บทที่ 169 ช่วยคน

“ลุงฝู พี่ใหญ่ไป๋อยู่ส่วนใดของเมืองฉินโจวหรือ? ข้ากับถังถังจะเดินทางไปเมืองนั้น จะได้แวะเยี่ยมเยียนเขา” เว่ยฉิงพูด

“พวกท่านจะไปหานายน้อยหรือขอรับ” ดวงตาของลุงฝูเป็นประกายขึ้นมา

ตอนนี้ชายชรากังวลเกี่ยวกับเจ้านายของตัวเองมาก เขาเกิดลางสังหรณ์ที่บอกไม่ถูกขึ้นมา แต่จะให้พ่อบ้านฝูทิ้งภาระที่จวนสกุลไป๋เพื่อเดินทางไปหานายน้อยก็ดูจะเป็นเรื่องยากลำบากเกินไป ประกอบกับร่างกายที่ชราภาพด้วยแล้ว…การที่คุณหนูถังกำลังจะไปที่เมืองฉินโจวนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ดียิ่งนัก

ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้!

“ฮูหยินเว่ย ข้าฝากบอกนายน้อยว่าให้ดูแลตัวเองให้ดีนะขอรับ” ลุงฝูพูดจาฝากฝังไป๋มูหยางกับนาง

ถังหลี่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงพี่ใหญ่ของตนมาก นางพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

ลุงฝูตระหนักดีว่า ถังหลี่นั้นคือดาวนำโชคของนายน้อยอย่างแท้จริง หากนางได้เดินทางไปเมืองฉินโจว นายน้อยจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน! สิ่งนี้ทำให้เขาโล่งใจเป็นอย่างมาก! ลุงฝูบอกที่พักของไป๋มู่หยางในเมืองฉินโจว ก่อนจะยืนมองคนทั้งคู่ออกเดินทางไปอย่างมีความสุข

นายน้อยต้องทนทุกข์ทรมานมานานกว่ายี่สิบปี แต่เมื่อได้พบกับถังหลี่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเส้นชะตาของไป๋มู่หยางจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

หลังจากที่ถังหลี่และเว่ยฉิงสอบถามอย่างความชัดเจนแล้ว พวกเขาจึงออกเดินทางจากจวนสกุลไป๋ หญิงสาวหันไปมองสามีของตนก่อนจะถาม

“สามี เราจะออกเดินทางกันเลยหรือไม่?”

เว่ยฉิงมองไปทางภรรยา เขารู้ว่าที่จริงนางได้ตัดสินใจลงไปแล้วเพียงแต่อยากให้เขาสนับสนุนความคิดของนางเท่านั้น

“เอาล่ะ ออกเดินทางวันนี้เลย”

ทั้งสองรีบกลับไปที่บ้านก่อนจะเก็บสัมภาระ กล่าวคำลากับบุตรทั้งสองแล้วรีบไปที่ตลาดเพื่อจ้างรถม้าเดินทางไปยังเมืองฉินโจว

ในครั้งก่อนถังหลี่เดินทางไปฉินโจวกับไป๋มู่หยาง แม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายคนโตของนางแต่ก็ยังแตกต่างจากเว่ยฉิง อาจจะเป็นเพราะเขาคือสามีของนาง ถังหลี่ก็รู้สึกว่านางสามารถพึ่งพาเขาได้ทุกอย่าง

ถังหลี่ออกเดินทางพร้อมเว่ยฉิง นางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าเพื่อชมทิวทัศน์ คนขับรถม้าเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ นามว่าจางเฉียน เขามีบุคลิกร่าเริง

ชวนถังหลี่และสามีคุยไปตลอดทาง

“ข้าจะบอกให้นะพี่เว่ย ตัวข้าขับรถม้าผ่านถนนเส้นนี้หลายปีแล้ว รู้หมดว่ามีหลุมมีบ่อตรงไหน เวลาเจอทางขรุขระข้าจะชะลอรถเสมอ มันเลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าติดใจการบังคับรถม้าของข้า!”

การบังคับรถม้าของจางเฉียนนั้นมั่นคงมาก นั่งสบายยิ่งว่ารถม้าที่ถังหลี่นั่งในรอบที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ครั้งนั้นเป็นคนขับรถม้าจากจวนสกุลไป๋ด้วยซ้ำ

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าได้ยินมาว่าในฉินโจวเกิดสงครามคนเลยไม่ค่อยเดินทางไปกัน พี่เว่ยกับฮูหยินไปทำอะไรที่นั่นหรือ?”

“ไปเยี่ยมญาติน่ะ” เว่ยฉิงกล่าว

“เยี่ยมญาติหรือ? ญาติที่เดินทางไปเยี่ยมในเวลาเช่นนี้คงไม่ใช่ญาติธรรมดาใช่หรือไม่?”

“เป็นพี่ชายของข้าเอง” ถังหลี่กล่าว

“พี่ชายของภรรยาข้าเอง”

พวกเขาพากันพูดคุยและชมดูทิวทัศน์ไปตลอดการเดินทาง

ในช่วงบ่าย รถม้าหยุดพักที่ถนนกว้าง พวกเขากินอาหารกลางวันกัน ป้าจ้าวนั้นทำเตอปิ่ง[1]มาให้ไว้สำหรับกินระหว่างวัน นางห่อมาด้วยผ้าหลายชั้นแต่ก็ยังเย็นอยู่ดี เว่ยฉิงจึงจุดไฟเพื่อต้มน้ำร้อน

ถังหลี่ทานเตอปิ่งกับน้ำร้อนทำให้ท้องของนางอุ่นสบายมากยิ่งขึ้น หลังจากที่กินเตอปิ่งจนหมดแล้ว เว่ยฉิงก็นำข้าวหนึ่งกำมือไปทอดให้เป็นข้าวพอง ถังหลี่กินเข้าไปจนแก้มป่องออกมาเหมือนหนูแฮมสเตอร์

“พี่เว่ย ท่านทำอาหารเก่งนะ” จางเฉียนยกนิ้วให้เว่ยฉิง

“หากมีแม่น้ำอยู่ใกล้ ๆ ข้าก็จับปลามาทำอาหารให้นางยังได้เลย” เว่ยฉิงกล่าว

“จริงหรือ? พี่เว่ยอย่าบอกนะว่าแถวนี้มีแม่น้ำจริง ๆ” จางเฉียนพูด

ชายหนุ่มหันมองไปรอบ ๆ ทันที แต่แล้วถังหลี่ก็คว้าแขนเขาไว้ก่อนจะพูดว่า

“อย่าหาเรื่องนะ เราต้องรีบไป”

“ฮูหยิน ดูนั่นสิ” เว่ยฉิงมองแล้วหยุดชะงัก

บริเวณนั้นมีต้นหญ้าเตี้ย ๆ อยู่ เมื่อมองตามเว่ยฉิงไปจึงเห็นเหมือนก้อนกลม ๆ สีดำ จนกระทั่งเดินเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่าก้อนกลมสีดำ ๆ นั้นเป็นคน!!

ชายคนนั้นนอนอยู่กับพื้น สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีดำไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เว่ยฉิงผลักเขาให้นอนหงายก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี ใบหน้าทั้งซีดเผือดและมีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด ดวงตาของเขาปิดสนิท

“เหตุใดถึงมีคนตายตรงนี้!”

จางเฉียนตกใจมาก เขารีบไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังของเว่ยฉิงทันที ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อตรวจสอบชีพจร สายตาของเขามองไปที่หน้าท้องก่อนจะเลิกเสื้อขึ้นเปิดดู

เว่ยฉิงลุกขึ้นเดินไปหาถังหลี่

“ยังมีลมหายใจอยู่ แต่มีแผลถูกแทงที่หน้าท้อง”

ทันใดนั้นมือที่เปื้อนเลือดก็คว้าเข้าที่ชายกางเกงของเว่ยฉิง

“ช่วยข้าด้วย”

เห็นได้ว่าสภาพแทบปางตาย แต่ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด จางเฉียนหวาดกลัวจนถอยห่างออกไปไกล

“พี่เว่ย ทิ้งเขาไว้เถอะ…มาถูกแทงในที่แบบนี้ไม่น่าใช่คนดิบดีอะไร…” จางเฉียนออกความเห็น

ชายผู้นี้นอนอยู่บนพื้นหญ้า เสื้อผ้าสีดำขาดวิ่น พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่เจอเป็นแน่ แต่ไม่มีใครกล้ายื่นมือไปช่วยเหลือเขาเป็นเพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมา

เว่ยฉิงไม่พูดอะไร เขามองไปที่ถังหลี่

ถังหลี่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร หากตัดสินว่าชายคนนี้เป็นคนเลว ก็ควรปล่อยไว้ ให้เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อสวรรค์ลิขิตให้นางมาพบเขาแล้ว ย่อมไม่ควรเพิกเฉยต่อชีวิตที่ริบหรี่ของเขา

“ช่วยเขา” ถังหลี่พยักหน้า

เว่ยฉิงฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกทันทีจนเห็นแผลที่หน้าท้อง จากนั้นก็นำผ้ามาฉีกออกเป็นเส้นเพื่อมาพันห้ามเลือด ก่อนจะอุ้มชายคนนั้นเดินมาที่รถม้า จู่ ๆ จางเฉียนก็มากระตุกเสื้อผ้าของเว่ยฉิง

“พี่เว่ย ระวังให้ข้าหน่อยเถอะ อย่าให้เลือดเปื้อนรถม้าไม่เช่นนั้นข้าไม่รู้จะตอบคำถามเมื่อกลับเมืองได้อย่างไร”

เว่ยฉิงพยักหน้ารับ เอาผ้าผืนหนึ่งปูรองไปหนึ่งชั้น ก่อนที่จะค่อย ๆ วางร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้ลงบนผ้า ถังหลี่ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ เว่ยฉิง นางเหลือบมองไปยังชายที่หมดสติเป็นครั้งคราว เด็กหนุ่มผู้นี้ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบหยาบ ทว่าผิวพรรณของเขานั้นนุ่มนวล มีเนื้อหนัง ดูแล้วขัดกันอย่างน่าประหลาดใจ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อชีวิตหนึ่งได้

ช่วยเอาไว้ก่อน…ค่อยดูกันไป

ถังหลี่หวังว่าเด็กหนุ่มจะรอดชีวิตไปได้

ในตอนกลางคืนถังหลี่และเว่ยฉิงเดินทางมาถึงประตูเมืองฉินโจว ตอนนี้ประตูเมืองฉินโจวปิดแล้ว โชคดีที่ถังหลี่มีป้ายหยกของแม่ทัพเฉาทำให้นางสามารถเข้าไปในเมืองได้

หลังจากเข้าไปในเมืองพวกเขาก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยม “เสี่ยวหยวนชุนเส่อ” ของเถ้าแก่เนี้ยฮวา หลังจากที่รถม้าหยุดลง เถ้าแก่เนี้ยก็ส่งเสียงทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นนักว่า

“โรงเตี๊ยมของเราเต็มแล้ว ไม่มีที่พักหรอก”

“พี่ฮวา”

เถ้าแก่เนี้ยฮวาเปลี่ยนท่าทีทันทีเมื่อได้ยินเสียง นางรีบวิ่งออกไปนอกร้านอย่างรวดเร็ว เป็นถังหลี่!

“พี่ฮวา ไม่มีห้องพักว่างแล้วหรือ?” ถังหลี่ถามอย่างกระตือรือร้น

“สำหรับคนอื่นน่ะไม่มีหรอก แต่สำหรับเสี่ยวถังย่อมมีอยู่แล้ว! ข้าน่ะไม่ได้เปิดให้พักทั้งหมดหรอก ข้าเก็บห้องไว้สองห้องเผื่อเวลาจำเป็นน่ะ” เถ้าแก่เนี้ยฮวากล่าว

“พี่สาวฮวา งั้นข้าขอห้องพักสองห้องนั้นได้หรือไม่?” ถังหลี่พูดอย่างออดอ้อน

“ตกลง ห้องสองห้องด้านบนเป็นของเจ้า!” เถ้าแก่เนี้ยฮวาตอบ

“พี่ชายเจ้ามาด้วยหรือไม่?” เถ้าแก่เนี้ยฮวาชะเง้อมองไปที่รถม้าด้วยความคาดหวัง

แต่เมื่อนางเห็นร่างสูงใหญ่ก็ผิดหวังเล็กน้อย ไป๋มู่หยางเป็นคนรูปร่างผอมสูง แต่ชายผู้นี้ดูล่ำสันสูงใหญ่ นางเห็นเขากำลังอุ้มชายผู้หนึ่งลงมาในสภาพเลือดท่วมตัว ราวกับไร้ชีวิต

เถ้าแก่เนี้ยฮวาเป็นคนเก่งที่สามารถเปิดโรงเตี้ยมที่ชายแดนเช่นนี้ได้ นางไม่ได้กลัวคนบาดเจ็บ แต่หญิงสาวเกลียดความสกปรก นางเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกก่อนจะถายหลังไปสองสามก้าว

“เสี่ยวถังเกิดอะไรขึ้นหรือ สองคนนั้นเป็นใครกัน?”

ถังหลี่ชี้ไปที่เว่ยฉิง

“คนผู้นี้เป็นสามีข้าเอง ส่วนคนที่เขากำลังอุ้มอยู่เป็นเป็นคนบาดเจ็บที่พวกข้าช่วยเอาไว้ระหว่างเดินทาง”

สามีของถังถัง?

เถ้าแก่เนี้ยฮวาจ้องไปที่เว่ยฉิง คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา เสี่ยวถังเองก็เป็นสาวงามเช่นกัน ดูแล้วช่างเหมาะสมกันดีเหลือเกิน

เถ้าแก่เนี้ยฮวามองไปยังคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเว่ยฉิงอย่างรังเกียจ

“ถังถัง เหตุใดเจ้าจึงช่วยคนไม่ดูหน้าดูหลังเช่นนี้ หากเขาเป็นคนไม่ดีเล่า?”

ฮวาเหนียงจือเอียงตัวไปมองคนบาดเจ็บให้ชัดอีกครั้ง เพียงแค่เห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้รูปงามท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“โอ้ เขาต้องเป็นคนดีแน่ ๆ ใบหน้าซีดเซียวถึงขนาดนี้บาดเจ็บสาหัสสินะ รีบเข้ามากันเถอะ!”

เถ้าแก่เนี้ยฮวาเดินนำทางไปยังห้องพัก โดยมีเว่ยฉิงอุ้มคนบาดเจ็บตามหลังมา ห้องอยู่ชั้นสองด้านในสุด

เมื่อหญิงสาวเปิดประตูให้ เว่ยฉิงก็เดินเข้าไปทันที

“ข้าจะไปตามหมอมาให้” ฮวาเหนียงจื่อหันกลับมามองถังหลี่

“เสี่ยวถังห้องของเจ้าอยู่ถัดไปนะ”

หลังจากพูดจบนางก็รีบเดินลงไปชั้นล่างทันที

ถังหลี่เดินเข้ายังห้องถัดไป ส่วนเว่ยฉิงอุ้มชายบาดเจ็บไปที่เตียงวางเขาลง

“สามี เจ้าไปเอาสัมภาระมาหน่อย”

“ได้สิ” เว่ยฉิงลูบหัวถังหลี่เบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง

ถังหลี่มองเด็กหนุ่มที่บาดเจ็บ สังเกตเห็นท่านอนที่ไม่ค่อยสบายตัวและกดทับแผลของเขา นางจึงเดินเข้าไปจัดท่าทางให้เขา

จู่ ๆ มือของเขาก็คว้าเสื้อของนางไว้

“น้ำ…”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ได้สิ ข้าจะรินให้”

ถังหลี่หันไปมองรอบ ๆ เพื่อจะหาน้ำอุ่นให้เขา แต่มือเขาจับชายเสื้อของนางเอาไว้แน่น นางจึงได้แต่เพียงรินน้ำเย็นที่อยู่บนโต๊ะแล้วป้อนให้เขาดื่มแทน

เมื่อถังหลี่วางถ้วยชาลง นางก็เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าลืมตาขึ้นมาจ้องมองตนเองอยู่

[1] พาย