บทที่ 152 จี้จิ่วหนุ่ม

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

ราชครูจวงตำหนิรองเจิ้งจบก็กลับไปยังห้องหนังสือเพื่อปลอบพระทัยฝ่าบาท

แผนที่เขาใช้คือจะไม่ปฏิเสธว่ารองเจิ้งทำผิด แต่น้ำใสย่อมเห็นตัวปลา เห็นเรื่องลับลมคมในดีกว่ามองไม่เห็น ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นคดีเก่าของเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ยามนี้รองเจิ้งไม่ได้ปรากฏพฤติกรรมเลวทรามพรรค์นั้นอีก ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าคนผู้นี้กลับตัวกลับใจแล้ว

เขาจะทูลขอให้ฝ่าบาททรงมอบโอกาสให้เขาได้กลับตัวกลับใจอีกครั้ง

นอกจากนี้กั๋วจื่อเจียนยังอยู่ในช่วงกระอักกระอ่วนที่กำลังขาดแคลนบุคลากร ไม่มีใครที่เหมาะสมจะอยู่ในตำแหน่งจี้จิ่วได้เท่ารองเจิ้งแล้ว

อย่างไรเสีย หลี่ซือเยี่ยก็อายุน้อยกว่า อีกทั้งอาวุโสน้อยกว่าด้วย ทำการอันใดยิ่งไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ข่มพวกตาแก่หัวรั้นเหล่านั้นไม่ได้หรอก

บางครั้งคนปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์และร้อยพันกระบวนท่าอย่างรองเจิ้งต่างหากที่จะสามารถกลายเป็นดาบแหลมคมที่จะแหวกโค่นดงหนามให้ฝ่าบาทได้มากกว่า

หากไม่พูดถึงความสามารถของราชครูจวง จากมุมมองการวิเคราะห์ปัญหานั้น คนปกติทั่วไปคงไม่กล้าพูดกันเช่นนี้

ทว่าฝ่าบาททรงรู้สึกว่าถ้อยคำนี้เป็นคำสัตย์จริงจากใจ และหวังว่าราชสำนักของแคว้นจ้าวจะใสสะอาด แต่ก็เป็นไปดังที่ราชครูว่าไว้ ดาบที่เชื่องและทู่เกินไปใช้การยาก ดาบที่คมกริบเกินไปก็บาดมือไม่มากก็น้อย

อยากจะหาดาบที่ทั้งคมและไม่มีทางทำตัวเองบาดเจ็บนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก

หากจี้จิ่วอาวุโสอยู่ก็คงจะดีสิ…

สุดท้ายฝ่าบาทก็ถูกเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ เก็บตำแหน่งของรองเจิ้งเอาไว้รวมถึงตัดสินพระทัยแต่งตั้งเขาให้เป็นจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนในสองสามวันต่อมา และลงโทษเพียงหักเงินเดือนครึ่งปีเพื่อเป็นการเตือนใจเท่านั้น

แถมยังบอกกับภายนอกว่าความจริงแล้วมีการปลอมแปลงสมุดบัญชีมาใส่ร้ายรองเจิ้ง

รองเจิ้งเฝ้าอยู่นอกวังหลวงเห็นราชครูจวงออกมาก็คำนับให้อย่างจริงใจ “ราชครูช่างมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อข้าน้อยยิ่ง ภายหน้าข้าน้อยจะบุกน้ำลุยไฟไม่กลัวความยากลำบากและภัยอันตรายโดยไม่บ่ายเบี่ยงเพื่อราชครูอย่างแน่นอน!”

ราชครูจวงเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าฝ่าบาทไม่ไต่ถาม เจ้าก็ไร้ทุกข์โศกให้กังวลใจเชียว ต่อไปนี้เจ้าอย่าได้กำเริบเสิบสานทำตามอำเภอใจให้คนมาจับจุดอ่อนเอาได้อีก!”

รองเจิ้งเหงื่อเย็นผุดซึมก่อนจะค้อมกายเอ่ย “ขอรับ ข้าน้อยจะจดจำไว้”

ราชครูจวงยังเอ่ยขึ้นอีก “แล้วก็เรื่องสอบประจำเดือน เจ้าต้องคิดหาวิธีทำให้สำเร็จลุล่วงผ่านไปได้ด้วยดีให้ได้!”

“…ขอรับ!”

รองเจิ้งกลับกั๋วจื่อเจียนมาอย่างเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พอใจนัก

เซียวลิ่วหลังกำลังนั่งอยู่ใต้เงาไม้ สอนเสริมให้หลินเฉิงเยี่ยอยู่ เห็นรองเจิ้งเดินดุ่มๆ มาหาเขาจึงปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเรียบนิ่งแวบหนึ่ง

จู่ๆ รองเจิ้งก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้น เรื่องนี้เซียวลิ่วหลังเป็นคนทำแน่นอน!

แต่นี่มันน่าแปลกมากเลยมิใช่หรือ

ข้อสอบประจำเดือนซ่อนอยู่ในช่องลับหลังภาพวาดติดผนัง สมุดบัญชีซ่อนอยู่ในห้องลับของหมิงฮุยถัง เซียวลิ่วหลังมีญาณสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินมาจากไหน จึงได้รู้ความลับของตนมากมายเพียงนี้ แล้วแอบเข้าไปในหมิงฮุยถังไปได้อย่างไรโดยที่ไม่ถูกคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่พบเข้า

ในใจรองเจิ้งราวกับกองไฟสุมแผดเผาเขาให้ร้อนรุ่มทำอะไรไม่ถูก

เซียวลิ่วหลังเบนสายตาหนีไปอย่างไม่ใส่ใจ เหลือบมองเขาอย่างรังเกียจอยู่สักพัก

รองเจิ้งโดนยั่วโทสะขึ้นมาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเจ้าเด็กนี่จะเป็นคนทำหรือไม่ เขาเกลียดชังเจ้าเด็กนี่จะตายอยู่แล้ว!

แต่เขาดันลงมือทำอะไรกับเจ้าเด็กนี้ไม่ได้อีกแล้ว!

“เอ๊ะ รอง…เจิ้ง” หลินเฉิงเยี่ยเห็นอีกฝ่ายเข้า

เซียวลิ่วหลังส่งข้อสอบที่แก้เสร็จแล้วไปให้หลินเฉิงเยี่ย ในนั้นขีดวงบริเวณที่เขาเขียนไม่ค่อยละเอียดพอไว้ให้ จากนั้นเซียวลิ่วหลังก็มองรองเจิ้งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “รองเจิ้งจะมาขอโทษหรือ”

“ขะ…ขอโทษอะไรกัน” รองเจิ้งชะงัก

เซี่ยวลิ่วหลังปัดฝุ่นแขนเสื้อกว้างไปมาด้วยท่าทางเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางไม่แยแส “กระดาษคำตอบของข้าน่ะ ดูเหมือนว่าข้าจะตอบไม่ผิดเลยสักข้อ รองเจิ้งตัดสินคะแนนให้ข้าอย่างไร หรือว่าจะเป็นเหมือนที่เขาลือกันว่ารองเจิ้งจงใจกลั่นแกล้งข้า”

ก็ใช่น่ะสิ ข้ากลั่นแกล้งเจ้า ทำไมรึ

มีปัญญาเจ้าก็กัดข้าสิ!

หากเป็นเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนรองเจิ้งคงกล้าเอ่ยเช่นนี้ ทว่ายามนี้เขากลับทำไม่ได้แล้ว

รองเจิ้งปากยิ้มตาไม่ยิ้มพลางเอ่ย “วันนั้นข้าบอกพวกเขาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วแท้ๆ ว่าที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาฟังเพี้ยนกันอย่างไรจึงได้เขียนผลสอบเจ้าเป็นที่โหล่ไปได้”

“อ๋อ” เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็รบกวนรองเจิ้งแก้ผลสอบคืนด้วยได้หรือไม่เล่า”

รองเจิ้งกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงกรอด เส้นเอ็นข้างขมับเต้นตุบ “…แก้สิ จะแก้เดี๋ยวนี้!”

รองเจิ้งต้องแก้ผลการสอบของเซียวลิ่วหลังไม่พอ ยังต้องขอโทษเซียวลิ่วหลังต่อหน้าสาธารณะชนด้วย นี่เป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ราชครูจวงสั่งเขา

หากอดทนกับความอัปยศแค่นี้ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่คู่ควรจะเป็นดาบในมือราชครูจวงหรอก

ตอนที่รองเจิ้งกลั่นแกล้งเซียวลิ่วหลังนั้นสะใจยิ่งนัก คำขอโทษกระทบเข้าโสตเขาจะก้องกังวานเท่าใด

รองเจิ้งกำหมัดแน่น “เจ้ารอได้เลย ต้องมีสักวันที่ข้าได้เป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียน…”

เจ้าได้เห็นดีแน่!

โรงเรียนเด็กเล็กเลิกเรียนเร็วกว่ากั๋วจื่อเจียน โดยปกติแล้วเสี่ยวจิ้งคงจะทำการบ้านรอเซียวลิ่วหลังมารับเขาที่ห้องเรียน

วันนี้คาบเรียนสุดท้ายของห้องไซว่ซิ่งคือเรียนด้วยตัวเอง จะไม่ไปก็ได้

เซียวลิ่วหลังจึงไปรับเสี่ยวจิ้งคงที่โรงเรียนเด็กเล็ก

“เจ้าโดดเรียนอีกแล้ว!” เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอวมองเขา

“ไม่มีเรียนต่างหาก” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

เสี่ยวจิ้งคงเอามือสองข้ากอดอกพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คาบเรียนเรียนด้วยตัวเองไม่ใช่คาบเรียนหรือไร”

เซียวลิ่วหลัง เจ้าหรือว่าข้ากันแน่ที่เป็นผู้ปกครองแน่

“ไปกันได้แล้ว” เซียวลิ่วหลังคว้ากระเป๋าของเขาขึ้นมาให้เขาสะพายเข้าที่

เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจการกระทำอันน่าพิศวงงงงวยของผู้ใหญ่ แต่เขาคิดถึงเจียวเจียวยิ่งนัก จึงสะพายกระเป๋าหนังสือที่เจียวเจียวเย็บให้เขาด้วยตัวเองแล้วเดินออกจากกั๋วจือเจียนตามหลังพี่เขยนิสัยไม่ดีไป

บนถนนใหญ่ฉางอันผู้คนไปมาขวักไขว่

วันนี้พี่ชายขายผลไม้เคลือบน้ำตาลเปลี่ยนที่ขายใหม่ บังเอิญอยู่ห่างจากที่พักของพวกเขาไปไม่ไกล

เซียวลิ่วหลังมองผลไม้เคลือบน้ำตาลแวววาวเป็นประกายที่อยู่ไม่ไกลออกไปพลางถามเสี่ยวจิ้งคงว่า “จะกินผลไม้เคลือบน้ำตาลหรือไม่”

เสี่ยวจิ้งคง “กิน!”

เซียวลิ่วหลัง “ไม่ซื้อให้เจ้าหรอก”

เสี่ยวจิ้งคง “…”

นี่เป็นการกระทำอันน่าพิศวงงงงวยของผู้ใหญ่อย่างที่สองที่เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจเอาเสียเลย

แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมโดนรังแกง่ายๆ เช่นกัน

เขาหยุดฝีเท้าลง ยกมือเท้าเอวเล็กๆ พลางเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย “ข้าจะคิดค่าเช่าเจ้าเพิ่ม!”

เซียวลิ่วหลัง รู้จักการขึ้นค่าเช่าเสียด้วย!

สุดท้ายเสี่ยวจิ้งคงก็ไม่ได้กินผลไม้เคลือบน้ำตาลของเขาอย่างที่ใจปรารถนา เพราะพอพี่เขยเดินไปถึง ไม้สุดท้ายก็ขายเกลี้ยงแล้ว

เสี่ยวจิ้งคงคลุ้มคลั่ง!

ไอ้หยา ข้าไม่สบายใจเอาเสียเลย!

พาผู้ใหญ่คนหนึ่งออกจากบ้านนี่มันยากเหลือเกิน!

เสี่ยวจิ้งคงหน้าบึ้งตึงเดินกลับไปอย่างเชื่องช้า

ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าตรอกปี้สุ่ยนั้น จู่ๆ เบื้องหน้าก็มีเสียงสั่นเทาลอยมาว่า “อะ…อาเหิง”

เสียงนั้นยานคางแก่ชราแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นและสั่นเทาที่มาจากจิตวิญญาณ

ร่างเซียวลิ่วหลังพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว

เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้น

มือข้างหนึ่งของเขาถือไม้เท้าเอาไว้ มืออีกข้างจับมือเสี่ยวจิ้งคงแล้วรีบดึงเจ้าเณรน้อยเข้าไปในตรอกปี้สุ่ยอย่างรวดเร็ว

“ไอ้หยา ข้าไม่ให้เจ้าจูง! ข้าจะเดินเอง!”

เป็นเสียงพร่ำบ่นเล็กๆ ของเสี่ยวจิ้งคง

“อะ…อาเหิง!”

ชายชราสาวเท้าเดินตามไป พื้นถนนลื่นเขาจึงเกือบล้มลง

โชคดีที่ผู้ดูแลหลิวที่อยู่ด้านข้างจับเขาไว้ได้ทัน “นายท่าน ท่านระวังสิขอรับ! หมู่นี้เมืองหลวงมีหิมะตก น้ำแข็งเกาะพื้นถนนหมดแล้ว ท่านระวังล้มด้วย!”

ชายชราดีใจจนตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่”

“เห็นใครหรือขอรับ” หลิวเฉวียนถาม

“อาเหิง!” ชายชราบอก

“ท่านชายอาเหิง…จี้จิ่วน้อยน่ะหรือขอรับ นายท่าน ท่านตาฝาดไปแล้วกระมัง จี้จิ่วน้อยจากโลกนี้ไปแล้วนะขอรับ” หลิวเฉวียนเป็นคนรับใช้ของชายชรา แม้ว่าจะติดตามชายชรามาหลายปี ช่วยชายชราจัดการงานในบ้านมาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยไปกั๋วจื่อเจียนมาก่อน และไม่เคยพบกับจี้จิ่วหนุ่มน้อยในตำนานผู้นั้นเลย

“อาเหิง…” ชายชราทอดมองตรอกปี้สุ่ยอันว่างเปล่าอย่างหดหู่ใจ

หลิวเฉวียนเอ่ยด้วยความสงสาร “นายท่านขอรับ บางทีอาจจะเป็นคนที่หน้าคล้ายก็ได้นะขอรับ”

ชายชราส่ายหน้า

หากเป็นคนอื่นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตอนที่เขาได้ยินว่ามีคนเรียกเขาก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนเรียกตามสัญชาตญาณแล้วสิ ไม่มีทางมีปฏิกิริยาเหมือนอย่างเมื่อครู่ได้หรอก

เห็นได้ชัดว่าเขาจำเสียงของตนได้

ช่างปุบปับเกินไปเขาจึงตั้งตัวกลบเกลื่อนไม่ทัน เพื่อไม่ให้ตนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาจึงได้เดินหนีไปอย่างนั้น

“เป็นอาเหิง! เป็นเขานั่นแหละ!” ชายชรายากจะระงับอารมณ์ได้ที่สั่งสมมานานได้ เขาพยายามนึกย้อนความทรงจำ “ดูเหมือนว่าเขาจะสวมชุดบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนนะ”

หลิวเฉวียนเอ่ย “นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่เลยกระมัง จี้จิ่วน้อยจะกลายเป็นบันฑิตของกั๋วจื่อเจียนได้อย่างไรเล่าขอรับ”

เขาเป็นถึงจี้จิ่วหนุ่มน้อยที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองเชียวนะ!

ชายชราก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ทว่าต่อให้แปลกใจกว่านี้ก็สู้ความจริงตรงหน้าไม่ได้ “จะอย่างไรก็ช่าง เจ้าไปสืบความดูหน่อย ข้าเห็นเขาถือไม้เท้า เหมือนว่าขาเขาจะบาดเจ็บนะ”

“ขอรับ นายท่าน” หลิวเฉวียนขานรับอย่างจนใจ

กั๋วจื่อเจียนมีบัณฑิตมากมาย หากต้องการจะสืบความบัณฑิตคนหนึ่งนั้นไม่ง่าย ทว่าสืบความบัณฑิตขาเป๋คนหนึ่งนั้นกลับไม่ได้ยากถึงเพียงนั้น

โดยเฉพาะเซียวลิ่วหลังที่โด่งดังในกั๋วจื่อเจียนเพราะเรื่องของรองเจิ้ง ภายในเวลาอันสั้น หลิวเฉวียนก็สืบสาวเอาความเรื่องราวของเซียวลิ่วหลังมาได้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว

หลิวเฉวียน “จะว่าไปแล้วบัณฑิตคนนี้มีวาสนากับพวกเราอยู่บ้างนะขอรับ เขาเคยเล่าเรียนที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียง แถมเขายังพักอยู่ในหมู่บ้านของผู้มีพระคุณตัวน้อยคนนั้นด้วย!”

ชายชรา “เขามีนามว่าอะไรรึ”

หลิวเฉวียน “เซียวลิ่วหลังขอรับ”

ชายชราตกใจ “เขาเองรึ”

แน่นอนว่าชายชราเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ตอนพักอยู่ที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียง เจ้าสำนักหลีไม่ได้เรียกเซียวลิ่วหลังไปหาที่หอจงเจิ้งแค่ครั้งสองครั้ง

มิหนำซ้ำเขายังเคยอ่านบทความของเซียวลิ่วหลัง รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีความเคียดแค้นมากเกินไป ไม่เหมาะจะรับมาเป็นศิษย์

เขาอยู่ด้านหลังฉากบังลมมาโดยตลอดจึงไม่เคยพินิจมองหน้าค่าตาของอีกฝ่ายเป็นพิเศษเลย

หากเขาออกมามองสักนิดจะได้พบว่าเขาคืออาเหิงเร็วขึ้นอีกหน่อยหรือไม่นะ

เขาจำเสียงอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเพราะเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดเสียงเปลี่ยนไปแล้ว

ทว่าลายมือกับสำนวนการเขียนเล่า มันเกิดอะไรขึ้น

ราวกับว่าเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนราวกับหยกในอดีตคนนั้นกลับกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเคียดแค้นและเย็นชาเพียงชั่วข้ามคืน ซ้ำยังเปลี่ยนตัวตนไปเป็นอื่นอีก

อาเหิงของเขาไปเจออะไรมากันแน่นะ

ทางด้านเสี่ยวจิ้งคงที่หลังจากโดนพี่เขยเขาจูงมือกลับบ้านแล้วก็แอบวิจารณ์เขาว่า นี่คือการกระทำอันน่าพิศวงงงงวยของผู้ใหญ่อย่างที่สาม

“เหตุใดเจ้าต้องหนีด้วยเล่า” เขาเงยหน้าขึ้นถาม

“ข้าไม่ได้หนีเสียหน่อย แค่เดินไวขึ้นเท่านั้น” เซียวลิ่วหลังเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดจู่ๆ ต้องเดินไวขึ้นด้วยเล่า หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าเดินไวขึ้นจะสะดุดล้มเอาได้ พวกเราสองคนน่ะ…เป็นคนที่สะดุดล้มง่ายที่สุดในบ้านเลยนะ!”

สามารถเดินได้เร็วเท่าใดเขาไม่รู้แจ้งแก่ใจเลยหรือไร

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยต่อ “เมื่อครู่ท่านคนนั้นเรียกเจ้าว่าอาเหิง เหิงไหนหรือ เหิงที่แปลว่าอันธพาลออกอาละวาดรึ หรือว่าเหิงที่แปลว่าถมึงตาจ้องมองอย่างไม่กลัวเกรง”

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “สองคำนี้ใช้เหิงเดียวกันทั้งคู่ อีกอย่างนะ เจ้าฟังผิดแล้ว คนที่เขาเรียกไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”

“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงหดหู่ นึกไม่ถึงว่าจะไม่ตกหลุมพราง

เซียวลิ่วหลังเปลี่ยนเรื่อง “อย่ามัวมากความอยู่เลย วันนี้เรียนภาษาแคว้นเฉินนะ การบ้านที่ได้เมื่อวานทำเสร็จหรือยัง”

ตั้งแต่เสี่ยวจิ้งคงสอบเข้าเรียนคะแนนน้อยก็เริ่มต้นประสบการณ์ที่น่าเศร้าอย่างการเรียนภาษาต่างแคว้นเสริมอย่างหฤโหดหลังเลิกเรียนทุกวัน

ความสนใจของเสี่ยวจิ้งคงโดนเบี่ยงเบนสำเร็จ เขาหยิบการบ้านของตัวเองออกมาจากกระเป๋าหนังสือ “แน่นอนว่าทำเสร็จแล้วสิ! เจ้าคิดว่าข้าเป็นเจ้าหรือไรที่ต้องให้คนมาจ้ำจี้จ้ำไชถึงจะขยับน่ะ! ไม่เฆี่ยนไม่ตีเจ้า เจ้าจึงสอบได้ที่โหล่!”

เซียวลิ่วหลัง “…”

ที่โหล่แล้วมันปล่อยผ่านไปไม่ได้เลยหรือไร

เซียวลิ่วหลังตรวจการบ้านของเขาแล้วโดยรวมไม่มีข้อผิด แต่คงไม่พูดไม่ได้ว่าแม้จะสอนเหมือนกันแต่สอนเสี่ยวจิ้งคงเหนื่อยว่าสอนหลินเฉิงเยี่ยมากนัก

“อาเหิง…” จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็เลียนแบบชายชราด้านนอกคนนั้น จีบมือเป็นรูปดอกกล้วยไม้ ดัดเสียงเอ่ยเรียกเซียวลิ่วหลังขึ้น

เซียวลิ่วหลังตัวสั่นไปทั้งร่างถูกฟ้าผ่าจนกรอบนอกนุ่มใน!

ขะ…เขาไปสอนหลินเฉิงเยี่ยดีกว่า!

ทว่าหลังจากที่ชายชราคนนั้นเห็นเซียวลิ่วหลังกับตาตัวเองแล้วก็ยังไม่อาจสงบจิตสงบอารมณ์ได้อยู่นาน ลางสังหรณ์บอกเขาว่านั่นคืออาเหิงของเขา แต่ท่าทีทั้งหมดของเซียวลิ่วหลังกลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์

ชายชราตัดสินใจไปหาเขาที่บ้านด้วยตัวเองสักครั้งเพื่อให้รู้ความจริงอย่างกระจ่าง

เขาจำได้ว่าวันนั้นทั้งสองคนหายลับไปในตรอกปี้สุ่ย ส่วนจะเป็นเรือนหลังใดในนั้นก็คงต้องไล่หาไปทีละหลัง

เขาหาวันหยุดของกั๋วจื่อเจียนเจอแล้ว

วันนี้ก็เป็นวันหยุดของสำนักบัณฑิตชิงเหอเช่นกัน

ทว่าชายฉกรรจ์สี่คนในบ้านไม่มีใครว่างเลย พวกเขาต่างตามกู้เจียวไปซื้อของไหว้ปีใหม่กันหมด

ด้วยเหตุนี้เมื่อชายชรามาถึงบ้านของพวกเรา บ้านจึงได้เงียบเชียบว่างเปล่า

หน้าประตูปิดงับไว้เฉยๆ

หญิงชรานางนั้นแง้มประตูไว้ให้บรรดาสหายเล่นไพ่ของนาง

“ขอรบกวนถามหน่อยว่าเซียวลิ่วหลังอยู่หรือไม่”

ชายชราถามขึ้นอย่างเกรงใจ

ไม่มีใครตอบ

ชายชราเดาว่าตัวคนคงอยู่หลังบ้าน เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งสุดท้ายก็สาวเท้าเดินเข้าไป “ข้ามาหาเซียวลิ่วหลัง เขาอยู่บ้านหรือไม่”

หญิงชรากำลังนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่เรือนท้าย ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวยังนึกว่าสหายวงไพ่ของตัวเองมาหา จึงหันหน้ามามอง

เอ๋

เป็นชายชราคนหนึ่งรึ

สหายวงไพ่คนใหม่อย่างนั้นรึ

มาขอเล่นไพ่ด้วยรึ

ชายชราเห็นหญิงชราชัดเจนแล้วเช่นกัน ปฏิกิริยาของเขามีมากเสียกว่านางอีก

ไทเฮา

ขาสองข้างของเขาอ่อนยวบคุกเข่าลงทันที!

หญิงชรา ‘ไม่ต้องทำถึงเช่นนั้นก็ได้กระมัง…’