บทที่ 169 ถ้าร้องอีก เครื่องสำอางจะหลุดนะครับ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

บรรยากาศของผู้ชายรายล้อมรอบตัวเธอในทันที ในความคุ้นเคยนั่น มันกลับแฝงไปด้วยกลิ่นของความเย็นยะเยือกหลายส่วน

“มูเฉิน——” คำพูดของหลานเสี่ยวถางยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยออกมาจากปาก ริมฝีปากก็ถูกปิดเอาไว้เสียแล้ว

ร่างทั้งร่างของเธอในตอนนี้ยังไม่ทันที่จะได้ยืนอย่างมั่นคงดีเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้ว ฟันของเธอจึงปะทะเข้ากับฟันของเขาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเอง ก็มีความเจ็บแล่นขึ้นมาในทันที

เธอหายใจเสียงต่ำ สือมูเฉินกลับใช้โอกาสนี้รุกล้ำเข้าไปในโพรงปากของเธอในทันที

เขาเกี่ยวพันอยู่ในโพรงปากของเธออย่างบ้าคลั่ง ทำให้ลมหายใจของเขารุกรานอย่างเอาเปรียบไปยังความรู้สึกของเธอ

หลานเสี่ยวถางพิงเข้ากับแผ่นอกของสือมูเฉิน ในที่สุดก็ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว

มือของเธอคว้าจับเข้าที่ชุดสูทของเขา พื้นผิวของความเรียบเนียนกำลังสัมผัสอยู่ภายใต้ฝ่ามือร้อน ๆ

หลานเสี่ยวถางทราบอยู่แล้วว่าสือมูเฉินจะต้องโกรธแน่ ๆ มิฉะนั้นแล้ว คงไม่จูบเธออย่างรุนแรงในทันทีเช่นนี้หรอก

แต่ทว่า เธอคิดที่อยากจะอธิบาย ปากกลับคล้ายราวกับว่าถูกอะไรติดเอาไว้อยู่ ดังนั้นแล้วคำอธิบายทั้งหมดและความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นถูกปิดอยู่ภายในอกไปเสียแล้ว ไม่สามารถที่จะแสดงมันออกมาได้

ภายในบรรยากาศที่เงียบสงบนั้นเอง เธอได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นอย่างชัดเจน ตึกตักตึกตัก ปะทะเข้ามาในหู

แต่ทว่าเป็นเพราะว่าร่างกายนั้นมีเพียงแค่ชั้นบาง ๆ กั้นอยู่เท่านั้นเอง เมื่อแนบชิดสนิทเข้ากับของของสือมูเฉินไปแล้ว เสียงของหัวใจของเขาก็ดังเข้ามาให้ได้ยินเช่นเดียวกัน มันดังผ่านเสื้อผ้าของเขามาถึงบนร่างกายของเธอ

ในโถงทางเดิน แสงไฟมันมืดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ปิดเปลือกตาลง ราวกับว่ากำลังอยู่ในบรรยากาศอันมืดสนิทเลยก็ไม่ปาน

หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าเท้าที่พื้นพรมด้านล่างอ่อนแรงและแทบจะเป็นเพราะว่าถูกสือมูเฉินใช้แรงประคองเอาไว้อยู่นั้นเอง เธอยืนไม่มั่นคง จึงทำได้เพียงแค่คว้าจับเข้าที่ช่วงเอวของเขาเอาไว้ แล้วอาศัยแรงที่เขากดทับลงมาที่หน้าอกของเธอแทน

เนิ่นนาน เขาถึงจะค่อย ๆ ช้าลงแล้ว หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ ผละออกจากเธออย่างช้า ๆ

ตามต่อมาด้วยระยะห่างที่เขาเว้นเอาไว้ เธอรู้สึกได้ว่าอากาศในช่วงหน้าอกค่อย ๆ กลับคืนมาแล้ว แต่ทว่า แรงกดดันจากร่างทั้งร่างรอบตัวกลับยังไม่มลายหายไปเลย

แม้กระทั่ง ตั้งแต่แรงกดดันต่ำ ๆ ที่ส่งผ่านออกมาจากร่างของสือมูเฉิน ทำให้เธอรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาในทันที ร่างทั้งร่างก็เริ่มเย็นขึ้นมาเสียแล้ว

ในที่สุดเขาก็ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ ภายใต้แสงมืดมิดที่เลือนรางนั่น หลานเสี่ยวถางกลับมองเห็นไฟโทสะภายในดวงตาของสือมูเฉินได้อย่างชัดเจน

ไฟโทสะนั่นล้ำลึกเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเป็นหลุมไฟสองหลุมที่ไม่มีที่สิ้นสุดเลยก็ไม่ปาน ภายใต้ดวงตาสวยคู่นั้นเอง กลับมีความรู้สึกอันตรายบางอย่างที่ดึงดูดให้เข้าหา

เขาเอ่ยปากขึ้นมาก่อน น้ำเสียงกดต่ำกว่าในยามปกติ อีกทั้งยังกดข่มโทสะเอาไว้อย่างสุดแรงด้วยว่า “เสี่ยวถางครับ ผมโกรธมากเลย”

เป็นครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาว่าโกรธตรง ๆ เช่นนี้ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เดิมคำพูดเดิมทีที่ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้สมองกลับขาวโพลนไปหมดแทน

เขาเอ่ยขึ้นต่อว่า “คุณรู้ไหมว่าเพื่อวันนี้แล้วผมทุ่มเทไปกับมันตั้งเท่าไหร่? สร้อยหยกมรกตเส้นนั้น ก่อนหน้านี้ผมไหว้วานให้คนไปซื้อมันมาโดยเฉพาะ เป็นเพราะว่าทราบมาว่าในงานเลี้ยงคืนนี้ลูกของนายธนาคารหนิงเฉิงชื่นชอบมัน ย่อมต้องจ่ายเยอะเพื่อที่จะซื้อมันไปแน่ ๆ ราคา แล้วก็ย่อมต้องเป็นรายการสุดท้ายที่จะประมูลกันด้วย ชุดของพวกเรา ก็สั่งตัดเอาไว้ตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังมีการเต้นรำเปิดงานเมื่อครู่นี้อีก……”

ร่างของหลานเสี่ยวถางแข็งค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะสบตามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะที่มักจะไม่ได้เห็นได้ง่าย ๆ นักของสือมูเฉิน รู้สึกเพียงแค่ว่าราวกับว่าตนเองนั้นทำผิดอะไรเข้าให้ไปแล้วจริง ๆ

“คุณรู้หรือเปล่าครับ งานเลี้ยงเช่นนี้ในวันนี้ คนมีหน้ามีตามีฐานะทั้งหมดของหนิงเฉิงก็แทบจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่กันหมดเลย พวกเขาเห็นว่าคุณนั่งอยู่ทางด้านข้างของหันจื่ออี้ อีกทั้งสองสามเดือนหลังจากนี้ กลับเห็นว่าคุณมาเป็นเจ้าสาวของผม พวกเขาจะคิดอย่างไง?!” สือมูเฉินพูดไป จู่ ๆ ก็พุ่งชกหมัดหนึ่งออกไปทันที

หลานเสี่ยวถางตกใจจนหดตัวไปทางด้านหลัง รู้สึกว่าสายลมเย็น ๆ นั่นพัดผ่านใบหูไปเมื่อครู่นี้เอง อีกทั้งยังมีเสียงดังสะเทือนเข้ามาในใบหูของเธอด้วย

หมัดของสือมูเฉินตกกระทบเข้ากับกำแพงของโถงทางเดิน เป็นเพราะว่าที่ด้านบนมีกระดาษแผ่นป้ายหนา ๆ ติดเอาไว้อยู่ ดังนั้นแล้ว เสียงจึงดังเล็กน้อย แต่ทว่า หลานเสี่ยวถางก็มองเห็น ข้อต่อของมือของสือมูเฉินแทบจะได้รับบาดเจ็บแล้ว มีเลือดไหลซึมออกมาด้วย

สือมูเฉินไม่ได้เอ่ยอะไร อีกทั้งก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลยสักก้าวด้วย ที่โถงทางเดิน เงียบสงบมาก แต่ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน

สายตาของหลานเสี่ยวถางค่อย ๆ หันไปมองที่มือของสือมูเฉิน ในตอนที่มองเห็นเลือดนั้นเอง ดวงตาของเธอคล้ายราวกับว่าเห่อร้อนขึ้นมาเลยก็ไม่ปาน หดเล็กลง หลังจากนั้น เธอก็ยกมือขึ้นมา คว้าจับเข้าที่มือที่ได้รับบาดเจ็บของเขาอย่างสั่นเทาเล็กน้อย

ร่างทั้งร่างของเขาแข็งค้าง ไม่ได้เอ่ยอะไร และก็ไม่ได้ขยับด้วย

หลานเสี่ยวถางยกมือของสือมูเฉินขึ้นมา มองอยู่ในสายตา ก่อนจะสบตามองบาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง

ยังดี เป็นเพราะว่ากระดาษบนกำแพงนั้นหนามาก ด้านในคล้ายราวกับว่ามีฟองน้ำกั้นเสียงเอาไว้อยู่ชั้นหนึ่งด้วย ดังนั้นแล้ว มือของสือมูเฉินจึงมีแค่รอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น แทบจะไม่หนักหนาอะไรเลย

หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้นสบตามองเขา ริมฝีปากขยับไปมา หวังอยากจะพูดให้เขาไปทำแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ หวังอยากจะเอ่ยอธิบายว่าตนเองไม่ได้จงใจที่จะไปนั่งข้าง ๆ หันจื่ออี้ แต่ทว่า สมองราวกับว่ายุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าควรที่จะต้องเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี

ในตอนนั้นเอง หลานเสี่ยวถางรู้สึกอิจฉาผู้หญิงที่มีทักษะการพูดที่ดีพวกนั้นเล็กน้อย ถ้าหากว่าแฟนหนุ่มหรือสามีบันดาลโทสะขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะทำตัวออดอ้อน แล้วเป็นฝ่ายเข้าไปจุ๊บสักครั้งหนึ่งก่อนเอง โทสะของผู้ชายก็แทบจะมลายหายไปแล้ว

เธอดึงมือของสือมูเฉินมาไว้ในฝ่ามือ หวังอยากที่จะเข้าใกล้ แต่ทว่า สองขานั้นราวกับว่าถูกตะปูตอกเอาไว้ก็ไม่ปาน เดิมก็ไม่สามารถยกได้เลยแม้แต่นิดเดียว

หลานเสี่ยวถางกระวนกระวาย อีกยังก็ยังโกรธตนเองด้วยที่ตอนนี้กลับนิ่งเงียบ เดิมก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกอีกด้วย ในตอนนี้กลับกระวนกระวายใจจนเหงื่อไหลออกมาแล้ว

กลับกันกลับเป็นสือมูเฉินที่เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาก่อน แล้วเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ช่างมันเถอะครับ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้จงใจหรอก”

หลานเสี่ยวถางชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสบตามองสือมูเฉินด้วยความตกตะลึง

อารมณ์ของเขาผ่อนลงไปแทบจะเป็นอบอุ่นขึ้นเยอะเลย แม้กระทั่งเส้นที่แข็งตรึงที่ช่วงคางของเขาก็ผ่อนคลายลงไปแล้วด้วย

เขาถอนหายใจออกมายาว ๆ ครั้งหนึ่ง “เมื่อครู่นี้ผมก็แค่โกรธเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ เสี่ยวถาง คุณไม่ต้องกลัวนะ”

“มูเฉิน?” หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้นมองเขา “คุณเชื่อฉันหรือคะ?”

เขาพยักหน้า “เมื่อครู่นี้ผมออกมาจากโถงประมูลมา ก็เห็นข้อความที่คุณส่งมาให้ผมแล้วละครับ”

หัวใจของหลานเสี่ยวถางคลายตัวในทันที แต่ทว่าจมูกกลับรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแทน แม้กระทั่งดวงตาก็รู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาแล้วด้วย “มูเฉินคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ ฉันพึ่งมาถึงที่นี่ ก็มีพนักงานเข้ามาคุยกับฉันแล้ว บอกว่าที่นั่งของฉันอยู่ที่แถวสอง เผอิญ ในตอนนั้นหันจื่ออี้ก็ยังไม่มาด้วย ฉันก็เลยนึกไปเองโดยธรรมชาติเลยว่านั่นต้องเป็นที่นั่งของคุณกับฉันแน่เลย”

สือมูเฉินไม่เอ่ยอะไร อีกทั้งยังนิ่งเงียบและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วย หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ คุณยังจำพนักงานคนนั้นได้ไหมครับ?”

หลานเสี่ยวถางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ค่ะ ถ้าหากว่ามายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้วล่ะก็ ฉันก็คงจะสามารถจำได้ค่ะ”

“ครับ” สือมูเฉินเอ่ย “ผมจัดการเอง”

นัยน์ตาของหลานเสี่ยวถางสบตามองไปยังบาดแผลของสือมูเฉิน “มูเฉินคะ คุณไปทำแผลแล้วใส่ยาฆ่าเชื้อก่อนดีไหมคะ?”

“ทราบแล้วครับ” เขาพยักหน้า

เธอเห็นว่าเขากำลังจะหมุนตัวจากไปแล้ว หัวใจของเธอก็สับสนขึ้นมาทันที ก่อนจะคว้าดึงปลายเสื้อของสือมูเฉินเอาไว้ แล้วเอ่ยถามเสียงเบาขึ้นมาว่า “มูเฉินคะ คุณยังโกรธฉันอยู่หรือเปล่า?”

สือมูเฉินมองหลานเสี่ยวถางที่ยังยืนอยู่ตรงหน้า เธอในตอนนี้นั้น เป็นเพราะว่าสวมใส่รองเท้าส้นสูงอยู่ จึงไม่ได้ตัวเล็กเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขาขนาดนั้นแล้ว แต่ทว่า ก็ยังคงสูงแค่ปลายจมูกของเขาเท่านั้น

ในตอนที่เธอช้อนสายตาขึ้นมามองเขา ในดวงตามีหยาดน้ำอยู่เล็กน้อย ดูแล้วทั้งไร้ความผิดทั้งน่าสงสารจับใจ ราวกับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกเจ้าของถอดทิ้งเลยจริง ๆ

เรื่องราวในวันนี้ หากบอกว่าไม่โกรธเลยก็จะดูปลอม ในเมื่อ เป็นเขาที่รอคอยจังหวะที่เหมาะสมที่สุดนี้อยู่นานแล้ว บวกเข้ากับ เขาที่ตระเตรียมอะไรไว้อย่างมากมาย

อีกทั้งหลังจากเรื่องวันนี้แล้ว ในงานเลี้ยงย่อมต้องมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่จะสามารถจดจำใบหน้าของหลานเสี่ยวถางได้ อีกทั้งในงานมงคลสมรสของพวกเขา เกรงว่าก็อาจจะยังไม่ลืม

แต่ทว่า เธอนั้นกลับไร้ความผิดจริง ๆ เขารู้ว่าเธอรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ไม่มีทางทำเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

สือมูเฉินถอนหายใจเบา ๆ ออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงหลานเสี่ยวถางเข้ามาในอ้อมกอด

จู่ ๆ ก็ถูกกอดอย่างอบอุ่น ดวงตาของหลานเสี่ยวถางปูดบวม ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงมากแล้ว หยาดน้ำตาอดไม่ได้ที่จะไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างแล้วหยดลงบนไหล่ของสือมูเฉินสองหยด

เขายื่นมือไปลูบหลังเธอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหมดคำจะพูดว่า “ถ้ายังร้องอีก เครื่องสำอางจะหลุดแล้วนะครับ”

หลานเสี่ยวถางกุลีกุจอกักเก็บน้ำตาทันที สูดจมูกไปมา ยังคงเอ่ยถามขึ้นมาเช่นเดิมอีกว่า “มูเฉินคะ คุณยังโกรธฉันอีกหรือเปล่าคะ?”

สายตาของสือมูเฉินหลุบมองเธอ “ใช่ โกรธครับ ดังนั้นกลับไปแล้วก็คิดให้ดี ๆ ด้วยล่ะว่าจะง้อผมอย่างไร”

จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็นึกถึงคืนนั้นขึ้นมาได้ทันที ทันใดนั้นเอง แม้กระทั่งใบหูก็แดงขึ้นมาเสียแล้ว

เป็นเพราะว่าระยะห่างของทั้งสองคนนั้นอยู่ในกันมา เธอกลัวว่าสือมูเฉินจะรับรู้สึกเสียงหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งของเธอในตอนนี้ กระทั่งรีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อทำลายความเงียบทันทีว่า “หลังจากนี้ฉันจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นค่ะ ไม่ให้คนใจร้ายมารังแกแล้ว”

สือมูเฉินพยักหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกและแรงอาฆาต “ไม่ว่าวันนี้จะเป็นใคร ผมจะไม่ปล่อยมันไปอย่างแน่นอน!”

หลานเสี่ยวถางถูกน้ำเสียงของเขาทำให้เย็นยะเยือกไปแล้ว เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา “มูเฉินคะ ฉันสร้างปัญหาให้คุณเพิ่มแล้วหรือเปล่า?”

“ช่างมันเถอะครับ ผู้หญิงก็คือความยุ่งยากทั้งหมดนั่นแหละ” สือมูเฉินช่วยหลานเสี่ยวถางจัดแจงทรงผมไปมา “หลังจากนี้ก็จำไว้อย่างเชื่อฟังนะครับ จะต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มาก ๆ นะ”

หลานเสี่ยวถางรีบพยักหน้าหงึกหงักในทันที

สือมูเฉินตบเข้าที่แผนหลังของเธอเบา ๆ สองสามที “เด็กดี ผมเข้าไปก่อนแล้วนะครับ”

“ค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า

รอให้สือมูเฉินเดินเข้าไปก่อนครู่หนึ่ง หลานเสี่ยวถางถึงหันมาจัดแจงอารมณ์ของตนเองให้ดี หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่

เธอในตอนนี้ เทียบกับก่อนหน้านี้ ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกันเป็นอย่างมากแล้ว

สายตาของเธอกวาดมองภายในห้องโถงใหญ่อยู่ครูหนึ่ง ก่อนจะเห็นสือมูเฉินที่ยืนอู่ท่ามกลางกลุ่มคน

ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ชัดเจนนัก แต่ทว่า บนศีรษะของเขาราวกับว่ามีแสงไปส่องอยู่เลย ดังนั้นจึงสามารถเรียกสายตาจากทุกคนได้อย่างง่ายดาย

หลานเสี่ยวถางกำลังจับจ้องไปที่สือมูเฉิน ก็ได้ยินเสียงเปียโนดังขึ้นจากทางด้านข้างแล้ว ก่อนจะมีเสียงดีดดังขึ้นมา

เธอหันศีรษะกลับไปมอง ก่อนจะอดที่จะเบิกตากว้างไม่ได้

ในนั้นมีหลานเล่อซินที่กำลังสวมใส่ชุดเดรสสีขาวทั้งตัวอยู่ กำลังนั่งอยู่ที่ด้านหน้าของเปียโน เรียวนิ้วของเธอขาวสะอาด ก่อนจะเต้นรำบนตัวโน้ตสีดำไม่หยุด รวดเร็วมากจนคล้ายราวกับว่าเป็นผีเสื้อที่กำลังโบยบินอยู่บนดอกไม้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา

เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันนะ? หรือว่าสถานการณ์น่าอึดอัดเมื่อครู่นี้ จะเป็นหลานเล่อซินที่เป็นคนวางแผนจัดการหรือ?

ก่อนหน้านี้หลานเสี่ยวถางเคยสงสัยเธอมาก่อน แต่ทว่า ก็คิดอีกว่าหลานเล่อซินคงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนัก อีกทั้งก็ไม่มีเส้นสายอะไร ดังนั้นแล้ว หลังจากนั้นจึงทำความสงสัยที่มือต่อเธอนั้นเอาไว้อยู่ท้ายสุดแทน

แต่ทว่า ตอนนี้……

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงผู้ชายเสียงหนึ่งดังขึ้นมาที่ด้านข้างใบหูทันที “เสี่ยวถาง ช่วงเวลาราวกับว่าย้อนกลับไปตอนยังเด็กเลยเนอะ ในตอนนั้น ฉันก็เคยมองเธอผ่านทางหน้าต่าง มักจะเห็นเธอยืนอยู่ที่ทางด้านข้างของเปียโนอยู่บ่อย ๆ ฟังพี่สาวของเธอเล่นเปียโน”

หันจื่ออี้รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย “ในตอนนั้น ที่บ้านฉันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดังนั้นแล้ว เห็น ๆ อยู่ว่าเธอนั้นอยากที่จะเล่นมันมาก ก็ทำได้แค่เหมือนกันกับเธอนั่นแหละ ยืนอยู่ตรงเปียโน แล้วก็มองอย่างสนอกสนใจ”

พูดไป เขาก็หมุนตัวกลับมา สบตามองหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง ตอนนี้เธอเล่นเปียโนเป็นหรือเปล่า?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “ไม่ค่อยมีเวลาน่ะค่ะ”

ก่อนหน้านี้ สือมูเฉินบอกว่าจะสอนเธอ เธอก็อยากเรียนมาก แต่ทว่า เรื่องราวช่วงนี้ติดพันกัน เธอจึงไม่มีเวลาเลยจริง ๆ

หันจื่ออี้เอ่ยขึ้นอีกด้วยว่า “หวังว่าจะมีสักวันหนึ่งเลยจริง ๆ นะที่จะสามารถได้ฟังเธอเล่นเปียโนเองกับหู แล้วเล่นให้ฉันฟังน่ะ”

หลานเสี่ยวถางหัวเราะ “คุณไปตามหาภรรยาในอนาคตของคุณแล้วให้เธอเล่นให้คุณฟังดีกว่านะคะ!”

ใบหน้าของหันจื่ออี้แข็งค้างเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เสี่ยวถาง ได้ยินมาว่าเธอรับโครงการใหม่ของบริษัทซอฟต์แวร์แล้วหรือ?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “ค่ะ เป็นเพราะว่าค่อนข้างเหมาะสมกับการสร้างตัวในอนาคตของฉันด้วย ดังนั้นแล้วฉันจึงรับไปแล้ว อีกอย่างก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น ๆ ด้วย”

หันจื่ออี้เข้าใจความหมายของหลานเสี่ยวถางว่าไม่ได้เป็นเพราะตัวเขา เขาจึงทำได้เพียงแค่กดข่มความทรมานเอาไว้ในหัวใจแทน

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง หลานเล่อซินเล่นเพลงจบแล้ว ในตอนที่กำลังจะเล่นเพลงที่สองนั้นเอง สือมูเฉินก็เดินเข้าไปหาเธอแล้ว อีกทั้งนัยน์ตา ยังเข้มไปหมดเลยอีกด้วย