อารมณ์ในจิตใจของหันจื่ออี้ค่อนข้างซับซ้อน
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าในใจของเขานั้นไม่เต็มใจเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าเขาและหลานเสี่ยวถางรู้จักกันมานานแล้ว เป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับครอบครัวของเขา เลยทำให้เขาต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนภายนอกถึงทำให้รู้สาเหตุการตายของคุณพ่อและคุณแม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงพลัดพรากจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิตของเขา
เขาไม่เต็มใจเลยจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เมื่อเขาเห็นสีหน้าท่าทางที่ซีดเซียวและไร้ที่พึ่งของหลานเสี่ยวถาง เขาก็รู้สึกปวดใจอีกแล้วครั้ง
เขาไม่ต้องการทนเห็นเธอเจ็บปวด
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าถ้าเขาตอบว่าใช่ เป็นไปได้มากว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินนั้นคงเกิดรอยร้าวขึ้นอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะมีโอกาสแทรกแซงได้ และสามารถแย่งเธอกลับคืนมา
แต่เมื่อเขาสบตากับหลานเสี่ยวถาง เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาต้องการยอมรับในตอนแรก ได้พุ่งออกมาถึงปลายลิ้นของเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถส่งเสียงพูดมันออกมาได้
ท้ายที่สุดแล้วเขายอมที่จะเจ็บปวดคนเดียว และจะไม่ยอมให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยอย่างแน่นอน……
หันจื่ออี้ไม่ได้มองที่หลานเสี่ยวถางอีกต่อไป แต่หันไปมองทุกคนด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดว่า: “ทุกคนอยากรู้จริง ๆเหรอครับ?”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินคำเหล่านั้น หัวใจของเธอก็ตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก
ด้านล่าง ทุกคนพยักหน้ารอคำตอบอย่างตื่นเต้น และผู้หญิงหลายคนก็ตาลุกวาวรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
ท้ายที่สุด ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าเช่นนั้นนี่คือคู่รักในเทพนิยายในวัยเด็กแน่นอนสินะ!
หันจื่ออี้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย จ้องมองไปที่ภาพวาดทิวทัศน์ ราวกับว่ากำลังมองตัวเองในตอนนั้นผ่านภาพนี้อยู่
ใช้เวลาประมาณสองนาทีก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และพูดกับทุกคนโดยไม่ลังเลว่า :“หญิงสาวคนที่นั่งถัดจากผมนั้นเป็นพนักงานบริษัทของผม วันนี้ผมได้โทรหาฝ่ายบุคคลจัดเตรียมหญิงสาวหนึ่งคนเพื่อมาออกงานเป็นคู่ของผม เกรงว่าคนในงานจะมีคนพิเศษอยู่ข้างกาย แต่ผมอายเพียงเล็กน้อยที่จะปรากฏตัวขึ้นในงานเพียงคนเดียว”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาแสดงสีหน้าเป็นทุกข์อย่างมาก: “แต่ถ้าพวกคุณยังจะเค้นเอาคำตอบให้ได้ พวกคุณก็ทำให้ผมเสียหน้าเข้าแล้วจริง ๆ!”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังจะได้รับการลงโทษอย่างทรมาน แต่เมื่อหันจื่ออี้พูดประโยคแบบนี้ออกมา เธอเหมือนได้รับการปล่อยตัวหลังจากรับโทษยังไงยังงั้นแหละ
เธอมองไปที่หันจื่ออี้ด้วยแสงจาง ๆ ในดวงตาของเธอ
มันเป็นแสงแห่งความซาบซึ้งใจและเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ที่ผ่อนคลายอย่างกะทันหันภายใต้ความตึงเครียด
หลังจากที่หันจื่ออี้พูดจบ เขาก็เดินลงมาจากเวทีอย่างสง่า และนั่งลงข้าง ๆหลานเสี่ยวถาง
ส่งผลให้ดวงตาที่อยากรู้อยากเห็นทั้งหมดนั้นค่อย ๆหายไป และทุกคนก็กลับไปให้สนใจในหัวข้อสำคัญของวันนี้
“ขอบคุณคุณมากนะคะ” หลานเสี่ยวถางกล่าวกับหันจื่ออี้
เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งหลานเสี่ยวถางจะขอบคุณเขาเพราะเหตุผลนี้เลย เพราะเธอไม่อยากมีความสัมพันธ์ใด ๆเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก หันจื่ออี้รู้สึกเพียงว่าหัวใจของเขากระตุกเจ็บจี๊ดอย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ขยายออกไปทั่วร่างกาย และความขมขื่นก็เกิดขึ้นในใจของเขา
เขายิ้มจาง ๆ ให้เธอ: “ขอเพียงคุณไม่ร้องไห้ก็พอแล้ว”
ตอนที่เขากำลังจะพูดบนเวทีนั้น เขาเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับว่าเธอกำลังจะร้องไห้ออกมายังไงยังงั้นแหละ หันจื่ออี้ถอนหายใจ และแน่นอนว่าเขาไม่เห็นเธอร้องไห้
หลานเสี่ยวถางหลับตาลงเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ในตอนนี้บนเวทีนั้นได้เปลี่ยนโฟกัสไปที่อย่างอื่นแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศเบื้องหลังก็เข้มข้นดุเดือดมากขึ้น เมื่อสร้อยคอหยกเส้นสุดท้ายปรากฏขึ้น ก็เริ่มเป็นจุดสนใจของผู้ชมอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางมองไปที่สร้อยคอเส้นนั้น และหัวใจของเธอจากที่ผ่อนคลายลงก็ตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง
สร้อยคอบริจาคเส้นนั้นเป็นเส้นที่สือมูเฉินได้บอกกับเธอเมื่อเช้านี้
ตามแผนก่อนหน้านี้ หลังจากการประมูลการของบริจาคนี้สิ้นสุดลง พิธีกรจะขอให้สือมูเฉินขึ้นไปพูดบนเวทีสองสามคำ
ดังนั้นจะใช้โอกาสนี้ที่มีคนระดับสูงในหนิงเฉิงจำนวนมากที่อยู่ในงานนี้ เขาจะแนะนำหลานเสี่ยวถางให้ทุกคนรู้จัก และในเวลาเดียวกันจะประกาศว่าพวกเขาจะจัดงานแต่งงานในปลายปีนี้
แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปจนหมดเพียงเพราะนั่งผิดที่ และครู่หนึ่ง……
ฝ่ามือของหลานเสี่ยวถางก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ในเวลานี้ พิธีกรได้เริ่มอธิบายแล้วว่าสร้อยคอหยกเส้นนี้หายากเพียงใดและมีค่าเพียงใด จากนั้นจึงประกาศเริ่มการประมูลทันที
หลานเสี่ยวถางมองไปที่แผ่นหลังของสือมูเฉิน เมื่อราคาการประมูลเพิ่มสูงขึ้น ในใจของเธอก็รู้สึกกังวลใจและตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ที่เขาเหลือบมองเธอเมื่อสักครู่นี้ เขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวอีกเลย
เธอยังคงถือโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่อย่างนั้น รอคอยเขาหยิบโทรศัพท์มือถือและตอบกลับมาหาเธอ
แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาการประมูลนั้นยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายการประมูลเสร็จสิ้นแล้ว โทรศัพท์มือถือของหลานเสี่ยวถางยังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม
ในเวลานี้ พิธีกรได้พูดขึ้นว่า: “ลำดับต่อไปขอเชิญผู้บริจาคของเรา คุณสือมูเฉินหนุ่มฮอตแห่งหนิงเฉิงขึ้นเวทีเพื่อกล่าวอะไรกับทุกคนค่ะ!”
สือมูเฉินก้าวขึ้นเวที พยักหน้าเบา ๆ ให้คนที่นั่งอยู่ด้านล่าง และเริ่มกล่าว
หลานเสี่ยวถางจ้องมองที่เขาอย่างไม่ละสายตาเลยสักนิด แต่เธอพบว่าเขาไม่ได้มองทางเธอเลยสักครั้งเดียว ราวกับว่าเธอเป็นเหมือนคนแปลกหน้ายังไงยังงั้นแหละ
หัวใจของเธอค่อย ๆจมดิ่งลงทีละน้อย เห็นได้ชัดว่าในงานนั้นอากาศไม่ร้อนเลย แต่เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองมีเหงื่อออกทั่วร่างกาย
สิ่งที่สือมูเฉินพูดมาทั้งหมดนั้นหลานเสี่ยวถางได้ยินหมดแล้ว แต่กลับไม่ผ่านสมองเลยสักนิด เธอกำลังคิดอยู่ในใจว่าหลังจากจบงานแล้วเธอจะอธิบายให้เขาอย่างไรดี และอีกอย่างถ้าในอนาคตพวกเขาแต่งงานกัน คนในงานล้วนจำเธอได้หมดแล้ว เธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ในเวลานี้ พิธีกรได้ถามคำถามที่หลานเสี่ยวถางกลัวที่จะได้ยินที่สุดแล้ว: “คุณสือคะ จำไว้ว่าเมื่อเราส่งจดหมายเชิญให้คุณ คุณบอกว่าคุณจะพาภรรยาของคุณมาร่วมงานด้วย ไม่รู้ว่าภรรยาของคุณอยู่ในงานหรือเปล่าคะ?”
เมื่อสือมูเฉินได้ยินคำถามนี้ มุมริมฝีปากของเขาก็ค่อย ๆ ม้วนขึ้น ภายใต้แสงไฟที่ส่องนั้นดวงตาของเขาดูเคร่งขรึมและอันตรายมาก
เขาหยิบไมโครโฟนพร้อมพูดว่า:“เธออยู่ที่นี่แล้ว”
ทุกคนเหลือบมองไปยังที่นั่งของสือมูเฉิน แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองข้างของเขามีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่ง และอีกด้านหนึ่งมีชายคนหนึ่งอายุสี่สิบกว่า ๆนั่งอยู่
ดังนั้นทุกคนจึงมองไปที่สือมูเฉินด้วยสายตาที่สับสนมึนงง และรอให้เขาอธิบายเพิ่มเติม
มุมปากของสือมูเฉินลึกขึ้นเล็กน้อย และเสียงในไมโครโฟนก็เบาและเบาราวกับเสียงของเชลโล: “แต่ภรรยาของผมนั้นเป็นคนบ้างาน แม้ว่าจะมาแล้ว แต่เธอก็กลับไปทำงานแล้ว”
“ห๊ะ?” แม้แต่พิธีกรก็ยังตกใจ: “คุณสือคะ ภรรยาของคุณไปทำงานแล้วอย่างนั้นเหรอคะ?”
สือมูเฉินพยักหน้า สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมานั้นเหมือนจะไปในทางที่ดีแต่ก็แฝงด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่: “ใช่ครับ กำลังทำงาน”
หลานเสี่ยวถางเข้าใจความหมายของสือมูเฉินได้ในทันที
เมื่อกี้นี้หันจื่ออี้บอกว่าเธอเป็นพนักงานบริษัทของเขา และได้รับมอบหมายให้มาโดยฝ่ายบุคคลของบริษัท
ในขณะนี้สือมูเฉินกล่าวว่าภรรยาของเขากำลังทำงานอยู่ ซึ่งหมายความว่าหลานเสี่ยวถางกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆหันจื่ออี้ และไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น แต่กำลังทำงานอยู่
แม้ว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ แต่ในอนาคตในงานแต่งงานเมื่อเห็นเธอแล้วพวกเขาก็คงจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ พวกเขาก็จะได้ไม่เข้าใจผิด เพราะชายทั้งสองพูดเหมือนกัน
ฉันรู้สึกเพียงว่าหัวใจเต้นแรงถี่ขึ้นจนถึงลำคอ หลังจากคำพูดของสือมูเฉินจบลง เธอก็ค่อย ๆรู้สึกโล่งอกอีกครั้ง และในตอนนี้หลานเสี่ยวถางรู้สึกอยากจะร้องไห้มาก
เขาไม่ได้บอกว่าเธอไม่ได้มาและทำให้เขาโกรธ และไม่ได้บอกว่าภรรยาที่เรียกกันนั้นเป็นเพียงเพราะความเข้าใจผิด และเขาก็พูดตามที่ หันจื่ออี้พูด และได้ทำลายความอึดอัดไปจนหมด!
หลานเสี่ยวถางมองไปที่สือมูเฉิน รู้สึกเพียงแค่ว่าร้อนวูบวาบไปทั้งตัว และทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
ในตอนนี้ พิธีกรยิ้มและพูดว่า: “ดูเหมือนว่าภรรยาของคุณสือจะเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะสามารถครองใจผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างคุณสือได้! เพียงแต่ว่าเราต่างก็สงสัยว่าหน้าตาภรรยาของคุณเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณสือนั้นจะทำให้เราไขข้อข้องใจนี้ไปได้นะคะ?”
สือมูเฉินยิ้มจาง ๆ: “น่าจะเป็นวันที่แต่งงานกันแล้วล่ะ!”
“ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ!” พิธีกรรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย: “ฉันไม่รู้ว่างานแต่งของคุณสือและภรรยานั้น กำหนดขึ้นเมื่อไหร่คะ?”
“กำหนดวันแต่งงานน่าจะสิ้นปีนี้ครับ” ในขณะที่สือมูเฉินพูดอยู่นั้น เขาก็พูดติดตลกว่า:“เมื่อถึงเวลานั้น ผมหวังว่าภรรยาของผมสามารถทำงานให้เสร็จ ไม่ใช่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเธอจะแสดงเวอร์ชันสดเรื่อง “เจ้าสาวผู้หนีงานแต่ง” หรอกนะ
พิธีกรอดยิ้มไม่ได้: “คุณสือนี่เป็นคนติดตลกจริง ๆเลยนะคะ จะมีใครกล้าหนีงานแต่งแล้วทอดทิ้งคุณได้ล่ะคะ?”
“มันก็ถูกนะ ถ้าเมื่อถึงเวลานั้นเธอเอาแต่ห่วงเรื่องงานจนทิ้งผมไว้คนเดียวแล้วล่ะก็ ผมคงต้องพิจารณาปิดบริษัทของเธอเสียแล้วล่ะ!” ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น สายตาของสือมูเฉินก็เหลือบมองไปทางหันจื่ออี้ทันที
เมื่อทั้งสองสบตากัน แววตาทั้งคู่ดุเดือด
อย่างไรก็ตาม การปะทะกันนั้นเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น และก่อนที่ผู้คนที่อยู่รอบ ๆยังไม่ทันสังเกตเห็น สือมูเฉินก็ได้มอบไมโครโฟนให้กับพิธีกรแล้ว จากนั้นก็เดินลงเวทีอย่างสง่างาม
หลังจากเรื่องตลกดังกล่าว ไม่เพียงแต่คลายความอึดอัดบรรเทาลง แต่ผู้คนนั้นก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับภรรยาลึกลับคนนั้นของสือมูเฉินมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากสือมูเฉินบริจาคของล็อตสุดท้าย ดังนั้นเมื่อการประมูลสิ้นสุดลง และการต้อนรับงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ขณะนี้ไฟที่อยู่บนเวทีเริ่มเปิดแล้ว เดิมทีพิธีเปิดนั้นวางแผนไว้ว่าจะให้สือมูเฉินและภรรยาของเขาขึ้นมาเต้นรำเพื่อเป็นการเปิดพิธี เป็นเพราะว่านางเอกของงานเกิดติดงานอย่างกะทันหัน ดังนั้น พิธีกรจึงเลือกคู่ชายหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในงานหนึ่งคู่
จังหวะที่ผู้คนในงานเริ่มเข้าไปในงานเลี้ยงราตรีอีกห้องหนึ่งแล้ว หลานเสี่ยวถางก็รีบยื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และเตรียมที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ แล้วหาโอกาสไปอธิบายกับสือมูเฉินอย่างละเอียดอีกครั้งในภายหลัง
ทันทีที่เธอยืนขึ้น หันจื่ออี้ที่อยู่ข้าง ๆเธอก็ยืนขึ้นและพูดว่า:“เสี่ยวถาง คุณจะไปหาเขาเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม”
หันจื่ออี้เงียบไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า: “เขาเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่และฉลาดจริง ๆ เสี่ยวถางคุณได้พบสามีที่ดีแล้ว”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่หันจื่ออี้พูดแบบนี้ และอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ
มีความขมขื่นเล็กน้อยที่มุมริมฝีปากของเขา: “อย่างไรก็ตามผมยังคงยึดมั่นในมุมมองก่อนหน้านี้ของผมเช่นเดิม เสี่ยวถาง การที่เขาแต่งงานกับคุณนั้นบางทีจุดประสงค์ของเขาอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ท้ายที่สุดแล้วถ้าหากคุณไม่มีความสุข คุณสามารถกลับมาหาผมได้ตลอดเวลา ”
หลานเสี่ยวถางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เธอเห็นสือมูเฉินลุกขึ้นและเดินออกจากโต๊ะแล้ว เธอก็กังวลใจเล็กน้อย และเธอยังไม่ทันกล่าวคำลากับหันจื่ออี้ เธอก็รีบออกจากห้องประมูลทันที
ในขณะนี้ เกือบทุกคนก็ไปอยู่ฝั่งห้องจัดเลี้ยงแล้ว ดังนั้นเมื่อหลานเสี่ยวถางเดินออกมาจากห้องประมูล แทบจะไม่มีใครอยู่ตรงโถงทางเดินเลย
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาสือมูเฉินอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่โทรศัพท์มือถือของเธอเพิ่งเชื่อมต่อ เธอก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่คุ้นเคยดังมาจากไหนสักแห่งในทางเดิน
เสียงกริ่งดังเพียงครู่หนึ่งก็ถูกตัดสาย
ในขณะนี้ หลานเสี่ยวถางได้ยินการแจ้งเตือนข้างหูของเธอ: “ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ โปรดโทรอีกครั้งในภายหลัง……”
เธอเข้าใจบางอย่างได้ในทันที เธอเพิ่งจะวางสายและเก็บโทรศัพท์ เมื่อเธอกำลังคิดอยู่ว่าสือมูเฉินอยู่ที่ไหน เธอก็รู้สึกว่าแขนของเธอถูกกระชับแน่นขึ้น และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็เหมือนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคย