บทที่ 140 ไม่อาจใช้ความคิดของคนทั่วไปมาตัดสินเขาได้

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาเฉาเกิดความคิดฟุ้งซ่าน มีความเป็นไปได้หลายอย่างแวบเข้ามาในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าไม่รู้สถานะของคนที่ตัวเองคุ้มกันงั้นรึ?”

ชายชุดฟ้าร้องตะโกนอย่างไม่เป็นธรรม “หากรู้ว่านี่คือคุณหนูในตระกูลขุนนาง ทั้งยังเป็นบุตรีของเจ้าอาลักษณ์หลวงที่น่ารำคาญผู้นั้น พี่น้องของเราก็คงจะไม่หาญกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายผมหรอก…”

ใบหน้าของเหยาเฉาพลันเย็นเยือกลง ใบหน้าที่เดิมทีดูหล่อเหลาและอบอุ่นได้แฝงไปด้วยความเย็นชา “หัวหน้าของพวกเจ้ามาจากที่ใด?”

ชายชุดฟ้ากำลังจะตอบคำถาม แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายและเร่งรีบดังมาจากนอกคุกใต้ดิน ตามมาด้วยทหารประจำหน่วยที่ถือคบไฟผู้หนึ่ง ก้าวอย่างฉับไวเข้ามา จากนั้นก็พูดกับเหยาเฉาและเซวียชางว่า “พี่รอง พี่เซวีย! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ในจวนของเราถูกคนของหน่วยคุ้มกันฉางเฟิงบุกเข้ามา หัวหน้าผู้ตรวจการรับมือไม่ไหวเลยตามพวกท่านไปช่วยโดยด่วน!”

เซวียชางไม่สงสัยแต่อย่างใด รีบถือคบไฟเตรียมจะวิ่งออกไป แต่กลับเห็นเหยาเฉาไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด จึงหันกลับไปถามเขาว่า “พี่รองเหยา เราไปดูกันก่อนเถอะ กลับมาก็ค่อยไต่สวนเจ้าสองคนนี้ก็ได้…”

เหยาเฉาขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามไถ่กับผู้มาเยือน จ้องเขม็งไปทางเขาโดยไม่กะพริบตา “ข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนหรือไม่?”

ทหารประจำหน่วยผู้นั้นมีท่าทางกระวนกระวายใจ ก่อนจะรีบพูดว่า “คนในจวนตรวจการของเรามีตั้งมากตั้งมาย ไฉนเลยพี่รองจะจำได้หมดทุกคนละขอรับ? อย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบไปกันเถอะ เกรงว่าคนที่ไร้เหตุผลของหน่วยคุ้มกันเหล่านั้นจะทำลายจวนของเราเสียก่อน!”

แม้แต่เซวียชางก็ยังคล้อยตาม “พี่รอง ข้ารู้จักเด็กคนนี้ เขาเป็นน้องชายของภรรยาหวังเอ้อที่อยู่ในครัว เป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดปราดเปรื่องมากผู้หนึ่ง”

ขณะพูด เขาได้ตะโกนไปยังทหารประจำหน่วยที่ยังดูอ่อนวัยผู้นั้น “เสี่ยวเว่ย เฝ้าสองคนนี้ไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาออกจากคุกใต้ดินโดยเด็ดขาด ข้าและพี่รองจะรีบกลับมา”

ทหารประจำคุกอุทาน ‘ไอ้หยา’ ออกมาก่อนจะตอบรับว่า “พวกท่านรีบไปเถอะ ที่นี่มีแค่ข้าก็เพียงพอแล้ว”

เซวียชางพาเหยาเฉาเดินออกไปนอกคุกใต้ดิน แต่หลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง กลับเห็นเหยาเฉาชะงักฝีเท้า ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วและถามเขาว่า “ทำไมข้าจำได้ว่าหวังเอ้อยังไม่เคยสู่ขอภรรยาเล่า? เสี่ยวเว่ยคนนี้ เข้ามาในจวนตั้งแต่เมื่อใด?”

เซวียชางตะลึงงันกับคำถามของเหยาเฉา เขาเกาศีรษะเล็กน้อย “หวังเอ้อยังไม่ได้สู่ขอภรรยาหรอกหรือ? เสี่ยวเว่ยเข้ามาในจวนตั้งแต่เมื่อใดข้าเองก็จำไม่ได้ ตอนนั้นดูเหมือนจะเป็นหวังเอ้อที่พาเข้ามาด้วยตนเอง บอกว่าอยากหางานให้น้องภรรยาทำ… เพราะเห็นว่าเสี่ยวเว่ยปราดเปรื่อง สมรรถภาพร่างกายก็ไม่เลว ผู้ดูแลในจวนจึงเก็บเขาไว้”

“แย่แล้ว!” สีหน้าของเหยาเฉาพลันเปลี่ยนไป จากนั้นก็ชิงคบไฟที่อยู่ในมือของเซวียชาง พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “รีบย้อนกลับไป เร็วเข้า!”

เซวียชางยังตะลึงงันโดยไม่ได้สติกลับมา ทำได้แค่ตามเหยาเฉาย้อนกลับไป ไม่นานก็มาถึงสถานที่คุมขังนักโทษ

กระทั่งเห็นตะเกียงน้ำมันบนกำแพงมอดดับ เหยาเฉาจึงใช้คบไฟในมือส่องออกไป คนสองคนที่นอนอยู่บนพื้น ก็คือผู้คุ้มกันที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว

เซวียชางมีสีหน้าตื่นตระหนก “ทำไม ทำไมเป็นเช่นนี้! เสี่ยวเว่ยล่ะ? หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวเว่ยด้วย?”

เหยาเฉาโกรธจนอยากจะก่นด่าให้รู้แล้วรู้รอด แต่กลับนึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด จึงทำได้แค่ขยับเข้าไปใกล้เซวียชาง ปกป้องเขาไว้ด้านหลัง

“ออกมาเถอะ เรามาคุยกันดีกว่า สองคนนี้สำคัญไฉน มีค่าถึงขนาดให้นักฆ่าที่มีความเชี่ยวชาญในการลอบสังหารต้องออกโรงเองเลยรึ?”

ท่ามกลางความมืด นอกจากเสียงลมหายใจของทั้งสองคนแล้ว ก็ยังมีเสียง ‘พรึ่บพรั่บ’ ของเปลวไฟที่พลิ้วไหว ไม่นานความเงียบก็ถาโถมอีกครั้ง

เหยาเฉาหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็พูดกับความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้นว่า “แฝงตัวเข้ามาในหน่วยลาดตระเวนในช่วงสองสามวันนี้ ก็เพื่อสังหารผู้ที่ไม่สำคัญทั้งสองคนนี้สินะ? อย่างนี้กิจการค้าขายของเจ้าก็ขาดทุนน่ะสิ?”

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังออกมาจากในความมืดที่เงียบสงัด ทว่ากลับแยกทิศทางที่แน่ชัดไม่ได้

เสียงเด็กหนุ่มอันสดใสของเสี่ยวเว่ยพลันประหลาดไป แต่ยังได้ยินอย่างชัดเจนว่าเขาพูดสิ่งใด “สมแล้วที่เป็นพี่รอง ข้ายังคิดอยู่เลยว่าหลังจากที่พวกท่านออกจากคุกใต้ดินไปจะต้องพบบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่ ช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก…เดิมทีข้าตั้งใจจะทำความรู้จักกับพี่รองและจวนตรวจการแห่งนี้สักสองสามวัน ดูท่าคงจะไม่ทันเสียแล้ว ข้ารู้สึกเสียดายยิ่งนัก สู้เรามีวาสนาต่อกันค่อยพบกันใหม่ดีกว่า ถึงกระนั้นรูปลักษณ์ของข้า พี่รองก็คงไม่มีทางลืมได้หรอกใช่หรือไม่?”

เซวียชางตะโกนออกมาราวกับว่าตรงหน้าคือศัตรูตัวฉกาจ “เสี่ยวเว่ย! เจ้าเป็นใครกันแน่? ยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก เรามาเปิดเผยตัวอย่างซื่อตรงดีกว่า ดูสิว่าความสามารถของใครจะเก่งกว่ากัน!”

เสียงของเด็กหนุ่มกลับสู่น้ำเสียงเดิม ซึ่งเป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะน่าฟังดังกึกก้องออกมาจากในคุกใต้ดิน “ฮ่าๆๆ พี่รอง ข้าละชอบท่าทางโกรธเกรี้ยวของท่านยามถูกคนโง่กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเสียจริง เปรียบเทียบกับในวันธรรมดาแล้ว เวลาโกรธท่านช่างน่ารักยิ่งนัก…”

ไม่นานในคุกใต้ดินก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เซวียชางแยกแยะทิศทางของเสียงออก ก่อนจะถามด้วยความตะลึงงันว่า “นี่ นี่…เขาหนีไปแล้วใช่หรือไม่?”

เหยาเฉาเหนื่อยใจจนไม่อยากเอ่ยคำใด จากนั้นก็โน้มตัวลงไปตรวจสอบศพของผู้คุ้มกันทั้งสองคน กระทั่งเห็นทั้งสองคนถูกปาดคอด้วยของมีคม แม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือเฮือกสุดท้ายก็ยังไม่อาจเปล่งออกมาได้

เซวียชางรู้สึกว่าในสมองของตัวเองนั้นไล่ตามไม่ทัน จึงลากเหยาเฉาถอยไปด้านหลัง กระทั่งเห็นศพที่เขาตรวจสอบนั้นมีสีหน้าเขียวช้ำ จึงอดพูดอย่างละอายใจไม่ได้ “พี่รอง หากไม่ใช่เพราะข้าก่อเรื่อง สองคนนี้ก็คงไม่ตาย ตอนนี้เราก็คงได้เบาะแสไปแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าผู้ตรวจการ ไปรับผิด…”

สีหน้าของเหยาเฉาไม่สู้ดีนัก เมื่อได้ยินดังนั้นกลับส่ายหน้าและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้ารู้จักเสี่ยวเว่ยผู้นี้ดี แค่ไม่เคยได้ยินเสียงของเขามาก่อน เมื่อครู่เขาเพิ่งเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา คงจะเดิมพันอยู่ว่าข้าจะจำเขาได้หรือไม่…ข้าชะล่าใจเกินไป”

เซวียชางตื่นตกใจ “พี่รองไปพัวพันกับศัตรูที่มีความสามารถไม่ธรรมดาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ฝีมือการลอบสังหารยอดเยี่ยมมาก เสียงเมื่อครู่ก็ไม่สม่ำเสมอ ข้าละตกใจไม่น้อย!”

“ไม่ใช่ศัตรู” เหยาเฉาปฏิเสธอย่างจริงจัง “เขาไม่ใช่ศัตรู”

ในคุกใต้ดินไม่มีช่องระบายอากาศ แต่ศพทั้งสองคนที่นอนอยู่บนพื้น ทำให้เซวียชางเย็นสะท้านตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา เขาสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเหยาเฉาจึงอ้าปากแต่กลับไม่ได้เปล่งเสียงใดออกมา

ไม่นานสีหน้าของเหยาเฉาก็กลับคืนสู่ปกติ กระทั่งนึกถึงสีหน้างุนงงของเซวียชางเมื่อครู่ได้ จึงอธิบายให้เขาฟังว่า “น้ำเสียงที่ไม่สม่ำเสมอนั้นคือทักษะการเลียนเสียงอย่างหนึ่ง เป็นทักษะที่ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตถึงที่มาของเสียงได้ เพราะมันยากจะฝึกฝน คนที่ควบคุมได้จึงมีไม่มากนัก”

เซวียชางจึงพยักหน้า จากนั้นไม่นานก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยอีกว่า “ได้ยินพี่รองพูดเช่นนี้ แสดงว่าท่านก็เคยเจอกับเสี่ยวเว่ยมาก่อนสินะ?”

เหยาเฉาตอบแค่ “อื้อ” โดยไม่ได้อธิบายมากมายนัก “วาสนาได้พบพานเพียงครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกกวนใจไม่น้อย”

ความจริงแล้วทั้งสองคนเคยรู้จักกันเมื่อหนึ่งปีก่อน

ตอนนั้นเหยาเฉาพาคนเข้าไปทลายค่ายโจรของภูเขาเฮยหู่ และหลังจากที่กำจัดโจรชั่วจนเรียบในคราวเดียว กลับพบห้องลับแห่งหนึ่งในห้องผู้นำโจร

ห้องลับถูกสร้างขึ้นในชั้นใต้ดิน ในห้องนั้นทั้งเย็นยะเยือกทั้งอับชื้นคล้ายกับคุกใต้ดินที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ เหยาเฉาพบเด็กหนุ่มแข้งขาและมือหัก ถูกรัดคอด้วยโซ่เหล็ก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่เหลือสภาพดีผู้หนึ่ง

น้ำเสียงของเขาแหบพร่า ส่งเสียงได้แค่ ‘อ่า อ่า’ ออกมา ร่างกายซูบผอมเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย นัยน์ตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวที่แพรวพราวในที่ไกลแสนไกลกลับสะท้อนพลังชีวิตอันแข็งแกร่งออกมา

เขาช่างน่าสงสารจับใจ เหยาเฉาจึงเกิดความคิดอยากจะช่วยชีวิตเขา หากสถานการณ์ของเขาน่าเวทนาเกินไป โดยคำนึงถึงเกียรติยศของเด็กหนุ่ม เหยาเฉาจึงไม่บอกผู้ใดแค่ซ่อนเขาไว้อย่างเงียบ ๆ ดูแลเขาอย่างสุดกำลังเป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษ ในที่สุดก็ช่วยชีวิตกลับมาได้ในที่สุด

จนกระทั่งเด็กหนุ่มหายดี วันหนึ่งเขาก็ทิ้งจดหมายไว้ให้เหยาเฉา และจากไปโดยไม่ได้รับข่าวคราวอีกเลย

เขาได้เห็นความดื้อรั้นในสายตาของเด็กหนุ่ม อีกทั้งตลอดช่วงเวลาที่รู้จักกันเพียงไม่นาน เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีแนวคิดแยกแยะถูกผิด แต่ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก

จะว่าไปแล้วนี่คือเสือดาวที่ดุร้ายตัวหนึ่ง ปกติมักเห็นความอ่อนโยนดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ภายในกลับมีนิสัยป่าเถื่อนอย่างไม่อาจปิดบังได้

เหยาเฉาไม่อยากพัวพันกับคนเช่นนี้มากนัก โชคดีที่เด็กหนุ่มหายจากอาการบาดเจ็บและจากไปเอง จึงไม่สร้างความยุ่งยากให้เขานัก

ใครจะไปคิดเล่าว่าเด็กหนุ่มจะแฝงตัวเข้ามาอยู่ในจวนตรวจการโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทั้งยังก่อเรื่องวุ่นวายในช่วงเวลาที่สำคัญอีกด้วย…

เซวียชางไม่รู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ เขาขมวดคิ้วและถามขึ้นว่า “ที่พี่รองบอกว่าเสี่ยวเว่ยไม่ใช่ศัตรู เขาจะไม่กลับมาทำร้ายพี่รองใช่หรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องในวันนี้ต้องกลายเป็นเช่นนี้ เกรงว่าหากหัวหน้าผู้ตรวจการรู้เข้า ก็คงจะหมดหนทาง…”

เหยาเฉาส่ายหน้า

ธรรมชาติเดิมของเสี่ยวเว่ยอาจจะเป็นสัตว์ป่า หรืออาจจะเป็นนักล่าก็ได้ สิ่งที่เดียวที่ต่างคือไม่อาจใช้ความคิดของคนทั่วไปมาตัดสินเขาได้

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ทำไมบรรยากาศระหว่างพี่เฉากับเด็กหนุ่มปริศนาคนนี้มัน…/กำไม้พายในมือแน่น/

นี่ถ้าเป็นพล็อตนิยายต้านเหม่ยก็เป็นแนวคู่รักคู่แค้นแล้วนะ

ไหหม่า(海馬)