวกพลสงบจิตสงบใจอยู่

แต่ถึงแบบนั้น มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขายังคงตกตะลึงกันอยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่มองลงไปยังข้างนอกตัวห้างผ่านกระจก ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่ามีมอนสเตอร์จำนวนมากมายปรากฏตัวขึ้นและเริ่มออกกินคนอย่างไม่สนนกสนกาใด ๆ นอกจากความกระหายของตัวเอง

แต่ข่าวร้ายก็คือ… มอนสเตอร์มันไม่ได้อยู่แค่ข้างนอก

ก๊าซ!!!!

ในจังหวะเดียวกันนั้น เสียงคำรามคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานก็ดังขึ้นมาจากร้านขายอุปกรณ์กีฬา มีผู้คนจำนวนมากหนีออกมาจากโซนร้านดังกล่าว

และตัวที่ตามมาทีหลังสุด คือกิ้งก่าผิวสีเขียวที่มีขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ มันคลานต้วมเตี้ยมออกมาจากโซนร้านนั้นโดยที่ปากกำลังเคี้ยวแขนของมนุษย์อยู่ด้วย เห็นภาพแบบนั้นพวกพลก็ถึงกับขาสั่นไปเลย

…คงจะมีแค่ทัต พิมและมิ้นเท่านั้นที่รู้สึกชินกับมันไปแล้ว

“พิม เธอคอยปกป้องทุกคนทีนะ คงต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าที่จะเข้าใจสถานการณ์” ทัตว่าแบบนั้นก่อนจะเดินนำหน้าทุกคนมาหลังเห็นว่าเจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่มีเลเวลอยู่ที่ 60 ไม่ใช่ศัตรูที่เอาชนะไม่ได้

และอันที่จริง… หากเป็นมอนสเตอร์ประเภท ‘Common’ ในตอนนี้ พวกมันก็ไม่ครณามือทัตอีกต่อไปแล้วตราบเท่าที่ไม่ใช่บอส

“เข้าใจแล้ว”

ทางพิมนั้นแน่นอนว่าไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของทัต เธอชักดาบออกจากฝักพร้อมกับยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคนตามที่เขาบอก

“เดี๋ยวสิ นายจะสู้เหรอ!?”

“เป็นอะไรกันไปหมดแล้วเนี่ย! แล้วพิมไปเอาดาบมาจากไหนกันเนี่ย?”

“ใจเย็น ๆ หน่อยสิพวกนาย… สติแตกไปได้”

กับพลและกล้าที่ตะโกนออกมาอย่างสับสน มิ้นกลับไม่ใยดีพวกเขาเลยสักนิด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญเหมือนกัน อาจเป็นเพราะเธอผ่านเรื่องพวกนี้มามากพอควรแล้วกระมัง

“ว่าแต่ทัต… นายเป็น ‘Supporter’ ไม่ใช่เหรอ? คิดจะสู้จริงดิ?” แถมยังรู้เรื่องมากพอที่จะรู้ด้วยว่าสกิลที่ทัตใช้ก่อนหน้านี้เป็นของอาชีพ ‘Supporter’ เธอถึงเตือนด้วยความเป็นห่วง

ส่วนทัตนั้นไม่ได้ตอบกลับไปด้วยคำพูด… เพราะมันคงเสียเวลาโดยใช่เหตุ

หมัดของเขาจึงปรากฏเปลวเพลิงห่อหุ้มในพริบตาถัดมา เป็นคำตอบแก่ทั้งสองคำถามก่อนหน้านี้ว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ ‘Supporter’

…รวมถึงเป็นการยืนยันเจตนาที่จะสู้ด้วยเช่นกัน

“อาชีพผสาน… หมอนั่นจะไหวแน่เหรอ?”

มิ้นเอ่ยอย่างกังวลนิดหน่อย ดูท่าเธอเองก็รู้จักอาชีพผสานเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี เพราะรู้อย่างนั้นเธอถึงได้กังวล เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ว่าอาชีพผสานนั้นอ่อนแอกว่าคนที่เน้นอัพอาชีพเดียวโดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ และยิ่งอ่อนแอเมื่อจัดสรรแต้มไม่ดีอย่างทัตที่เลือกอัพถึง 3 อาชีพพร้อมกัน

แต่ว่า…

“ไม่ต้องห่วงหรอก ทัตในตอนนี้น่ะแข็งแกร่งที่สุดเลยนะจะบอกให้” พิมที่อยู่ข้าง ๆ กลับพูดแบบนั้นออกมาได้หน้าตาเฉยทั้งที่รู้ข้อเสียของอาชีพผสานดีอยู่แล้ว

ได้ยินพิมพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาเชื่อมั่นในตัวทัตขนาดนั้น มิ้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก

ดังนั้น แม้จะกังวลแต่ก็ทำได้แค่ดูท่าที มิ้นจึงปล่อยให้ทั้งสองคนทำตามใจโดยคิดไว้ว่าถ้าเกิดเหตุคับขันอะไรขึ้นมาเดี๋ยวค่อยแทรกเข้าไปช่วยดีกว่าออกตัวตอนนี้

แต่ดูเหมือนมิ้นจะคิดผิดถนัด… อย่างน้อยก็เป็นเรื่องความแข็งแกร่งของทัต

ซุ่ม!!!

ในพริบตาถัดมา… ทัตร่ายเวทที่ผสานธาตุทั้งสองระหว่างธาตุสายฟ้าและธาตุไฟเข้าไว้ที่หมัดทั้งสองข้างด้วยเวทยิง ปรากฏเป็นเปลวเพลิงที่มีประกายสายฟ้าสีเหลืองส่งกระแสไปทั่วทั้งลำแขนสองข้าง

เท่านั้นไม่พอ เท้าทั้งสองข้างของทัตยังอาบด้วยสายฟ้าอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน… บรรดาคนที่วิ่งหนีเจ้ากิ้งก่า มีจำนวนไม่น้อยเลยที่วิ่งหนีไม่ทัน

และตอนนี้ก็มีอยู่คนนึงที่เป็นผู้หญิงวัยทำงานถูกผลักจนล้มลงกับพื้น และการที่ถูกทิ้งท้ายนั่นเลยทำให้เจ้ากิ้งก่ามันตามมาทัน

เจ้ากิ้งก่าเห็นเหยื่ออันโอชาน้ำลายก็เริ่มไหลอย่างกระหาย

“ยะ อย่าเข้ามานะ”

และแน่นอนว่านั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวจนหลั่งน้ำตา แต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะโต้ตอบอะไรได้ ขนาดจะลุกขึ้นยังไม่มีแรงขยับเขยื้อนเลยด้วยซ้ำ

ในพริบตาถัดมาที่เจ้ากิ้งก่าพุ่งเข้ามาหวังตะครุบ เธอถึงได้ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งตัวสั่นปิดตา จนกระทั่งถูกมันใช้เขี้ยวฉีกกระชากกิน

ก๊าซ!!!

…ต้องขอบคุณที่ทัตถีบพื้นเข้ามาอยู่เบื้องหน้าแล้วจัดการอัดกรามของกิ้งก่าที่พุ่งเข้ามางับได้ก่อน หญิงสาวคนดังกล่าวเลยไม่ต้องถูกมันกินไป ส่วนเจ้ากิ้งก่าก็ทำได้แค่ร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ถูกต่อยจนหงายท้องกลับไปด้านหลัง เรียกว่ามาทางไหนก็ต้องกลับไปทางนั้น

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของทัตด้วยสเตตัสความสามารถทางกายเพียงอย่างเดียวก็ว่าน่าทึ่งแล้ว แต่พอผนวกเข้ากับเวทสายฟ้าที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความเร็วจึงยิ่งทำให้ทัตเหมือนกับวาร์ปไปยังจุดที่ต้องการได้ทันทียังไงอย่างงั้น

“เร็วชะมัดเลย” ความเร็วของทัตในตอนที่ใช้เวทสายฟ้าผสานแม้แต่พิมเองก็ยังมองตามการเคลื่อนไหวของเขาไม่ทันจนได้แต่อ้าปากค้าง

ในขณะที่ทางด้านของมิ้นเองก็ตกใจเหมือนกัน… ในแง่ที่ว่าทัตสามารถใช้งานเวทมนตร์ผสานเข้ากับทักษะการต่อสู้ของคลาสหลักอย่างอาชีพนักสู้ได้อย่างชำนาญทั้งที่เพิ่งเกิดการตื่นมาเมื่อไม่กี่วันนี้เองแท้ ๆ

บวกกับเรื่องที่ว่าเขาอัพเลเวลให้กับอาชีพถึง 3 คลาสจึงไม่น่าจะอยู่ในจุดสูงสุดได้ด้วยเลเวลที่เก็บมาได้ในช่วงไม่กี่วัน…

ความสงสัยนั่นเลยทำให้มิ้นใช้สกิล ‘วิเคราะห์’ กับทัตไป…

สเตตัสพวกนั้นมันอะไรกัน!? แล้วยังเลเวลสกิลที่สูงผิดปกตินั่นอีก!?

เลเวลแค่ 61 แต่ทำไมทั้งสเตตัสทั้งเลเวลสกิลถึงได้มากขนาดนี้กันเนี่ย!?

แล้วผลลัพธ์ของมันก็ทำให้มิ้นต้องเบิกตาโพลง สบถในใจซ้ำถึงสองหน เหงื่อที่ผุดบนใบหน้าเกิดขึ้นเพราะสับสนส่วนหนึ่ง

แต่ถึงจะผิดปกติอย่างไรมิ้นก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง… ว่าที่พิมโอ้อวดไว้ก่อนหน้านี้ว่าทัตเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด มันไม่ได้เกินจริงไปเลยแม้แต่น้อยแม้จะยังไม่รู้สาเหตุก็ตามที

“เห็นไหม บอกแล้วว่าทัตน่ะเก่งจะตาย”

แถมพอได้ยินพิมยืนยันอย่างนั้นอีกครั้งยิ่งทำให้มิ้นปฏิเสธไม่ได้เข้าไปใหญ่ เมื่อได้เห็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ทั้งจากที่ทัตอัดเจ้ากิ้งก่า และที่เป็นเชิงตัวเลขอย่างสเตตัสของเขา

แต่ถึงเรื่องพวกนั้นจะเป็นความจริง… มันก็ยังติดใจมิ้นอยู่เรื่องหนึ่ง

“จะว่าไปเธอเนี่ย เป็นประเภทเห่อแฟนสินะ”

“หะ หา!!!?”

แต่ดูเหมือนมิ้นจะสงสัยดังเกินไปหน่อยเลยเผลอหลุดปากพูดอย่างนั้นออกมา และนั่นก็ทำให้พิมหน้าแดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมยังลนลานยังกับอะไรดี ถึงขนาดที่มิ้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นพิมแสดงอาการอย่างนี้ออกมา

“พะ พูดอะไรของเธอเนี่ย! พวกเรา… ยังไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย…”

ยิ่งพูดความประหม่าก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เสียงของพิมเบาลงเบาลง ท่าทางเอียงอายนั่นทำให้พวกพล กล้า หนุ่มและแพรสงสัยเหมือนกัน

แหม… แค่ ‘ยัง’ สินะ

มิ้นที่คิดว่าพูดต่อไปเดี๋ยวพิมก็จะอายม้วนต้วนมากกว่าเดิม หนนี้เลยทำแค่แซวในใจเป็นพอ

“เฮ้ย! ตรงนั้นก็มี!”

แต่เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยมีให้ตามสถานการณ์อันตรายที่กำลังเกิดขึ้น… เสียงตะโกนของกล้าคือคำยืนยันถึงเรื่องนั้น เขาชี้ไปที่ร้านค้าอีกฝั่งที่มีกิ้งก่าแบบเดียวกับที่ทัตเพิ่งอัดไปก่อนหน้านี้อยู่

ทางนั้นเองก็มีคนหนีอยู่เหมือนกันแต่ก็น้อยเต็มทีแล้วเมื่อเทียบกับตอนแรก คนที่รวมเป็นกระจุกมีแค่กลุ่มของพิมเท่านั้น เจ้ากิ้งก่าเลยเมินกลุ่มคนที่กำลังหนีแล้วเลือกจะเดินเข้าไปหาเหล่าก้อนเนื้อที่เป็นเป้านิ่งอย่างพวกพิมแทน

เห็นอย่างนั้นพิมเลยรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง

“หนอย… เดี๋ยวฉันจะ————!!?”

แต่ก่อนหน้าที่จะได้ถีบพื้นเข้าไปประชิดตัวเจ้ากิ้งก่ายักษ์ เธอก็เพิ่งจะมารู้สึกตัวว่ามิ้นที่อยู่ข้าง ๆ หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหลือไว้แค่กระเป๋าสะพายทิ้งไว้ต่างหน้า

และคำตอบที่ว่าหายไปไหน… ก็ปรากฏถัดจากพริบตานั้นเอง

“มองไปทางไหนเหรอ เจ้ากิ้งก่า”

พอรู้ตัวอีกที มิ้นก็เหยียบอยู่บนหลังของเจ้ากิ้งก่าไปแล้ว ขนาดเจ้ากิ้งก่าเองยังแปลกใจจนชะงักไปแวบนึงเลยที่มารู้สึกตัวทีหลังว่ามีคนยืนอยู่บนหลังตัวเอง

แต่พอมันรู้ตัวมันก็รีบสะบัดตัวทันที หางของมันปัดไปโดนทั้งกระจกร้านและกระจกระเบียงของห้างจนแตกเละไปหมด

ทว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามิ้นกระโดดขึ้นออกไปก่อนแล้ว มันเลยสะบัดตัวให้เสียแรงเปล่า

มิ้นที่กระโดดขึ้นสูงจนเท้าติดเพดานเหมือนกับแมงมุมเกาะฝ้า ก่อนที่จะถีบฝ้าพุ่งลงมาแล้วหยิบมีดทำครัวมาจากไหนก็ไม่รู้แทงเข้าไปที่ตาของมันอย่างแรงทั้งจากสเตตัสและแรงโน้มถ่วงจนทำให้มันร้องออกมาดังลั่น

“เสียงหนวกหูชะมัดเลยนะแกเนี่ย”

หลังแทงมันเสร็จ มิ้นก็กระโดดตีลังกาลงพื้นออกมาอยู่ด้านหน้าก่อนจะตั้งท่าโจมตีอีกครั้ง เป็นตอนที่ทัตจัดการกิ้งก่ายักษ์ฝั่งตัวเองเสร็จพอดี เขาเลยหันมาให้ความสนใจกับมิ้นแทน

แม้จะเป็นระยะที่ห่างกันหลายสิบเมตรขนาดนี้ เขาก็มองเห็นความสามารถของเธอได้เป็นอย่างดี

จะทั้งตอนที่ถีบพื้นกระทบเสาค้ำอาคาร ผนังหรือฝ้าไปมาพร้อม ๆ กับเคลื่อนที่ผ่านเจ้ากิ้งก่าแล้วโจมตีไปพร้อมกันเหมือนกับแสงไฟฉายวาบไปมา เห็นแล้วก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่ามันแข็งแกร่ง รวดเร็วและดุดัน

เพราะแบบนั้นทัตเลยอยากรู้ว่ามิ้นแข็งแกร่งมากขนาดไหนจึงลองใช้สกิลวิเคราะห์กับเธอดู…

เลเวล 80… ไม่เคยเห็นใครเลเวลเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย

สมแล้วที่เคลื่อนไหวและโจมตีได้รุนแรงขนาดนั้น

แถมอาชีพที่เธอเลือกอัพยังเป็นอาชีพผสานของ ‘Assassin’ กับ ‘Supporter’ ด้วย

แบ่งพอดี ๆ อย่างละ 40 แต้ม… นี่เป็นการจัดสรรแต้มที่ทำให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดของอาชีพผสานแล้ว

เป็นเพราะมีข้อมูลจากเซฟเวอร์… หรือตัดสินใจทำอย่างนี้ด้วยตัวเองกันนะ

ทัตอดคิดอย่างนั้นไม่ได้หลังได้เห็นผลลัพธ์จากการอัพเลเวลอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวมิ้นนี่แหล่ะคือสิ่งยืนยันอย่างดีถึงความแข็งแกร่งในระดับสูงสุดที่ควรจะเป็นจากการที่ใช้แต้มเลเวลทั้งหมดโดยไม่สูญเปล่าแม้เพียงแต้มเดียว

แม้เทียบกันแล้ว ในกรณีของทัตจะออกไปในทางบังเอิญครึ่งหนึ่งคิดอย่างถี่ถ้วนครึ่งหนึ่งก็เถอะ…

“เรียบร้อย…”

ถัดจากที่ทัตคิดอย่างนั้นไม่นานแล้วกลับมารวมตัวกับพิม มิ้นก็กลับมารวมกลุ่มด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ในขณะที่บิดขี้เกียจ ท่าทางนั่นเหมือนไม่ได้รู้สึกลำบากเลยสักนิดที่เพิ่งจัดการกิ้งก่ายักษ์ตัวเท่ารถไป

“อะไรกันเนี่ย! ทั้งสองคนสุดยอดไปเลย!”

“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นไงมาไงก็เถอะ แต่โคตรเจ๋งเลย!”

“อย่างนี้ต่อให้มีตัวอะไรออกมาก็ไม่น่ากลัวหรอกมั้งเนี่ย!”

พลตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น ตามด้วยกล้าและหนุ่มที่แสดงออกอย่างเดียวกัน ไม่แม้แต่แพรที่นิ่งเงียบมาตลอดด้วยสีหน้าหวาดกลัวจนตัวสั่นเองก็ยังยิ้มออกมาได้หลังเห็นว่าสถานการณ์ผิดแปลกที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่รับมือไม่ได้

เห็นอย่างนี้มันก็ทำให้ทัตอดคิดถึงครั้งแรกที่เกิดเรื่องไม่ได้… เขาจำได้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นมันทั้งโกลาหล สับสน วุ่นวายและสิ้นหวังสำหรับพวกทัตมาก แต่ท่าทีของทุกคนกลับกลายเป็นคนละอย่างไปเลยเมื่อได้เห็นว่ามีคนที่พึ่งพาได้อยู่เบื้องหน้า ซึ่งคนที่ว่าก็คือพวกทัตนี่แหล่ะ

มันจึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน… ว่าที่ทุกคนรู้สึกยอมแพ้ต่อชะตากรรม มันเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้สึกถึงความหวังที่จะมีชีวิตรอดมากกว่า และเมื่อมีความหวังอยู่ต่อหน้าอย่างนี้ พวกเขาย่อมไม่รู้สึกว่าจะพ่ายแพ้และสิ้นหวังเป็นธรรมดา

“ว่าแต่… แบบนี้ฉันก็ไม่ได้ออกโรงน่ะสิ” พิมว่าแล้วก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย เพราะเธอเพิ่งจะปลดล็อคอาชีพดาบเวทมนตร์มาได้เลยคิดอยากลองมาตลอดแท้ ๆ

“นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายซะหน่อย”

“อือ… จะว่าไปก็ใช่อยู่หรอก” ได้ทัตพูดปลอบทำให้พิมรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะเนื้อความแต่อย่างใด เป็นเพราะผู้พูดต่างหาก

“พวกเธอนี่แปลกกันชะมัด…”

ในทางกลับกัน มิ้นกลับยิ้มแห้ง ๆ ให้กับความตื่นเต้นและกระตือรือร้นของทัตกับพิม เพราะไม่ว่าจะในแง่ไหน มันก็สื่อให้เห็นว่าพวกเขากระหายการต่อสู้

“อย่าเข้าใจผิดสิ…” แต่มีอย่างหนึ่งที่มิ้นมองผิดไปหน่อย

“พวกเราก็แค่อยากแข็งแกร่งให้มากที่สุดเพื่อเอาตัวรอดต่างหาก”

แม้ผลลัพธ์ของการกระทำจะเป็นการอยากโค่นมอนสเตอร์เหมือนกัน แต่จุดประสงค์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทัตอยากยืนยันเรื่องนั้นทั้งกับตัวเองแล้วก็พิม เขาถึงพูดอย่างนั้นกับมิ้น ในคำพูดของเขาไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความจริงจังแน่วแน่ในสิ่งที่พูด

อาจเพราะแบบนั้น มันถึงน่าเชื่อถือ มิ้นถึงได้ยิ้มออกมาหลังได้ยินคำพูดของทัต

ให้ตายสิ… เหมือนกันไม่มีผิดเลยนะ

แม้ว่าสำหรับมิ้น เธอจะยิ้มออกมาเพราะมีสาเหตุอื่นร่วมด้วยก็ตามที

และอย่างไรก็ดี… การเริ่มต้นได้ดีในช่วงแรกเป็นสิ่งที่ทัตปรารถนา เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้เจอมอนสเตอร์ระดับบอสหรือมังกรตัวที่เคยเจอวันแรก ทัตเลยค่อนข้างรู้สึกโล่งอก

ถึงวันนี้จะมีเรื่องที่มิ้นเผยตัวให้รู้ว่าเป็นคนของเซฟเวอร์เลยทำให้กังวลไปบ้างก็เถอะ

แต่ถ้าเริ่มได้ดีอย่างนี้ วันนี้ก็อาจจะราบรื่นก็ได้

ทัตคิดอย่างนั้น… เรียกว่าหวังไว้แบบนั้นก็คงไม่ผิดนัก

แต่มีหลายอย่างที่เขายังไม่รู้… อย่างแรกคือความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้นใน ‘คืนนี้’ ที่ไม่เหมือนกับคืนก่อน ๆ

และอย่างที่สอง… คือการตามจองล้างจองผลาญที่ทัตคิดว่าน่าจะมีเวลาให้พักหายใจอยู่บ้างมันไม่น่าจะเกิดขึ้นในคืนนี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำที่มอนสเตอร์เพิ่งเริ่มปรากฏตัวออกมาอย่างนี้

…แต่ดูเหมือนความหวังนั่นจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว

ณ ตอนนั้นไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ ว่ามีชายร่างยักษ์คนนึงยืนอยู่บนตึกข้าง ๆ ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เขากระโดดไปมาในเมืองหลายต่อหลายครั้งเพื่อตามหากลุ่มที่มีลักษณะตรงกับที่รู้มา

จนสุดท้ายก็มาหยุดยืนอยู่ที่ดาดฟ้าตึกตรงนี้ เมื่อได้เห็นว่ามีเด็กหนุ่มที่ใช้เวทมนตร์ผสานเข้ากับวิชาหมัดมวยซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของอาชีพ ‘Mage Fighter’ ตรงตามที่ได้ยินมา

เห็นดังนั้นเขาก็ไม่รอช้าที่จะกระโจนเข้ามาในห้างสรรพสินค้าผ่านฝ้ากระจกบริเวณกลางห้างเข้ามาโดยไม่สนความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนจะลงไปกระแทกกับพื้นตรงชั้นที่เหนือกว่าพวกทัตไปหนึ่งชั้น

ตู้ม!!!

“เกิดอะไรขึ้นอีกวะเนี่ย!?”

เสียงดังลั่นตามด้วยฝุ่นคละคลุ้งราวกับระเบิดลงบนระเบียงที่อยู่ชั้นบน มองไปด้วยระยะห่างราว 30 เมตรเห็นจะได้ นั่นถึงทำให้ทุกคนสะดุ้งตกใจโดยเฉพาะพลที่ตะโกนออกมา

แต่นั่นยังไม่มากเท่ากับตอนที่ฝุ่นค่อย ๆ บางลงจนกระทั่งเห็นตัวต้นเหตุ… ซึ่งเป็นมนุษย์ และนั่นแหล่ะที่ทำให้ทัตเบิกตาโพลง

ชายหนุ่มชาวต่างชาติร่างยักษ์กำยำกว่าสองเมตร ผิวสีดำคล้ำผมสีเงินโดดเด่นดูเป็นเอกลักษณ์มาแต่ไกล แต่ที่ทำให้ทัตเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจและอีกนัยนึงคือความกลัว เป็นเพราะเขาสวมปลอกแขนสีแดงต่างหาก

โกหกน่า… พวกเดียวกับเมื่อวานงั้นเหรอ!

นี่มันเร็วเกินไปแล้ว! นี่เพิ่งจะเริ่มช่วงกลางคืนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยนะ!?

ทัตเห็นดังนั้นจึงรีบตั้งท่าพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ มือทั้งสองข้างของเขาอาบด้วยเปลวเพลิงขึ้นมาในทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู เช่นเดียวกันกับพิมที่ใช้ไฟอาบใบดาบในมือไว้เพื่อป้องกันตัวจากเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นจนเหมือนกับเมื่อคืนวาน

เพราะถึงจะยังไม่ได้ตรวจสอบ แต่ด้วยรูปลักษณ์อันน่ายำเกรงของชายคนนั้น มันก็เผลอคิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งมากแน่ ๆ

และข่าวร้ายในข่าวดีก็คือ… ทัตกับพิมคิดถูก

“โกหกน่า… ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่…”

ทัตกับพิมยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันตาเมื่อได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของมิ้น จากที่กังวลอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้พวกเขากังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก

“ไอ้หมอนั่นมัน… หัวหน้าของพวกปลอกแขนแดง! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กัน!?”

แล้วคำพูดถัดมาของมิ้นก็ยิ่งทำให้ทัตกับพิมตระหนักถึงความอันตรายของสถานการณ์เข้าไปใหญ่

แม้ว่าฝันร้ายที่แท้จริง… มันจะยังไม่เริ่มขึ้นด้วยซ้ำก็ตาม

❖❖❖❖❖