ตอนที่ 3 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 03

Akuyaku Reijou no Naka no Hito

ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 03

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาอันแสนสุขได้จบลงหลังจากการปรากฏตัวของหญิงสาวแห่งดวงดาว นักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามา ในช่วงแรก วิลเลียดและคนอื่นๆไม่ได้มีความประทับใจที่ดีกับเธอนัก ตรงข้ามกับเรื่องที่เอมิกังวล

แม้ว่าหญิงสาวแห่งดวงดาวจะมีพื้นแพมาจากสามัญชน แต่เธอก็เข้าหาบรรดาลูกหลานของขุนนางระดับสูงโดยไม่สนใจมารยาท โดยเฉพาะเพศชาย จับมือเกาะแขนโดยไม่สนว่าพวกเขาเหล่านั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว เธอจึงถูกรังเกียจโดยคนที่มีสามัญสำนึกปรกติจากทั้งชายและหญิง ตัวข้าเองที่ได้เรียนรู้ผ่านเอมิในเรื่องมารยาทและการวางตัวในฐานะชนชั้นสูงก็ยังเห็นว่าการกระทำของเธอเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ตามเนื้อเรื่องในเกม หลายๆคนจะยอมรับได้เพราะรู้ว่าเธอเติบโตมากับสามัญชนจนถึงเมื่อเร็วๆนี้ แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น

วิลเลียดกับผู้ติดตามคนสนิท โคลด เดวิด และสเตฟาน ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหญิงสาวแห่งดวงดาวในช่วงที่เธอใช้ชีวิตในโรงเรียน ในช่วงแรกพวกเขาก็บ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของหญิงสาวแห่งดวงดาวคนนั้น

เอมิโล่งใจที่วิลเลียดไม่ได้หลงรักหญิงสาวแห่งดวงดาวในทันที และตอนที่ได้พบกัน เธอก็ไม่ได้กลั่นแกล้งหญิงสาวแห่งดวงดาวด้วยความอิจฉา ข้ารู้จักเอมิดีกว่าใคร เธอเป็นหญิงสาวผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ที่พร้อมช่วยผู้อื่นอย่างเต็มใจ ไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวแห่งดวงดาว… หญิงสาวอดีตสามัญชนที่มีนามว่า ‘พีน่า บลัน’ คนนี้ก็เป็นผู้มีความทรงจำจากโลกอื่นเหมือนกับเอมิ จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้ชายมากมายตามเนื้อเรื่อง… เธอจึงดักรอเรมิเลียในตอนที่ไม่มีใครเห็น เพื่อพูดจากล่าวโทษเรมิเลีย

“นี่ หล่อนก็มาเกิดใหม่เหมือนกันใช่ป่ะ? ทำเนื้อเรื่องเสียหมดแล้ว เธอสนิทกับวิล ไม่ทะเลาะกับโคลด แล้วยังเดวิดกับสเตฟานก็ยังเข้าข้างเธออีก! เลวที่สุด! คงเพราะได้เริ่มตั้งแต่ยังเด็กล่ะสิ ถึงได้กล้าใช้ความรู้ในทางที่ผิด มีแต่คนรักทั้งที่เป็นผู้ร้ายแท้ๆ คิดจะจับผู้ชายทุกคนมาทำรีเวิสฮาเร็มของตัวเองเหรอไง? ทั้งวิล โคลด เดวิด สเตฟาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แองเจิ้ล ฉันไม่มีวันยกพวกเขาให้เธอแน่!!”

หญิงสาวแห่งดวงดาว… พีน่าพูดอยู่ฝ่ายเดียวจนจบ จ้องมองมาที่เอมิและสะบัดหน้าเดินจากไป ดูเหมือนก่อนหน้านี้พีน่าพยายามเข้าหาผู้ชายคนอื่นๆโดยใช้วิธีตามเนื้อเรื่องในเกม จากคำพูด ‘ไม่มีวันยกพวกเขาให้เธอ’ ทำให้เข้าใจได้ว่ามีเป้าหมายเป็นตัวละครเพศตรงข้าม

หลังจากวันนั้น พีน่าพยายามเล่นไปตามบทบาทของเกมมากขึ้น มีข่าวลือว่าเธอเข้าหาพวกผู้ชายด้วยวิธีโจ่งแจ้งยิ่งขึ้น ตามที่เอมิเรียกว่า พยายามทำให้เกิดอีเวนต์เพิ่มค่าความสัมพันธ์

ข้าได้ยินมาว่า ครั้งหนึ่งในตอนที่สเตฟานซ้อมไวโอลินอยู่คนเดียว เธอคนนั้นก็โผล่พรวดพราดเข้ามาในห้องซ้อมดนตรีและเริ่มพูดอยู่ฝ่ายเดียวเกี่ยวกับความประทับใจในบทเพลงที่เขาเล่น ทั้งที่ท่วงทำนองของเพลงนั้นแตกต่างจากที่เธอบรรยายอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่โคลดอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้องสมุด เธอก็เข้ามาชวนโคลดพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่อยู่ในมือของเธอ เธอต้องการสอบถาม ‘ความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองสมัยรัชการคาสซานดร้า’ ทั้งที่หนังสือที่เธอหยิบมาเป็นประวัติศาสตร์ของรัชสมัยอื่น เขาจึงตอบไปว่า ‘ขอลองฟังความคิดเห็นของเธอก่อน’ เธอจึงไม่พูดอะไรอีกและหายตัวไปในขณะที่เขาเมินเธอ

ในกรณีของเดวิด หลังจากเขาเสร็จสิ้นจากการฝึกดาบร่วมกับนักเรียนคนอื่น เธอก็วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับผ้าขนหนูและกระติกน้ำดื่มในมือ

และเธอมักจะสะดุดอะไรบางอย่างล้มลงต่อหน้าวิลเลียด แม้ไม่บาดเจ็บแต่ก็ไม่ลุกขึ้นจนกว่าเขาจะยื่นมือไปหาเธอด้วยตัวเองแทนที่จะเป็นอัศวินผู้คุ้มกันของเขา

จากที่ได้รู้ ดูเหมือนเธอจะล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการสร้างสถานการณ์ ทั้งที่เหตุการณ์เหล่านั้นมันควรจะเกิดขึ้นเองเมื่ออีกฝ่ายมีค่าความสัมพันธ์อยู่แล้วระดับหนึ่ง สเตฟานในเนื้อเรื่องรู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวแห่งดวงดาวเพราะเธอเป็นคนแรกที่ฟังเพลงของเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย และบอกกับเขาว่า ‘เข้าใจถึงความรักในเสียงดนตรีของสเตฟาน’ แต่ตอนนี้ คำประจบประแจงทั่วไปจึงไม่มีความหมายสำหรับสเตฟานผู้ที่พยายามอย่างหนักทั้งในฐานะนักเวทและนักดนตรีจนได้รับเชิญไปแสดงดนตรีในงานเล็กๆแต่ประสบความสำเร็จในการสร้างชื่อ

เหตุการณ์ของโคลดในเกมนั้นจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับเธอในเรื่องที่สนใจ… บนหน้าจอจะแสดงข้อความว่า ‘ได้คุยเรื่องประวัตศาสตร์การปกครองกันอย่างออกรส’ โดยไม่มีรายระเอียดของบทสนทนา และหญิงสาวแห่งดวงดาวต้องมีค่าความฉลาดสูงพอถึงจะสนิทสนมกับโคลดได้ ดังนั้นเธอควรจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้สมเป็นนางเอกของเรื่องราว ให้มีความสามารถจนได้รับทุนการศึกษาก่อน

ส่วนเดวิด ในเกมเขาควรจะพูดว่า ‘เธอไม่ได้เกะกะ เพราะฉะนั้นจะมาดูการซ้อมอีกเมื่อไหร่ก็ได้’ ต้องมีความชอบถึงระดับที่เขาจะพูดกับเธอเช่นนั้นได้ก่อน เพราะในความจริงแล้ว มันน่าอึดอัดเวลาที่ทำอะไรบางอย่างแล้วมีคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รับเชิญมาจ้องมอง ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจถึงความจริงที่ว่าเขาไม่ได้สนิทกับเธอถึงขั้นที่จะเอ่ยปากชวนเธอมาดูการซ้อม

และวิลเลียด… คาดว่าเธอต้องการให้เกิด ‘หญิงสาวแห่งดวงดาวหกล้มบาดเจ็บ ถูกอุ้มท่าเจ้าหญิงไปยังห้องพยาบาล’ ตามเนื้อเรื่องที่นักเรียนหญิงอดีตสามัญชนได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้มกุฎราชกุมารในฐานะหญิงสาวแห่งดวงดาว ถูกคนอื่นอิจฉาและขัดขาเธอจนล้มข้อเท้าแพลงไม่สามารถเดินได้เอง วิลเลียดที่ได้เห็นจากที่ห่างๆเข้าไปนำเธอส่งห้องพยาบาลด้วยตนเองโดยไม่สนใจคำแนะนำจากคนคุ้มกันของเขา โดยให้เหตุผลว่า ‘โปรดให้โอกาสข้าได้ชดใช้ความผิดจากการที่ข้าไม่สังเกตเห็นความรู้สึกคิดร้ายที่พุ่งเป้ามายังท่านด้วยเถิด’ ข้าสงสัยจริงๆว่าหากวิลเลียดทำเช่นนั้นจริง มันจะไม่เป็นการปลุกปั่นเพิ่มความริษยาให้หญิงสาวแห่งดวงดาวโดนกลั่นแกล้งมากขึ้นหรอกหรือ

ไม่เหมือนกับในเกม นักเรียนทุกคนไม่มีใครกล้าหาเรื่องกับคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของราชวงศ์ โดยเฉพาะย่างยิ่ง การทำร้ายหญิงสาวแห่งดวงดาวที่ถูกคุ้มครองโดยประเทศนี้ ต่อให้ไม่ได้กระทำการต่อหน้ามกุฎราชกุมารแต่ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกรับรู้ ไม่มีใครโง่พอที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งก็ทำให้ไม่มีการกลั่นแกล้งพีน่าเกิดขึ้นจริง ดูเหมือนเธอตั้งใจล้มด้วยตัวเองเพื่อให้ได้สถานการณ์ใกล้เคียงที่สุด

การกระทำของหญิงสาวผู้นั้น สร้างความกังวลให้กับเอมิเป็นอย่างมาก… ถึงอย่างนั้น สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือมองดูทุกอย่างจากภายใน น่าเสียดายที่ไม่อาจช่วยปลอบใจเอมิด้วยคำพูดหรือการกระทำใดๆได้เลย ไม่ว่าข้าจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่มีทางได้ยินเสียงของข้า

เมื่อเวลาผ่านไป พีน่ารู้ตัวแล้วว่าเธอไม่สามารถใช้ ‘กลยุทธ์’ ที่เธอทำมาตลอดได้ เธอจึงเปลี่ยนไปใช้ ‘ไอเทม’ ที่เหมือนกับของที่มีในเกม ข้าสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น… เอมิเคยมีความคิดว่า ‘การใช้ไอเทมที่ส่งผลต่อจิตใจให้คนอื่นหันมาชอบตัวเอง เป็นเรื่องเลวร้าย’ และเอมิมองพีน่าเป็นแค่ ‘คนแปลกๆคนหนึ่ง’ จึงไม่ได้คิดหาวิธีรับมือวิธีชั่วร้ายเช่นนี้ได้ทัน ทำให้นักเรียนชายส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อของเธอ รวมถึงวิลเลียดที่ใช้เวลาอยู่กับพีน่าเป็นประจำ ยังมีนักเรียนส่วนน้อยที่รู้สึกระแคะระคายกับพฤติกรรมของเธอมาตั้งแต่แรกและรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ แต่พวกเขาก็ตัดสินใจไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จึงไม่มีใครอยู่เข้าข้างเอมิ

ไม่นานนักพีน่าก็รวบรวม ‘สมุน’ ทีเธอเรียกว่าเพื่อน ได้เป็นจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันก็มีการจัดฉาก ‘การกลั่นแกล้ง’ ของเอมิที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แผนการของเธอดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปรกติ…

เอมิผู้อ่อนโยนนอกจากพยายามไม่เข้าไปพัวพันกับปัญหาเกี่ยวกับพีน่าแล้ว เธอยังคอยแก้ไขข่าวลือผิดๆที่ทุกคนพูดกันอีกด้วย เธอต้องปฏิเสธในที่สาธารณะ จัดเตรียมหลักฐานมาโต้แย้ง กล่าวคำสาบานต่อราชวงศ์ ขอให้มีคนจับตาดูเธอตลอดเวลาเพื่อเป็นพยาน และอื่นๆอีกมากมาย… เอมิต้องเหนื่อยยากมากขึ้นเพราะการจัดฉากใส่ร้ายเช่นนี้

ข้าได้ลองทุกวิถีทางเพื่อตรวจสอบว่าข้าสามารถช่วยเหลือเอมิได้อย่างไรบ้าง ข้ารู้ดีว่าไม่สามารถควบคุมร่างหรือส่งเสียงให้ได้ยิน จึงได้ทดลองใช้งานเวทมนตร์จากภายใน หรือพยายามปรากฏตัวในความฝันของเธอ

แน่นอนว่าไม่มีผล ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากเฝ้าดูเอมิสูญเลียเพื่อนที่เธอไว้ใจไปทีละคน หัวใจต้องเจ็บปวดกับการถูกกล่าวหาในสิ่งที่เธอไม่เคยทำ แม้แต่วิลเลียดและคนอื่นๆที่ในตอนแรกจะพูดว่า ‘ผู้หญิงคนนั้นไม่มีมารยาทเอาเสียเลย…’ แต่ก็เปลี่ยนไปเป็นทางที่ดี ‘ช่วยไม่ได้เพราะเธอเคยเป็นสามัญชนมาก่อน ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ ต้องค่อยๆสอน’ แต่ก่อนเขาจะบ่นอยู่บ่อยๆถึงความไร้สามัญสำนึกของผู้หญิงคนนั่น เมื่อพูดถึงมันในตอนนี้ เขาจะหัวเราะและตอบว่า ‘มันก็แค่ความเข้าใจผิด’ หรือ ‘เพราะเธออยากเป็นเพื่อนกับพวกเรา’

กลับกัน คำพูดของเขากับเอมิ ‘ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าเรมี่จะทำแบบนั้นจริง แต่ผู้หญิงคนนั้นแตกต่างกับพวกเรา มีมุมมองไม่เหมือนกัน ดังนั้นเจ้าก็ควรระวังเรื่องการปฏิบัติกับเธอหน่อย’ ‘นี่ เรมี่ ทำตัวดีๆกับพีน่าหน่อยไม่ได้เหรอ?’ ทำให้เอมิต้องเสียใจอย่างมาก

จนกระทั่งมันได้กลายเป็น ‘ไม่เคยคิดเลยว่าเรมี่จะเป็นคนแบบนี้’ ‘รู้ตัวบ้างไหมว่าคำพูดของเจ้าทำให้พีน่าต้องร้องไห้?’ พวกเขาเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา และข้าก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอีกเช่นเคย

หลายครั้งที่เอมิพยายามอธิบาย ปฏิเสธว่าเธอไม่เคยพูดไม่เคยทำเช่นนั้น และขอร้องให้เชื่อใจเธอ แต่พวกเขาก็ได้ทรยศต่อความไว้วางใจของเอมิ

รอบตัวเอมิไม่เหลือใครอีกแล้ว แม้แต่คนรับใช้และคนคุ้มกันที่เคยเห็นเป็นเพื่อนก็ยังหันไปทำงานให้หญิงสาวแห่งดวงดาวอยู่ลับหลัง ขโมยของใช้ส่วนตัวของเธอไปใช้สร้างหลักฐานเท็จให้คำกล่าวหา ‘เรมิเลียทำร้ายหญิงสาวแห่งดวงดาว’ อีกทั้งคอยแจ้งข่าวให้หญิงสาวแห่งดวงดาวรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่เรมิเลียจะอยู่คนเดียว… เพื่อไม่ให้มีพยานในความบริสุทธิ์ของเธอ ปิดกั้นข้อโต้แย้งว่าเธอไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในเวลาดังกล่าว

หญิงสาวแห่งดวงดาวเล่นบทของผู้เสียหายได้อย่างแนบเนียน เธอมักบอกกับคนอื่นๆว่า ‘คิดว่าต่อจากนี้ควรจะระวังเรื่องเวลาและสถานที่ให้มากขึ้น เพราะไม่อยากให้คุณหนูกราปเนอร์ต้องขุ่นเคือง’ เพราะ ‘มีจดหมายข่มขู่ถูกส่งมาถึงห้องนอน ลวดลายบนจดหมายเป็นแบบเดียวกับคุณหนูกราปเนอร์ใช้’ และขอให้ช่วยกระจายข่าวลือคนละนิดละหน่อย ทำให้เธอควบคุมข้อมูลได้อย่างเด็ดขาดโดยไม่มีใครรู้ตัว

ข่าวลือเรื่องทัศนคติอันเลวร้ายที่เรมิเลียมีให้กับหญิงสาวแห่งดวงดาวได้ถูกรับรู้โดยคนทั้งโรงเรียน วิลเลียดและคนอื่นๆต่อว่าเรมิเลียอย่างหนัก แสดงความไม่พอใจทุกครั้งที่เรมิเลียปฏิเสธที่จะยอมรับความผิด และหญิงสาวแห่งดวงดาวก็จะออกตัวปกป้องเรมิเลียต่อหน้าทุกคน ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้จนถึงวันหนึ่ง ในตอนที่เอมิเดินสวนกับหญิงสาวแห่งดวงดาวที่บันไดของห้องโถง เธอกระโดดทิ้งตัวลงจากบันไดพร้อมกับกรีดร้องดังลั่นให้ทุกคนหันมามอง เอมิผู้อ่อนโยนพยายามเอื้อมมือไปจับตัวเธอไว้ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป

เอมิที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยังอยู่ในท่าเอื้อมมือไปหา โดยที่หญิงสาวแห่งดวงดาวลงไปนอนหมอบอยู่เบื้องล่างของบันได

ผู้คนโดยรอบเข้ามามุงดูในทันที รวมถึงวิลเลียดและคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆ และอีกครั้ง ที่มีแต่ข้าคนเดียวที่รู้ว่านี่คือการจัดฉากให้เอมิเข้ามาติดกับ

ข้าทำได้เพียงมองดูจากข้างใน และได้เห็นทุกอย่าง รวมถึงผู้หญิงคนนั้นที่หันมาแสยะยิ้มในตอนที่เธอล้มลง… ในใจของข้ามีความเกลียดชังเอ่อล้นจนแทบบ้า เกลียดแม้กระทั่งตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย