บทที่ 168 คาบเรียนบ่มเพาะ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 168 คาบเรียนบ่มเพาะ

ซูอัน รู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้น่าสนใจจริง ๆ ทั้งสองคนลงเอยด้วยการถามคำถามเดียวกัน เกี่ยวกับกันและกัน “เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด ทำยังไงได้ล่ะในเมื่อข้าออกจะหล่อเหลาขนาดนี้ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้หญิงทุกคนจะอยากรู้จักข้า”

“…” ซางหลิวอวี้

นางถอนหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “มันไม่เป็นไรหากเจ้าพูดประโยคนี้กับข้า แต่ข้า ขอเตือนเอาไว้ว่าเจ้าไม่ควรพูดให้อาจารย์ใหญ่เจียงได้ยินเด็ดขาด นางไม่ชอบคนที่พูดจาไร้สาระสักเท่าไหร่นัก”

ซูอัน รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาพูดหยอกล้อกับอาจารย์ใหญ่ คนสวยนั่นไปตั้งหลายรอบ เขาก็ไม่เห็นว่านางจะโกรธแค้นอะไรเขาเลย เอ๊ะ หรือว่านี่เป็นเพราะข้ามีเสน่ห์เกินไปหรือเปล่า? ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพลังแห่งความรักทำให้คนเรามองข้ามข้อบกพร่องของคู่รักได้!

“ข้าดีใจที่อาจารย์ซางกังวลใจแทนข้าแบบนี้จริง ๆ” ซูอัน ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

ซางหลิวอวี้ พูดเสียงดัง “ข้าแค่ช่วยเจ้าเพราะเจ้าเคยเล่นเพลงให้ข้าฟังต่างหาก! เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ข้าตอบแทนให้เจ้าไปแล้ว ดังนั้นอย่าหวังว่าข้าจะช่วยเหลือเจ้าอีกต่อไป”

เมื่อพูดจบ ซางหลิวอวี้ คิดในใจว่า ซูอัน จะต้องแสดงสีหน้าผิดหวังแน่นอน แต่น่าเสียดาย ที่ความเป็นจริงมันกลับทำให้นางต้องประหลาดใจเพราะดวงตาของ ซูอัน กลับเปล่งประกายพร้อมกับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “โอ้ ถ้านั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าช่วยข้าถ้างั้นมันก็ยอดเยี่ยมเลย! ข้ามีบทเพลงอีกมากมายอยู่ในหัว เอาไว้ข้ามีเวลาเมื่อไหร่ข้าจะเล่นพวกมันให้เจ้าฟังอีกรอบก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้สีหน้าที่สงบของ ซางหลิวอวี้ ก็เแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในชีวิตของนาง “จริง ๆ เหรอ? เจ้ามีบทเพลงในระดับเดียวกับที่เจ้าเล่นก่อนหน้านี้อีกงั้นหรือ”

“แน่นอน! เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาดูกันว่าคืนไหนที่ว่าง ๆ พวกเราก็มาผูกสัมพันธ์กันด้วยเสียงเพลงกันดีกว่า เจ้าว่าดีไหม? ว่าแต่ หอพักของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน? ตอนนี้ข้าเองก็มีหอพักของข้าเองเช่นกันไม่แน่หอพักของเราอาจอยู่ใกล้กันก็ได้!” ซูอัน อดคิดไม่ได้ว่าเนื่องจากเขาไม่สามารถ ลอกเลียนบทกวีจากชีวิตก่อนมาใช้ในโลกนี้ได้ ถ้างั้นอย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถลอกเลียนบทเพลงมาได้บ้างใช่ไหม? แค่ก ๆ ไม่ใช่สิ ๆ นี่มันเรียกว่าการเผยแพร่วัฒนธรรมอันมหัศจรรย์ของโลกสมัยใหม่มากกว่า การกระทำอันสูงส่งเช่นนี้ไม่ควรเรียกว่าเป็นการลอกเลียนแบบ!

รอยยิ้มลึกลับผุดขึ้นบนริมฝีปากของ ซางหลิวอวี้ จากนั้นนางถามขึ้นว่า “เจ้าเล่นเพลงให้ข้าฟังตอนกลางวันไม่ได้เหรอ? ทำไมเราต้องเจอกันตอนกลางคืน?”

“นั่นเป็นเพราะตอนกลางวันพวกเรามีหน้าที่ที่จำเป็นต้องทำ ยกตัวอย่างเช่นข้าที่ในตอนนี้เป็นทั้งนักศึกษาและอาจารย์ไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นข้าจะยุ่งมากกว่าที่เคย ข้าคิดว่ารับจากนี้ข้าคงว่างเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น” ซูอันตอบกลับด้วยจริงจัง “อันที่จริงนอกจากการแลกเปลี่ยนบทเพลง กันแล้ว เจ้ายังสามารถช่วยข้าในเรื่องการเรียนได้อีกด้วย นี่มันก็หลายวันแล้วที่ข้ามาเรียนที่สถาบันแห่งนี้ แต่ข้ายังไม่ได้เข้าเรียนในชั้นเรียนของเจ้าเลย”

“ช่วยเรื่องเรียนงั้นหรือ?” ซางหลิวอวี้ พูดทวนซ้ำด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด “เอาไว้เราพูดเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกันตอนนี้เจ้าเข้าไปในห้องเรียนได้แล้ว”

ในขณะนี้เริ่มมีนักศึกษาคนอื่น ๆ ในห้องเรียนชะโงกหน้าออกมาดูนอกที่ห้องเรียนแล้ว นางไม่ต้องการถูกคนอื่น ๆ เข้าใจผิดว่าสนิทสนมกับชายผู้นี้มากเกินไป ดังนั้นนางจึงพูดตัดบทอย่างรวดเร็วและจากไป

เมื่อมองดู ซางหลิวอวี้ ที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซูอันอดไม่ได้ที่จะคิดว่านางเป็นคน สองบุคลิก บุคลิกหนึ่งจะเป็นมิตรแต่อีกบุคลิกหนึ่งกลับดูเย็นชาและเหินห่าง…

เนื่องจากเวลาการเดิมพันของ ซูอัน และ หยางเว่ย กินคาบเรียนวิชาภาษาไปจนหมดดังนั้นคาบเรียนต่อไปที่พวกเขาจะได้เรียนต่อก็คือการบ่มเพาะ

ซูอัน รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าการเรียนสองสามวันที่ผ่านมามันไร้ประโยชน์กับเขาแบบสุด ๆ แต่เขามั่นใจว่าคาบเรียนการบ่มเพาะนั้นจะมีประโยชน์กับเขาแน่นอน ต้องรู้ว่าถึงแม้เขาจะมีระบบคีย์บอร์ดช่วยในการพัฒนาระดับการบ่มเพาะ แต่เขาก็ยังขาดองค์ความรู้พื้นฐานในด้านการบ่มเพาะซึ่งมันทำให้ประเมินภัยคุกคามจากผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ได้ยากมาก ดังนั้นเขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้

อาจารย์ผู้สอนที่รับผิดชอบคาบเรียนการบ่มเพาะก็คือ ไป๋ซู่ซู่ ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีอ้อนแอ้น ห้องเรียนที่มีเสียงดังก็สงบลงทันที

นี่ไม่ใช่คายเรียนของอาจารย์ที่มีการบ่มเพาะระดับ 3 ทั่ว ๆ ไป แต่นี่มันคือคาบเรียนของ ผู้บ่มเพาะระดับ 6 ที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นหากพวกเขายังรักชีวิตอยู่ พวกเขาก็ควรทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด

เมื่อ ไป๋ซู่ซู่ เดินมาไปถึงกลางหน้าห้อง เขาก็หันหน้ามาหานักศึกษาทุกคนและท้ายที่สุดสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่ ซูอัน “ข้าสอนที่สถาบันแห่งนี้มาก็หลายปีมากแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่ข้ารู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะในครั้งนี้หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของข้ากลับเป็นเป็นนักศึกษาของด้วย”

นักศึกษาที่อยู่รอบ ๆ ส่งสายตาอิจฉาไปยังซูอันทันที ซึ่ง ซูอัน ก็ยิ้มอย่างลำพองใจ เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นคลื่นคะแนนความโกรธหลั่งไหลเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง

ไป๋ซู่ซู่ กระแอมในลำคอก่อนจะพูดต่อ “ก่อนเริ่มชั้นเรียน ข้าขอประกาศเรื่องสำคัญก่อน อีกไม่นานมิติลับหยกจรัสจะเปิดขึ้นซึ่งพวกเจ้าที่นั่งอยู่ในห้องนี้ส่วนใหญ่คงไม่น่าจะมีโอกาสได้เข้าไป แต่ถ้าพวกเจ้าสนใจ พวกเจ้าสามารถไปลงทะเบียนเพื่อคัดเลือกได้”

คำพูดนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในห้องเรียน นักศึกษาเริ่มกระซิบกันอย่างตื่นเต้น

ซูอัน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าทุกคนรู้จักมิติลับหยกจรัสเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่า ข้าต้องทบทวนความรู้ทั่วไปของข้าจริง ๆ…

“หืม? ครั้งนี้มิติลับเปิดเร็วขึ้นกว่ารอบที่แล้วนี่นา?”

“จริงด้วย มันเปิดเร็วกว่าที่ผ่านมาครึ่งปีใช่ไหม?”

บรรดานักศึกษาที่มีความรู้เกี่ยวกับมิติลับหยกจรัสต่างประหลาดใจกับข่าวนี้

ไป๋ซู่ซู่อธิบายอย่างรวดเร็วว่า “มิติลับเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ดังนั้นช่วงเวลาการเปิดของมันจึงไม่อาจไม่ตรงกับรอบที่ผ่านๆมาเสมอไป แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจริง ๆ เกี่ยวกับการเปิดมิติลับก่อนเวลาอันควรในครั้งนี้ ดังนั้นมันจึงมีแนวโน้มว่า ด้านในของมิติลับครั้งนี้มันอาจจะอันตรายกว่าปกติ หากพวกเจ้าคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากพอมันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะอยู่เฉย ๆ ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงที่ข้างในนั้นเพื่อสมบัติ พวกเจ้าต้องจำเอาไว้ว่าทางสถาบันจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ต่อการสูญเสียของพวกเจ้าในขณะที่อยู่ ข้างในนั้น”

“อาจารย์ไป๋ ท่านคิดมากไปแล้ว พวกเรารู้ตัวเองดีว่ามีความสามารถแค่ไหน”

“ถูกต้อง คนส่วนใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้นได้มีแต่นักศึกษาจากชั้นเรียนปฐพีและนภาเท่านั้น พวกเราที่เป็นแค่นักศึกษาชั้นเรียนสีเหลืองจะไปมีคุณสมบัติพอได้อย่างไร”

“พวกเราขอแค่เป็นคนดูก็พอ!”

“ดีแล้วที่พวกเจ้าเข้าใจได้แบบนี้ เอาล่ะ มาเริ่มบทเรียนของวันนี้กันเถอะ แม้ว่าพวกเจ้า ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะรับบทบาททางวิชาการในอนาคต แต่ท้ายที่สุดแล้วราชวงศ์โจวของเรานั้นก่อตั้งขึ้นด้วยกำลังทางทหาร ฉะนั้นการมีความรู้พื้นฐานในด้านการบ่มเพาะจึงนับได้ว่าจำเป็นและจะได้ไม่เป็นการขายหน้าตัวพวกเจ้าเองและสถาบันเมื่อพวกเจ้าจบการศึกษาออกไป” ไป๋ซู่ซู่ เอ่ยขึ้น

“เมื่อคาบเรียนที่แล้วข้าได้อธิบายวิธีการบ่มเพาะขั้นพื้นฐานให้แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งพวกเจ้า จะไปได้ไกลแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและโชคชะตาของพวกเจ้าเอง ส่วนวันนี้ข้าจะสอนเกี่ยวกับเคล็ดวิชาต่อสู้ให้กับพวกเจ้าทุกคน เคล็ดวิชาต่อสู้นั้นจะช่วยให้พวกเจ้าโจมตีได้รุนแรงขึ้นและเคลื่อนที่ได้เร็วกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป…”

เมื่อได้ยินบทเรียนนี้ดวงตาของ ซูอัน เปล่งประกายทันที ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ต่อสู้กับ เสวี่ยเอ๋อร์ จะได้รับบาดเจ็บจนทำให้เคล็ดวิชายวัฏจักรหงส์อมตะเกื้อหนุนร่างกายเขาจนแข็งแกร่งเท่ากับ เสวี่ยเอ๋อร์ แต่แล้วในทันทีที่ เสวี่ยเอ๋อร์ ใช้เคล็ดวิชาต่อสู้ของนาง เขาก็ถูกต้อนจนมุมทันที โดยที่ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย มันคล้ายกับความแตกต่างระหว่างกระทิงกับเสือ ในแง่ของความพละกำลัง กระทิงตัวผู้นั้นย่อมมีมากกว่าเสืออยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดมันมักจะเป็นเสือที่จัดการเผด็จศึกได้เพราะกระทิงไม่ได้พละกำลังของตัวเองอย่างถูกวิธีซึ่ง ซูอัน ก็ประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน