ตอนที่ 77 มันคุ้มค่างั้นหรือ?

หยางเย่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นพวกเขาหยุดเคลื่อนไหว เขาทราบว่าตัวตนของอาจารย์ยันต์ทำให้ยามไม่กล้าวู่วาม ตั้งแต่ที่เผชิญหน้ากับราชวังบุปผาจนถึงตอนนี้ หยางเย่คิดจะใช้สถานะของผู้ใช้ยันต์มาตลอด แต่ท้ายที่สุดก็หาได้ใช้ไม่ เพราะเขาเกรงว่าความตายจะมาถึงเร็วเกินไปเมื่อใช้มัน

เมื่อพวกเขาเห็นตราสัญลักษณ์ในมือหยางเย่ หัวหน้ายามรักษาการณ์กล่าว “ท่านคืออาจารย์ยันต์งั้นหรือ?”

หยางเย่พยักหน้า

จากนั้นหัวหน้ายามโค้งคำนับพร้อมกล่าว “ข้าจะรายงานสิ่งที่ท่านได้ทำในเมืองทักษิณภิรมณ์แก่สมาคมผู้ใช้ยันต์ โปรดบอกนามของท่านและระดับขั้นมาด้วย”

“หยางเย่ อาจารย์ยันต์ระดับสี่!” หยางเย่กล่าวอย่างเย็นชา เขาทราบว่ามันคือกฎ หากปฏิเสธ พวกเขาจะใช้อำนาจจับกุมเขาแน่นอน

หัวหน้ายามประกบมือคารวะหยางเย่ก่อนจะหันหลังเดินจากไป “ถอย!”

สถานะของอาจารย์ยันต์มีตำเหน่งสูงกว่าขุนนางในจักรวรรดิต้าฉิน แม้จะเป็นขุนนางในวังหลวงก็ยังต้องก้มหัวให้ เมื่อชายที่เป็นอาจารย์ยันต์ได้กำจัดตระกูลหลิวและผู้ว่าการของเมืองทักษิณภิรมณ์ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะเข้ามายุ่งได้ เช่นนั้นพวกตำเหน่งสูงจะเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้แทน

ทันทีที่ได้ยินพวกเขาไม่ลังเลที่จะถอนตัวอย่างรวดเร็ว

หลังจากมองยามรักษาการณ์หายไป หยางเย่มองไปที่ตราสัญลักษณ์ของอาจารย์ยันต์ในมือพร้อมกล่าว “มันเป็นของที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง”

ทันทีที่กล่าวจบ ร่างหยางเย่ได้หายไปภายใต้รัตติกาล

……

ณ บ้านหินที่เฟิงอวี่และเสี่ยวเหยาเคยซ่อนก่อนหน้านี้ กลุ่มของชิงหงได้นั่งรอพร้อมมองหน้ากัน

ขณะมองไปยังเปลวเทียนที่ริบหรี่บนโต๊ะหิน ชิงหงได้กล่าวออกมา “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าหยางเย่จะเป็นยังไงบ้าง?”

หมานจื้อตอบ “เสี่ยวหง เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ พวกเราต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด เป็นการดีหากจะออกไปจากเมืองและไม่ปรากฏตัวที่นี่อีก”

หมานจื้อยังมีความเกรงกลัวต่อคนของราชวังบุปผา ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าไปยุ่งด้วยได้ โชคดีคนของราชวังบุปผาไม่ใช่พวกเลือดเย็น มิเช่นนั้นทั้งสามคงกลายเป็นศพเรียบร้อย

ชิงหงส่ายหัวพร้อมกล่าว “พี่ใหญ่ ช่วยรออีกสักหน่อยเถอะ ถ้าหยางเย่ไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเขาจะต้องกลับมาหาพวกเราแน่นอน!”

ขณะมองไปยังชิงหงที่ดื้อด้าน หมานจื้อถอนหายใจพร้อมกล่าว “เสี่ยวหง พี่ใหญ่ทราบดีว่าเจ้าคิดยังไง น้องหยางเก่งกาจมาก แต่พวกเราอยู่คนละโลก ถึงแม้เขาจะไม่ถูกจับ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าทั้งสองจะใช้ชีวิตร่วมกัน”

หลังจากเป็นพี่น้องกันมายี่สิบปี หมานจื้อทราบถึงความคิดของชิงหง แต่เดิมเขาสนับสนุนในสิ่งนี้ เพราะหยางเย่มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นหากชิงหงได้อยู่ข้างกายเขา เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องใช้ชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอีกต่อไป

แต่ทันทีที่ทราบว่าหยางเย่เป็นคนที่ราชวังบุปผาต้องการตัว เขาก็ได้เปลี่ยนความคิดทันที ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและผลประโยชน์ แต่เพราะไม่ต้องการให้น้องสาวเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างหยางเย่กับราชวังบุปผา เพราะความขัดแย้งระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ทหารรับจ้างอย่างพวกเขาจะรับไหว

ใบหน้าชิงหงกลายเป็นสีแดงเล็กน้อยเมื่อความลับถูกเผย แต่นางก็หาได้ปฏิเสธหรือยอมรับไม่ “เหตุใดพวกเราถึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้? พี่ใหญ่ไม่เคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือ? ความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง อายุ หรือสำนัก เมื่อคนทั้งสองได้รักใคร่กัน เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเป็นปัญหาอีก!”

เฉียวไห่ที่เงียบมานานมองไปที่ชิงหงก่อนจะส่ายหัวพร้อมเล่นมีดในมือต่อ

ริมฝีปากหมานจื้อย่นลงพร้อมกล่าว “เสี่ยวหง เจ้าเชื่อในคำกล่าวพวกนั้นหรือ? เอาเถอะ ถึงแม้คำพวกนั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่เจ้ากับหยางเย่ไปรักตอนไหนล่ะ? มีเพียงเด็กโง่อย่างเจ้าเท่านั้นที่ตกหลุมรักเพียงแค่พบกันครั้งเดียว น้องสาวข้า พวกเจ้าเพิ่งพบกันได้ไม่นาน และยังไม่เคยคบหาดูใจกันมาก่อน! เจ้าจะไปตกหลุมรักเขาได้อย่างไร?”

ชิงหงมองไปที่หมานจื้อพร้อมกล่าว “พี่ที่เที่ยวแต่ซ่องไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก ข้าไม่อยากสนทนากับท่านแล้ว”

อันที่จริงชิงหงมีความรู้สึกซับซ้อนตั้งแต่พบหยางเย่วันนั้น และมันยังห่างไกลจากคำว่ารัก เหตุผลที่มันกลายเป็นความรัก เพราะขณะที่อาศัยอยู่กับเสี่ยวเหยาและมารดาหยางเย่ นางได้ทราบถึงอดีตของหยางเย่จากทั้งสอง

กล่าวได้ว่าทัศนคติของหยางเย่ต่อครอบครัวนั้น ได้ทำให้จิตใจของนางเปลี่ยนไป

เมื่อได้ยินชิงหงเผยความลับ ใบหน้าหมานจื้อเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “น้องรัก ฟังคำแนะนำพี่ใหญ่และลืมหยางเย่เสีย! จงใช้ชีวิตทหารรับจ้างของพวกเราต่อไปเถอะ ถึงแม้มันจะค่อนข้างอันตรายและลำบาก พวกเราก็ไม่ต้องลำบากใจ”

“หากท่านอยากไปก็ไป ยังไงข้าก็ไม่ไปไหน!” ชิงหงกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิด

หมานจื้อหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะหันไปมองเฉียวไห่ที่เงียบมานาน เขากล่าว “เฉียวไห่ เจ้าจะอยู่ฝ่ายไหน? เจ้าจะอยู่หรือไป?”

เฉียวไห่มองไปที่หมานาจื้อก่อนจะเขียนประโยคหนึ่งบนโต๊ะด้วยปลายมีด ‘อยู่’

หมานจื้อรู้สึกโมโหเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง หยางเย่ได้เดินเข้ามาในบ้านหิน

หยางเย่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสาม ขณะที่กำลังจะกล่าว ได้มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาสวมกอดหยางเย่ทันที

ชิงหงนั่นเองที่เข้ามากอดหยางเย่ “เจ้าปลอดภัย… เจ้าปลอดภัย…”

หยางเย่ค่อย ๆ ดันนางออก เมื่อเห็นใบหน้าชิงหงเต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจหยางย่ถึงกับเต้นรัว เขายื่นมือไปเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าว “พี่ชิงหง ขอบคุณท่านมาก”

ขณะกล่าวเขามองไปที่หมานจื้อและเฉียวไห่ที่อยู่ด้านข้าง “ขอบคุณพี่หมานจื้อกับพี่เฉียวไห่เช่นกัน ขอบคุณที่ปกป้องครอบครัวของข้า”

หมานจื้อยิ้มพร้อมกล่าว น้องหยางไม่ต้องใส่ใจหรอก หากไม่ใช่เพราะหยางเย่ เช่นนั้นทั้งสามคงตายไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งกว่านั้นน้องหยางเย่จ่ายเพื่อจ้างพวกเราอีก ดังนั้นไม่ว่ายังไง พวกเราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่กลุ่มคนเมื่อคืนนี้…”

หยางเย่ส่ายหัวขณะหมานจื้อกำลังกล่าว “ข้าเข้าใจดี คนพวกนั้นไม่ใช่คู่มือของพี่หมานหรือใครทั้งนั้น ข้าไม่โทษพวกท่านหรอก ข้ามาเพื่ออยากพบพวกท่านเท่านั้น”

ทันทีที่กล่าวจบ หยางเย่นำดาบกับมีดออกมาจากแหวนมิติ “วัตถุทมิฬทั้งสองเป็นขั้นสีเหลืองระดับสูง มันเป็นค่าตอบแทนและคำขอบคุณที่ปกป้องครอบครัวข้า”

หมานจื้อรีบสะบัดมือพร้อมกล่าว “น้องหยาง เจ้ากำลังทำอะไร? วัตถุทมิฬกับทองในวันนั้นก็เพียงพอสำหรับค่าจ้างพวกเราแล้ว ยิ่งกว่านั้น พวกเรายังไม่สามารถปกป้องครอบครัวของเจ้าได้ทั้งหมด ดังนั้นจะให้พวกเรากล้ารับของวิเศษทั้งสองนี้ได้อย่างไร?”

เฉียวไห่ส่ายหัวเช่นกัน

หยางเย่วางของทั้งสองไว้บนโต๊ะหิน “อย่าปฏิเสธเลย มันเป็นความตั้งใจของข้า ยิ่งกว่านั้นวัตถุทมิฬทั้งสองก็ไม่จำเป็นต่อข้า แต่สำหรับพวกท่านมันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีก!”

หมานจื้อตั้งใจปฏิเสธ แต่ชิงหงกล่าวออกมาจากด้านข้าง “พี่ใหญ่ รับไว้เถอะ”

เมื่อพวกเขาได้ยิน หมานจื้อและเฉียวไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบของวิเศษทั้งสอง หมานจื้อประกบมือพร้อมกล่าว “ขอบคุณน้องหยาง!”

เฉียวไห่เองก็กระทำเช่นกัน

หลังจากหยิบของวิเศษทั้งสองแล้ว หมานจื้อและเฉียวไห่สบตากันก่อนจะออกไปจากบ้านหิน พวกเขาปล่อยให้หยางเย่และชิงหงอยู่ด้วยกันต่อ

หลังจากเห็นทั้งสองออกไป ชิงหงเริ่มกล่าวบางอย่าง “เจ้าได้ยินทุกอย่างเมื่อกี้หรือไม่?”

หยางเย่ชะงักพร้อมกล่าวด้วยความงุนงง “พี่ชิงหง ท่านหมายความว่าอะไรงั้นหรือ?”

ชิงหงไม่กล่าวสิ่งใดนอกจากมองไปที่หยางเย่โดยไม่กระพริบตา

ไม่นานหยางเย่ก็พยักหน้า อันที่จริงเมื่อเขามาถึงด้านนอก เวลานั้นก็ได้ยินหมานจื้อเกลี้ยกล่อมให้ชิงหงเลิกคิดถึงเรื่องเขา เพื่อหลีกเลี่ยงความเขินอาย หยางเย่ไม่กล้าเดินเข้าไปข้างใน และแอบฟังต่ออยู่ข้างนอก อันที่จริง เขาค่อนข้างประหลาดใจในตอนนั้น เพราะไม่คาดคิดว่าสตรีที่งดงามและดึงดูดผู้นี้จะชอบเขา

ถึงแม้จะประหลาดใจเล็กน้อย หยางเย่ก็หาได้คิดอื่นไกลไม่ สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาตอนนี้คือรีบพัฒนาตนเองเพื่อจะได้แข็งแกร่งพอไปช่วยมารดา

ใบหน้าชิงหงแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหยางเย่พยักหน้า จากนั้นนางได้ถอนสายและตามองไปที่อื่น เวลานี้บรรยากาศโดยรอบของทั้งคู่ดูแปลกประหลาด

หลังจากตกอยู่ในภวังค์ได้ครู่หนึ่ง หยางเย่นำคัมภีร์และดาบสีชาดที่ได้จากเจียงหยวนออกมา เขาส่งมันให้ชิงหงพร้อมกล่าว “พี่ชิงหง นี่คือวิชาตัวเบาขั้นสีเหลือง และดาบขั้นสีดำระดับต่ำ ข้าให้ท่าน”

“ทำไมกัน?” ชิงหงมองไปที่หยางเย่พร้อมถาม

หยางเย่ส่ายหัว “ไม่มีเหตุผลใด ข้าต้องการจะให้ท่านแค่นั้น!”

ชิงหงมองไปที่หยางเย่ชั่วครู่ จากนั้นนางรับคัมภีร์และดาบจากเขาพร้อมกล่าว “ข้าจะฝึกให้หนักเพื่อจะได้แข็งแกร่งขึ้น และจะต้องแข็งแกร่งจนทัดเทียมกับเจ้า ข้าจะรอจนเจ้าช่วยเหลือมารดาสำเร็จ ข้าไม่ต้องการคำสัญญา และไม่ต้องการให้ใครมาเกลี้ยกล่อม!”

หยางเย่หัวใจเต้นรัว จากนั้นไม่นานเขาถอนหายใจเบา ๆ “มันคุ้มค่าหรือ!?”

ชิงหงมองไปที่หยางเย่ “มันไม่เกี่ยวว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ข้าชอบเจ้า ข้าก็กระทำในสิ่งที่ข้าต้องการ”

“….”

หยางเย่จากไปหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ขณะที่มองหยางเย่จากไป ชิงหงใช้มือลูบแหวนมิติสีดำบนนิ้วมือขวา มันเป็นแหวนที่หยางเย่มอบให้ก่อนจะจากไป มันไม่ได้มีแค่วิชาและดาบ มันยังมีหินพลังปราณอีกหนึ่งพันก้อนในนั้น!

ไม่นาน ชิงหงบ่นพึมพำ “เราจะต้องฝึกหนักกว่านี้เพื่อตามเขาให้ทัน…”