บทที่ 167 เธอเป็นแฟนเก่าของคุณเหรอ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

แม้ว่าระยะทางจะไม่ใกล้ แต่หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกได้ว่าสือมูเฉินนั้นมองเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตลอดเลย

เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขานั้นก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆออกมา หลังจากพูดกับพิธีกรสักครู่เขาก็นั่งลงบนที่นั่งแถวแรกอย่างสง่างาม

เมื่อเขานั่งลงเช่นนี้ หลานเสี่ยวถางอยู่ห่างจากเขาเพียงสองสามเมตรเท่านั้น

เธอมองไปที่แผ่นหลังของสือมูเฉิน และความวิตกกังวลในใจของเธอก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก

เธอรู้ว่าวันนี้เธอถูกคนวางแผนเล่นงานไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่จุดประสงค์ของบุคคลนี้ทำแบบนี้เพื่ออะไรกันนะ?

หากต้องการให้เธอและสือมูเฉินทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ติดแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นมันก็ต้องเป็นคนที่วางแผนอยากได้อะไรจากสือมูเฉินอย่างแน่นอน อาจจะเป็นหลานเล่อซินก็เป็นได้ หรือว่าจะเป็นโจวเหวินซิ่ว

แต่ถ้าคนคนนั้นรู้ว่าสือมูเฉินต้องพาเธอมาที่นี่ในวันนี้อย่างแน่นอน และจงใจปล่อยให้เธอนั่งข้างชายอื่น เพื่อทำให้สือมูเฉินเสียหน้า ถ้าเช่นนั้นบุคคลนี้จะต้องมีอำนาจมากขนาดไหนกันนะ อาจจะเป็นคนรอบตัวหรืออาจจะเป็นคู่แข่งของสือมูเฉินที่เคยมีเรื่องขุ่นเคืองในธุรกิจก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามมันก็เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น และมันก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการอธิบายให้สือมูเฉินได้เข้าใจอย่างชัดเจน ไม่อยากให้เขาเข้าใจเธอผิด

และในตอนนี้หลานเสี่ยวถางก็เข้าใจแล้ว และเป็นไปได้ว่าวันนี้สือมูเฉินคงไม่พาเธอไปแนะนำให้คนอื่นรู้จักแล้วล่ะ

เพราะตั้งแต่หันจื่ออี้เข้ามานั่ง เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีแววตาจำนวนมากกำลังจ้องมองมาทางเธอ

ในสายตาของคนเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าเธอถูกมองว่าเป็นคู่ควงของหันจื่ออี้อย่างลับ ๆยังไงยังงั้นแหละ หากสือมูเฉินพาเธอไปแนะนำให้คนอื่นรู้จักแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นสือมูเฉินก็เหมือนโดนตบเข้าที่หน้าตัวเองฉากใหญ่เลย!

หลานเสี่ยวถางอารมณ์เสียอย่างมาก และไม่ได้สนใจคำพูดของหันจื่ออี้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆเธอเลยสักนิด แต่เธอกลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและส่งข้อความให้สือมูเฉิน

เธอพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว: “มูเฉิน ฉันขอโทษ ฉันคิดว่านี่เป็นที่นั่งของเรา ดังนั้นฉันจึงนั่งผิดที่ คุณอย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ”

แต่หลังจากที่เธอกดส่งข้อความ แล้วเธอก็รอเป็นเวลาหลายสิบวินาทีก็ไม่เห็นว่าสือมูเฉินจะหยิบโทรศัพท์ออกมา ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกังวลใจมากขึ้นไปอีก

ขณะนี้พิธีกรได้ประกาศเริ่มการประมูลการกุศลแล้ว หากเธอลุกออกไปตอนนี้ เธอจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้ชมในนั้นอย่างแน่นอน

ที่ด้านหน้าพิธีกรเริ่มแนะนำการบริจาคที่หน้าเวที บนหน้าจอขนาดใหญ่เป็นรูปภาพสิ่งของที่จะทำการประมูลจำนวนมากและแนะนำประวัติของผู้บริจาคด้วย

หลานเสี่ยวถางใจลอยฟังไม่เข้าหูเลยสักคำ แต่รู้สึกว่ากว่าจะผ่านไปแต่ละนาทีนั้นมันแสนจะทรมาน

เธอเคยดูแผ่นหลังของสือมูเฉินอยู่ตลอดเวลา แต่เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเฉยเมย ฟังพิธีกรพูดอย่างเดียวและไม่ได้พูดคุยกับใครสักคน

ข้าง ๆเขามีที่นั่งว่างอยู่หนึ่งที่ เป็นเพราะอยู่แถวแรก ดังนั้นจึงสะดุดตาเป็นพิเศษ หลานเสี่ยวถางบังเอิญได้ยินคนรอบ ๆบริเวณนั้นกำลังซุปซิบนินทาแล้ว

ได้ยินแต่คนพูดว่า: “ใช่สิ วันนี้คุณสือจะพาเพื่อนสาวของเขามาด้วยไหม? ทำไมฉันเห็นที่นั่งข้าง ๆเขามีที่ว่างอยู่ที่หนึ่งแต่กลับไม่มีคนนั่งล่ะ?”

“โลกโซเซียลแพร่ระบาดบนอินเทอร์เน็ตว่าเขาได้แต่งงานกับแฟนคนแรกของเขาแล้ว และยังมีคนเห็นเขาไปที่ร้านพรีเวดดิ้ง” อีกคนพูดว่า: “บางทีแฟนสาวของเขาอาจจะมาถึงในไม่ช้านี้!”

“ฉันอยากรู้จริง ๆว่าแฟนของเขานั้นหน้าตาจะเป็นอย่างไร!”

“ต้องเป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟคแน่และคู่ควรกับคนหล่อเหลาอย่างเขาสิ! เมื่อก่อนดูสือเพ่ยหลินแล้วก็คิดว่าหล่อแล้วนะ แต่ตอนนี้มาเห็นคุณอาของเขาแล้ว เพิ่งรู้ว่าหล่อมากกว่าเสียอีกนะ!”

“ใช่สิ! น่าเสียดายที่มีคู่ครองอยู่แล้ว!”

“ฮ่าฮ่า หรือเธอไม่เคยคิดอย่างนั้นเหรอ?อย่าลืมนะ ว่าเธอหมั้นหมายไว้แล้ว!”

“เฮ้ ดูเหมือนเราจะเป็นลูกคุณหนู ความเป็นจริงแล้วการแต่งงานนั้นเราไม่เคยได้ตัดสินด้วยตนเอง……แต่ถ้าเราสามารถหมั้นหมายกับคนอย่างสือมูเฉินได้แบบนี้ ฉันก็อยากจะแต่งงานด้วย แต่น่าเสียดายที่คู่ครองของฉันนั้นมัน……”

จากนั้นทั้งสองก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันครู่หนึ่ง

“เสี่ยวถาง” หันจื่ออี้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆหลานเสี่ยวถางเห็นหลานเสี่ยวถางกำกระโปรงของตัวเองจนเกิดรอยย่นและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณตื่นตระหนกและกังวลมากเลยเหรอ?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหัวออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“เสี่ยวถาง เรื่องเกี่ยวกับที่นั่งผมไม่ได้เป็นคนจัดการจริง ๆนะ” หันจื่ออี้พูด :“ คุณยังโทษผมอยู่หรือเปล่า?ก่อนที่ผมจะเห็นคุณผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกคุณจะมาที่นี่เช่นกัน”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” หลานเสี่ยวถางลดเสียงพร้อมพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยให้ความร่วมมือกับฉันหน่อยได้ไหม ให้ฉันอยู่เงียบ ๆสักพัก……”

เมื่อหลานเสี่ยวถางกำลังวางแผนที่จะจากไป พิธีกรที่อยู่ข้างหน้าก็หันมามองทันที: “ภาพวาดภูมิทัศน์นี้บริจาคโดยคุณหันจื่ออี้จาก Latitude Technology ราคาเริ่มต้นการประมูลอยู่ที่ 3 ล้าน”

ทันใดนั้น สายตาทุกคู่ก็มองมาทางที่หันจื่ออี้ บนหน้าจอขนาดใหญ่มีประวัติของหันจื่ออี้และภาพวาดทิวทัศน์ภาพนั้น

เนื่องจากหลานเสี่ยวถางนั่งอยู่ข้าง ๆเขา ดังนั้นเมื่อลำแสงด้านบนส่องลงมา บนหน้าจอขนาดใหญ่ถัดจากหันจื่ออี้ก็เห็นสีแดงเล็กน้อย ซึ่งเป็นชุดราตรีของหลานเสี่ยวถาง

หัวใจของหลานเสี่ยวถางตื่นตระหนกมากขึ้น

เธอมองดูชุดสูทของสือมูเฉิน ซึ่งเป็นสีดำล้วนและเขาสวมแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวและผูกเน็คไทสีแดงอยู่ด้านในเสื้อสูท

สีของเนคไทเป็นสีแดงและเป็นสีแดงเดียวกันกับกระโปรงของเธอด้วยความบังเอิญ

ดังนั้นเขาได้จัดเตรียมชุดสำหรับวันนี้อย่างตั้งอกตั้งใจก่อนล่วงหน้าไว้แล้ว แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น……

ตอนนี้ บรรยากาศในที่ห้องนั้นค่อนข้างดุเดือด

เนื่องจากมีนักสะสมจำนวนมากที่ชอบสะสมงานประเภทนี้ จึงมีการแสวงหาภาพวาดทิวทัศน์มาโดยตลอด ดังนั้นเนื่องจากราคายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกือบทุกคนที่อยู่ในงานต่างจับจ้องมาที่หันจื่ออี้

ในท้ายที่สุด ภาพวาดทิวทัศน์ก็ประมูลขายไปในราคา 6 ล้าน ซึ่งหันจื่ออี้เป็นคนประมูลมันกลับมาเอง ยกเว้นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวนเงินทั้งหมดได้บริจาคให้กับมูลนิธิการกุศลหนิงเฉิง

ในตอนนี้พิธีกรก็ค่อนข้างตื่นเต้นกับราคาที่สูงเช่นนี้

เธอหยิบไมโครโฟนและพูดกับหันจื่ออี้: “คุณหันคะ คุณเอาภาพวาดทิวทัศน์นี้ออกมาบริจาค แต่คุณกลับประมูลมันกลับคืนมาอีกครั้ง เบื้องหลังภาพวาดภูมิทัศน์คงมีเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับคุณด้วยใช่ไหมคะ?คุณช่วยแบ่งปันเรื่องราวดี ๆนี้ให้ทุกคนฟังหน่อยดีไหมคะ?”

หันจื่ออี้พยักหน้าและเดินไปที่หน้าเวที

เขายิ้มอย่างมีความสุขให้ผู้คนด้านล่างแล้วพูดว่า: “ทุกคนรู้ว่าผมเรียนเกี่ยวกับด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และถือว่าเป็นช่างเทคนิค และคนอย่างผมคงไม่สามารถชื่นชมงานศิลปะประเภทนี้ได้เลย”

เมื่อทุกคนได้ยินเขาพูดว่าเขาเป็น ‘ช่างเทคนิค’ ทุกคนก็หัวเราะออกมา

หันจื่ออี้กล่าวต่อไปว่า: “แต่ต้องมามีความเกี่ยวข้องกับศิลปะนั้นเป็นเพราะผู้หญิงคนหนึ่งครับ”

ชีวิตรักส่วนตัวของหันจื่ออี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องลึกลับมาเป็นเวลานาน เพราะเมื่อเขาไปร่วมงานสังคมต่าง ๆที่ไหนเขามักจะอยู่กับผู้ช่วยพิเศษที่เป็นผู้ชาย และมีผู้หญิงมากมายรอบ ๆตัวเขาที่อยากทำความรู้จักกับเขา ดูเหมือนว่าเขาจะรักษาระยะห่างไว้อย่างสุภาพมาโดยตลอด

ดังนั้นบางคนจึงเริ่มคาดเดาว่าหันจื่ออี้อาจแต่งงานกับลูกสาวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของLatitude เมื่อสมัยที่เขาอาศัยอยู่ต่างประเทศแล้ว หรือความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ค่อยดีจึงแยกกันอยู่คนละที่

หรือหันจื่ออี้เป็นเกย์ถึงไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้เลย

ดังนั้นในตอนนี้ เมื่อฟังเขาเริ่มพูดถึงหญิงสาวคนนั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจึงจ้องมองไปที่เขาและฟังอย่างตั้งใจ รอคอยคำพูดต่อไปของเขา

หันจื่ออี้กล่าวว่า: “ผมจำได้ว่าเมื่อตอนที่ผมสอบเข้าวิทยาลัยแล้วนั้น มีการจัดนิทรรศการศิลปะอยู่ในเมืองขึ้น ดังนั้นผมจึงไปร่วมงานนิทรรศการศิลปะกับเธอ ตอนนั้นเมื่อเธอเห็นภาพนี้และเธอบอกกับผมว่าเธอชอบมันเป็นอย่างมาก”

ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น สายตาของเจาจ้องมองไปทางทิศทางของหลานเสี่ยวถาง

เขากล่าวต่อว่า:“แต่ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนที่ยากจนคนหนึ่ง ผมจะมีเงินได้อย่างไรกัน?ดังนั้นเมื่อฟังเธอพูดว่าเธอชอบมันอย่างมากแล้ว ผมจึงทำได้เพียงไปเรียนการวาดภาพเท่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่เดือนของการพยายาม ผมก็วาดทิวทัศน์และมอบให้เธอ ผมจำได้ว่าตอนนั้นเธอมีความสุขมากและประหลาดใจที่ผมนั้นเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์แต่กลับสามารถวาดภาพได้ วันนั้นดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจและรู้สึกเหลือเชื่อมาก ผมยังจำภาพเหล่านั้นได้ดีจนถึงทุกวันนี้”

ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของหลานเสี่ยวถาง

ผู้คนในนั้นเหมือนเป็นคนสอดรู้สอดเห็น จู่ ๆสายตาของทุกคนก็จ้องมองมาทางหลานเสี่ยวถางทันที!

หลานเสี่ยวถางรู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกแสงไฟส่องด้วยแสงหลายหมื่นวัตต์ชั่วขณะหนึ่ง และรู้สึกประหม่ามากจนไม่สามารถหลบซ่อนได้

ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลาแยกแยะความหมายคำพูดของหันจื่ออี้ และเธอก็ไม่มีแรงที่จะคิด ที่แท้เป็นเพราะคำพูดของเธอเพียงแค่ประโยคเดียว เขาจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาสองชั่วโมงทุกวัน เพราะแอบไปเรียนวาดรูปนี่เองเหรอ

เพราะเมื่อหลานเสี่ยวถางไม่รู้ควรทำอย่างไรดีอยู่นั้น และเธอก็มองเห็นสือมูเฉินไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด

เขาหันไปทางด้านข้าง ดวงตาที่เย็นชาของเขาจ้องมองมาที่ตัวเธอ

เมื่อทั้งสองสบตากัน หลานเสี่ยวถางไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้างเลย เธอเปิดริมฝีปากของเธอพร้อมพูดว่า: “มูเฉิน——”

น้ำเสียงที่เธอพูดออกมานั้นเบามาก ราวกับว่าอ้าปากทำท่าทางเฉย ๆ เธอแค่รู้สึกว่าคอแห้งแหบและรู้สึกทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาเพียงแค่ชำเลืองมองเธอสักครู่เท่านั้น แล้วหันศีรษะกลับ แต่หลานเสี่ยวถางยังคงอยู่ในท่าทางเดิม ไม่ขยับเขยื้อน เธอรู้สึกชาไปทั้งตัว

ในเวลานี้พิธีกรยิ้มและพูดขึ้นว่า:“แล้วคุณหันคะ ถ้าเช่นนั้นสาวสวยที่นั่งอยู่ข้าง ๆคุณคือผู้หญิงที่คุณเพิ่งพูดถึงหรือเปล่าคะ?”

นี่คือสิ่งที่ทุกคนในกลุ่มผู้ชมอยากรู้มากเช่นกัน และเป็นสิ่งที่หลานเสี่ยวถางกลัวการได้ยินมากที่สุด

เธอต้องการปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอ และต้องการหาสถานที่เพื่อมุดตัวหนีออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม สปอตไลท์เหนือศีรษะของเธอยังคงส่องมาที่ตัวเธอ

เธอเห็นว่าใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ การแต่งหน้าของเธอดูวิจิตรงดงาม แต่เดิมผมของเธอนั้นไม่ยาวมากนัก แต่ภายใต้สไตล์การออกแบบของฟู่สีเกอ เธอก็ดูสง่างามและเป็นประกายมากขึ้น

เธอสวมชุดเดรสสีแดงปาดไหล่ ยกเว้นช่วงเอวที่มีรอยทบ 2-3 ทบบนเนื้อผ้าเธอ พื้นผิวผ้าซาตินเนียนละเอียดแสดงให้เห็นรูปร่างของเธออย่างชัดเจน สูงส่งสง่างามและดูเป็นผู้ดีมาก

ในขณะนี้หลานเสี่ยวถางดูเหมือนจะเห็นความตั้งใจของสือมูเฉินแล้ว

เธอเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น ทั้ง ๆที่รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่เธอก็อดโทษตัวเองไม่ได้

ในเวลานั้นทุกคนต่างนั่งโต๊ะที่มีป้ายเขียนไว้ มีแต่โต๊ะของหันจื่ออี้เท่านั้นที่ไม่มีป้ายอะไรเขียนไว้เลย ตอนที่เธอตัดสินใจนั่งลงนั้นเธอก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ และเธอก็คิดว่านี่เป็นที่นั่งของสือมูเฉิน

วันนี้มันช่างน่าอึดอัดอย่างมาก สือมูเฉินจะจัดการกับมันอย่างไร?

จากนี้ไปเธอจะยืนอยู่ข้างสือมูเฉิน และเมื่อเขาต้องการแนะนำเธอให้กับคนอื่น ๆรู้จักนั้น เขาควรจัดการอย่างไร?

ทุกคนในงานนั้นต่างก็กำลังรอคำตอบของหันจื่ออี้อยู่ ดังนั้นห้องโถงใหญ่จึงเงียบมากแม้เข็มหล่นสักเล่มก็ยังได้ยิน

หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นและหันมองไปทางสือมูเฉิน และจึงหันไปมองหันจื่ออี้บนเวที

เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือ หวังเพียงหันจื่ออี้คงเห็นแก่ความสัมพันธ์ตอนที่เคยเรียนด้วยกัน อย่าทำให้เธอรู้สึกแย่กับเหตุการณ์เช่นนี้

เธอมองตรงไปที่หันจื่ออี้ กลัวว่าคนรอบข้างจะมองเห็นริมฝีปากของเธอ ดังนั้นเธอจึงสามารถพูดกับเขาได้ด้วยทางสายตาของเธอเท่านั้น

เมื่อหลานเสี่ยวถางจ้องมองมาที่หันจื่ออี้ เขาก็เข้าใจได้ในทันที

เธอกำลังขอร้องเขา

เธอหวังว่าเขาจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ในอดีตที่ผ่านมาระหว่างเธอและเขา และไม่ต้องการที่จะมีความเกี่ยวข้องใด ๆกับเขาในที่สาธารณะแบบนี้!