บทที่ 141 สนิทกับผู้เป็นพ่อมากขึ้น

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาเฉาเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาทำร้ายตัวเองในสักวันหนึ่งและกลายเป็นศัตรูกับเขาหรือไม่

ชายหนุ่มไม่ได้พูดสิ่งใดออกมามากมาย เพียงแค่พูดว่า “สองคนนี้ตายแล้ว ข้าจะอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้แก่หัวหน้าผู้ตรวจการเอง นับว่าโชคดีที่เราเค้นเอาข้อมูลมาไม่น้อย”

เปลวไฟบนคบเพลิงโบกไสวแม้ไร้สายลม เซวียชางมองเห็นใบหน้าอันงดงามของเหยาเฉาภายใต้แสงไฟสีแดงส้ม แต่เมื่อนึกถึงอุปนิสัยที่ไม่อ่อนแอไปกว่าใคร เขาก็พลันอ้าปากขึ้น

แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยบอกให้เขาระมัดระวังตัวก็ได้ยินเหยาเฉาออกคำสั่งว่า “ประเดี๋ยวเรียกทหารมาขนศพของทั้งสองคนนี้ออกไปเสีย เรากลับไปพักผ่อนเถอะ”

เซวียชางพยักหน้าเดินตามเหยาเฉาออกจากคุกใต้ดินที่แสนเหน็บหนาว

….

เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในคุกใต้ดิน เหยาเฉาเองก็ไม่ตั้งใจจะปิดบังอยู่แล้ว ไม่นานก็มีคนของจวนตรวจการรับรู้

ตู้เหิงดื้อรั้นที่จะรอคอยให้คนของตระกูลมารับ หัวหน้าผู้ตรวจการเองก็จนปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อม จึงทำได้แค่จัดที่ทางให้นางและสาวใช้ทั้งสองพักอาศัยอยู่ในเรือนขนาดเล็กแห่งหนึ่งของจวนตรวจการ จากนั้นก็ออกคำสั่งให้เจิ้งอันดูแลชีวิตประจำวันของพวกนางทั้งสามคน

เจิ้งอันปวดหัวจนแทบจะระเบิดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณหนูมากเรื่องผู้นี้ เขาไม่สามารถพูดจาเสียงดังโผงผางได้ และไม่กล้าหยอกล้อนางได้ตามใจชอบ ทำได้แค่เพิกเฉยนาง ปล่อยให้อยู่แต่ในเรือนขนาดเล็กติดต่อกันหลายวัน จะพูดก็ไม่ได้ สุดท้ายก็หมดปัญญา ทำได้แค่ต้องกัดฟันทนต่อไป

ภายในใจของตู้เหิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก

หญิงสาวยังคงรั้นจะอยู่ในจวนตรวจการอย่างไร้ยางอาย เพื่อจะได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับหลินเหรา ใครเล่าจะไปคิดว่าหลินเหราจะต้องกลับบ้านเพราะอาการบาดเจ็บ จึงทำให้ตัวเขาไม่ได้อยู่ในจวนตรวจการ!

โชคยังดีที่นางยังจำผู้คุ้มกันที่ถูกจับเป็นเชลยสองคนนั้นได้ขึ้นใจ และคิดจะล้วงเอาข้อมูลบางอย่างมาจากเจิ้งอัน จึงยืนกรานจะคุยกับอีกฝ่ายแม้จะมีท่าทีอึดอัดใจก็ตาม

เที่ยงวันนี้เจิ้งอันมาส่งอาหารอีกครั้ง และได้มีโอกาสพูดคุยกับสาวใช้ติดตัวของตู้เหิงสองสามประโยค “อาซู่ คุ้นชินกับในเรือนบ้างหรือไม่? อาหารเป็นอย่างไรบ้าง? กินกันได้หรือไม่?”

อาซู่สาวใช้ตัวน้อยผู้ไม่เคยแสดงท่าทางสูงส่งเฉกเช่นเจ้านายของตน นางค่อนข้างไร้เดียงสา นิสัยใจคอก็น่ารัก ทั้งยังแสดงความเคารพจากใจจริงต่อเจิ้งอันผู้ที่ช่วยชีวิตพวกนางไว้อีกด้วย

หญิงสาวตอบกลับว่า “ข้าและแม่นมจะอยู่ที่ใด จะกินอะไรล้วนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่คุณหนูน่ะสิเจ้าคะที่นอนไม่หลับ กินก็ไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อวาน”

เจิ้งอันปวดหัวยิ่งนัก เขารู้ว่าคุณหนูตระกูลขุนนางผู้นี้ปรนนิบัติรับใช้ยากเป็นที่สุด

เพราะคำว่า ‘นอนไม่หลับ กินก็ไม่ได้’ เพียงง่าย ๆ เหล่านี้ เจิ้งอันกลับถูกหัวหน้าผู้ตรวจการเรียกตัวกลับไปหลายครั้ง

ท่านผู้ตรวจการยุ่งตัวเป็นเกลียวทั้งวัน ปกติเดิมทีก็ยุ่งมากอยู่แล้วจึงคร้านจะสนใจคุณหนูผู้เอาแต่ใจคนนี้ เลยมอบหมายหน้าที่ทั้งหมดให้เจิ้งอัน และสิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียวคือ

‘ทำให้คุณหนูตู้พอใจ’

เหล่าสหายต่างรู้สึกว่าเขาได้รับงานที่น่าอิจฉากมาก ได้เห็นคุณหนูตระกูลขุนนางที่งดงามดุจเทพธิดาจากในเมืองหลวงทุกวัน ไม่ต้องเข้าฝึกอบรมที่ยากลำบาก แต่เจิ้งอันรู้สึกว่าสู้ให้ตัวเองไปฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำในค่ายทหารชานเมืองยังจะสบายใจเสียมากกว่า

ในขณะที่กำลังจะเอ่ยถามอาซู่ว่าคุณหนูของนางชอบกินสิ่งใดนั้น กลับได้ยินเสียงอันสดใสดังกังวานขึ้น เจิ้งอันตื่นตัวราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจ เขารับรู้ว่าเสียงนั้นมาจากคุณหนูตระกูลขุนนางผู้สูงส่งผู้นั้น

ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าแม่นางผู้สูงศักดิ์คนนี้มีแซ่ว่า ‘ตู้’ เมื่อเห็นนางเดินออกมาพร้อมกับผ้าคลุมหน้าอย่างงดงาม เห็นได้ชัดว่าคล้ายกับหญิงงามในภาพวาด แต่เจิ้งอันกลับรู้สึกทรมาน แม้แต่ความรู้สึกชื่นชมก็ไม่บังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

เขาลุกขึ้นเดินรุดหน้า จากนั้นก็เกร็งกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกาย ก่อนเผยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติออกมา “แม่นางตู้ อาหารเช้าวันนี้ไม่ถูกปากใช่หรือไม่? มื้อกลางวันข้าสั่งให้คนไปนำอาหารประจำเมืองหลวงจากหอไป๋เว่ยมาให้ท่าน เมื่อวานท่านคงจะตื่นตระหนกมาก กินอาหารเหล่านี้น่าจะดีขึ้น…”

เมื่อเห็นเขาเปิดกล่องอาหาร ตู้เหิงจึงกวาดตามองไปเห็นอาหารละลานตาทั้งห้าอย่างถูกวางเป็นสองชั้น แม้แต่น้ำแกงสักชามก็ไม่มี คิ้วเรียวสวยค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน

สิ่งที่เจิ้งอันกลัวที่สุดคือท่าทางขมวดคิ้วของแม่นางตู้นี่แหละ

เนื่องจากแม่นางน้อยปกปิดหน้าด้วยผ้าคลุมหน้า เขาจึงไม่เห็นสีหน้าอย่างอื่นของนางนอกจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันน้อย ๆ นี้ทำให้รู้ว่าหญิงสาวกำลังไม่พอใจ แต่ตู้เหิงกลับไม่พูดสิ่งใดนอกจากพูดอย่างเกรงใจว่า “ขอบคุณท่านแม่ทัพเจิ้งมาก สองสามวันนี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว”

เจิ้งอันแปลกใจอย่างมาก

แม่นางตู้ผู้นี้ไม่ยอมให้ตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรมแน่ อาหารเช้าที่ไม่ชอบนางจะไม่แตะแม้แต่คำเดียว ทำไมกัน หรือว่าอาหารจากหอไป๋เว่ยจะทำให้แม่นางน้อยผู้นี้ติดใจได้แล้ว?

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่งสัญญาณให้อาซู่นำอาหารไปจัดวางในห้องโถงกลางให้แก่คุณหนู ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “แม่นางตู้กินข้าวเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เจิ้งอันก็ก้าวเท้ากำลังเดินจากไป หากแต่ถูกแม่นางตู้เอ่ยรั้งเอาไว้ “ท่านแม่ทัพเจิ้งอัน ได้โปรดช้าก่อน”

เจิ้งอันเกิดอาการตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าที่นางเอ่ยรั้งตนเอาไว้นั้นเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย รู้แค่ว่าการที่ถูกคุณหนูผู้สูงส่งผู้นี้เรียกไว้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเจอะเจอกับหายนะมากกว่า

เขาข่มอารมณ์ไว้ “แม่นางตู้ไม่ต้องเกรงใจไป เรียกข้าว่าเจิ้งอันหรือพี่ใหญ่เจิ้งก็ได้”

ตู้เหิงกลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ยังคงเรียกสรรพนามเดิมว่า “ท่านแม่ทัพเจิ้งต่างหากที่เกรงใจแล้ว ท่านคอยดูแลเราสามคนอย่างดี ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

เจิ้งอันนึกเบะปากอยู่ในใจ หากแต่ใบหน้ายังคงดูสุภาพเรียบร้อย “แม่นางตู้มีเรื่องใดจะรับสั่งหรือ?”

ความหมายในคำพูดนั้นคือมีสิ่งใดก็ให้รีบ ๆ พูด เขาไม่อยากอยู่รับใช้นานนักหรอก

ตู้เหิงยกมือขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ผายไปยังทิศทางของเก้าอี้ “เชิญท่านแม่ทัพเจิ้งนั่งคุยกันก่อนจะดีกว่า”

ช่างเป็นสตรีผู้สูงส่งโดยแท้จริง ทุกอากัปกิริยาเห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี แม้แต่กิริยาง่าย ๆ อย่างการยกมือกลับมีเสน่ห์จนไม่อาจพรรณนาออกมาได้

เจิ้งอันรู้สึกว่าในตอนที่คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่สร้างปัญหา ช่างดูงดงามพาให้สบายตายิ่งนัก

ทั้งสองคนนั่งบนเก้าอี้ โดยมีอาซู่รินน้ำชาให้ ทำให้เจิ้งอันเกิดความรู้สึกว่า ‘ที่นี่ช่างสบายยิ่งนัก’ ขึ้น

ตู้เหิงช่างเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์โดยแท้จริง มีการวางตัวในขณะที่พูดคุยกับเจิ้งอัน ไม่นานเขาก็สามารถหาหัวข้อสนทนาที่สนใจได้ไม่น้อย ทั้งสองคนจึงพูดคุยกันอย่างสบายใจ

จนกระทั่งนางเอ่ยถามมาคำถามหนึ่ง “ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับผู้คุ้มกันที่ถูกจับมาเป็นเชลยทั้งสองหรือ?”

เจิ้งอันพลันรู้สึกตัวขึ้นมาและตระหนักได้ว่าไม่ควรนำเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนมาเปิดเผยต่อคนภายนอก เขาจึงพูดขึ้นว่า “เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ตู้เหิงไม่สนใจชีวิตของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว หากแต่สิ่งที่นางสนใจไม่ใช่เรื่องนี้

“แต่ก็ถามข้อมูลอะไรไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ? เหตุใดหน่วยคุ้มกันฉางเฟิงถึงทำเช่นนี้ หนำซ้ำยังคิดจะทำร้ายผู้ว่าจ้างอีก?”

เมื่อเจิ้งอันเห็นนางถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่ได้ถามเรื่องอื่นเขาจึงไม่ปิดบังและพูดความจริงออกไปว่า “ข่าวเล่าข่าวลือของหน่วยคุ้มกันฉางเฟิงนั้นไม่เลวนัก แต่มักจะทำเรื่องที่ผิดกฎเกณฑ์อยู่เสมอ บางครั้งผู้คุ้มกันก็แต่งกายเป็นโจรภูเขาออกปล้นชาวบ้าน คราวนี้อาจเพราะแม่นางตู้โชคไม่ดีเข้า ก็เลยไปเจอกับเรื่องเช่นนี้….”

ข้อสงสัยที่ปรากฏขึ้นขณะไต่สวนต้องหยุดชะงักกลางคันเพราะการตายโดยไม่คาดคิดของผู้คุ้มกันทั้งสองคน เหยาเฉาไม่ได้นำข้อสงสัยที่มีความเป็นไปได้เหล่านี้เปิดเผยแก่ทุกคน แต่ตั้งใจจะค่อย ๆ สืบหาเป็นการส่วนตัว ทุกคนในจวนตรวจการต่างคิดว่าตู้เหิงเป็นเพียงแค่คุณหนูผู้สูงส่งที่ไม่รู้สิ่งใดผู้หนึ่งเท่านั้น แค่ออกจากบ้านครั้งเดียว แต่กลับถูกดึงมาเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัว

เมื่อตู้เหิงเห็นเขาพูดเช่นนี้ ในใจก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก——

เรื่องที่นางติดต่อกับหน่วยคุ้มกันนั้นคงทำได้ไม่รอบคอบนัก เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดในตอนนี้ ก็พบว่ายังมีเรื่องที่ไม่เรียบร้อยอีกมากมายที่ยังไม่ได้รับการเก็บกวาดให้สะอาด

โชคดีที่ผู้คุ้มกันทั้งสองคนตายไปแล้ว หากพลั้งปากพูดให้คนสืบหาได้มากกว่านี้อย่าว่าแต่จะเข้าใกล้หลินเหราเลย เกรงว่าแม้แต่ชื่อเสียงของจวนเจ้าอาลักษณ์หลวงก็ล้วนถูกนางดึงเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

ถึงอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูที่ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในห้องส่วนตัว ไม่มีทางที่จะมีความสามารถในการติดต่อกับหน่วยคุ้มกันอย่างลับ ๆ เป็นแน่ ทั้งยังให้ฝั่งนั้นจัดตั้งหน่วย ‘ผู้พิทักษ์หญิงงาม’ ขึ้นอีกด้วย

เมื่อถามเรื่องที่อยากรู้แล้ว ตู้เหิงก็หมดความอดทนในการพูดคุยกับเจิ้งอันต่อ ทั้งยังหลบเลี่ยงเพียงเพราะรู้สึกเหนื่อยและส่งเจิ้งอันกลับไปในที่สุด

กระทั่งออกจากจวน เจิ้งอันก็รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่เลวเลยจริง ๆ อาจจะเคยชินกับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองไปบ้าง หากเขาใช้หัวใจดูแลก็น่าจะดูแลนางได้อย่างดี…

กระทั่งไม่ถึงหนึ่งชั่วยามหลังจากส่งสำรับเสร็จ เจิ้งอันก็ถูกหัวหน้าผู้ตรวจการเรียกตัว ทั้งยังด่ากราดด้วยโทสะฉาดใหญ่ “แค่สั่งให้เจ้าดูแลอาหารการกินของพวกนางทั้งสามคนให้ดี เรื่องแค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้ ต่อไปจะกล้ามอบหมายเรื่องใหญ่กว่านี้ให้เจ้าได้อย่างไร?!”

เจิ้งอันไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย กลับพบว่าคุณหนูผู้นั้นยังไม่แตะข้าวสักเม็ด

ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองลงพลางกัดฟันกรอดและพูดว่า “ท่านผู้ตรวจการ สู้เรียกสหายหลินกลับมาเถิดขอรับ ข้าว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์นั้น คงมีแค่สหายหลินเพียงผู้เดียวที่ดูแลได้…”

หัวหน้าผู้ตรวจการพลันขมวดคิ้ว พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หมายความว่าอย่างไร?”

เจิ้งอันเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นเบ้าตาที่ดำคล้ำเพราะอดหลับอดนอนมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน ก่อนจะพูดอย่างหดหู่ใจว่า “แม่นางตู้ไม่นอนตลอดทั้งคืน ไม่ใช่เพราะกลัวหรอกหรือ? บัดนี้ยังไม่กินข้าวอีก บอกว่าเพราะความหวาดกลัว จนกินไม่ได้… เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เพราะอาหารการกินที่เราเตรียมให้ไม่ดีพอ แต่เพราะความผิดปกติของนางเองต่างหากขอรับ”

เมื่อเห็นหัวหน้าผู้ตรวจการเบิกตากว้าง เจิ้งอันจึงรีบพูดว่า “ดังนั้นเราต้องคิดหาทาง! ให้คุณหนูเลิกกลัว! ข้าเห็นว่าในตอนที่ช่วยชีวิตนั้น แม่นางตู้มีความศรัทธาในตัวของสหายหลิน คิดว่าคงมีแค่ต้องเรียกสหายหลินกลับมาดูแล อาจจะได้ผลก็ได้ขอรับ!”

เขาถึงกับปั้นน้ำเป็นตัวยอมเสียเพื่อนดีกว่าเสียผลประโยชน์ เมื่อต้องถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจิ้งอันจึงมีแค่การโยนให้สหายเพียงหนทางเดียวเท่านั้น

หัวหน้าผู้ตรวจการยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นเจิ้งอันผู้น่าสงสารก็หมดปัญญา ทำได้แค่พยักหน้าและพูดว่า “งั้นก็ตามนี้ เรียกอาเหรากลับมาเถอะ”

เพราะหลินเหราได้รับบาดเจ็บบนไหล่ เหยาซูจึงไม่ยอมให้เขาแตะต้องเรื่องในบ้าน

เขาจึงเฝ้ารออย่างว่าง่าย เล่นเป็นเพื่อนลูก ๆ ทั้งสามอยู่ในบ้าน

เรื่องที่เด็กน้อยต้องการมากที่สุดคือเพื่อนเล่น เพียงแค่ไม่กี่วัน ต้าเป่าและเอ้อเป่าทั้งสองคนก็สนิทกับผู้เป็นพ่อมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ซานเป่า ก็ยังหลงใหลในการเล่นกับพ่อของตัวเอง

เมื่อเหยาซูสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ก็พูดกับหลินเหราว่า “หากท่านได้หยุด และมีเวลาทำความรู้จักกับเด็ก ๆ มากกว่านี้ ก็คงจะเข้าใจความคิดของพวกเขามากขึ้น เด็ก ๆ โตเร็วทีเดียว พริบตาก็ถึงวัยที่ต้องจากบ้านแล้ว”

หลินเหราสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็ก ๆ ในช่วงสองวันนี้เช่นกัน จึงพยักหน้าและตอบรับว่า “รอให้เสร็จเรื่องในอีกสองสามวัน ข้าจะได้กลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าและลูกมากขึ้น”

เหยาซูยิ้ม โดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เพิ่งรู้ว่ามะม่วงแรดมันก็ปลูกได้งอกงามในภูมิภาคต้าเยี่ยนด้วย อาซูเตรียมขวานไปโค่นต้นมะม่วงนี่ด้วยนะคะ อย่าให้สามีเธอติดใจมะม่วงพันธุ์นี้เข้าเชียว

เจิ้งอันขายเพื่อนซะแล้ว งานนี้นายต้องทำใจให้เข้มแข็งแล้วนะอาเหรา

ไหหม่า(海馬)