ตอนที่ 197 วิชาฝ่ามือรักหวานชื่น (1)
อีกตัวอย่างหนึ่ง การนวดเฉพาะจุดเพื่อบรรเทาอาการปวดจากการที่คอเคล็ด
ยังมีอีกตัวอย่างคือ การรักษาอาการปวดหลัง และถุงน้ำดีอักเสบอย่างเฉียบพลัน การรักษาอาการตะคริวที่ขาต้องยกมือขึ้นในทิศทางตรงกันข้าม การกลั้นหายใจเพื่อรักษาอาการสะอึก และอื่นๆ
มั่วเชียนเสวี่ยพูดให้ฟังอย่างคร่าวๆ หลายสิบอย่าง ยิ่งพูดหมอหวังก็ยิ่งก็เบิกตากว้าง หลายครั้งหลายคราที่เขามีทีท่ากระตือรือร้นที่จะลอง
สำหรับหมอประหลาดแล้วเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าสามารถใช้วิธีการใหม่ๆ มาใช้รักษาโรคชนิดเดียวกันได้ แน่นอนว่าหมอหวังย่อมจะสนใจเป็นอย่างมากดังเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับปัญหาการรักษาตะคริวที่ขา หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งพูดไป หวังเทียนซงก็มีเรื่องเข้ามารายงานพอดี จึงได้โชคร้ายถูกหมอหวังจับตัวเอาไว้ทดลอง
ทันทีที่ฝังเข็มลงไป ขาก็เป็นตะคริว
จากนั้นหมอหวังก็ให้เขายกมือขึ้นและถามเขาว่าขาของเขายังเป็นตะคริวอยู่หรือไม่
หวังเทียนซงที่ถูกฝังเข็มลงไปเดิมทีขาก็สั่นอยู่แล้วและแทบจะล้มลงไป แต่ภายใต้คำสั่งของหมอหวัง เขาจึงยกมือขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
ทันทีที่ยกมือขึ้นมา ตะคริวที่ขาก็หายเป็นปกติ
ระหว่างที่กำลังมึนงงอยู่ หวังเทียนซงยังไม่ทันได้ตอบ หมอหวังก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว จึงโบกมือให้เขาออกไปทันที
เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่วิเศษขนาดนี้ เขาไม่อยากให้คนเข้ามารบกวน มั่วเชียนเสวี่ยคิดๆ ดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็ได้แต่ยิ้มมิกล่าวสิ่งใด
ไม่น่าแปลกใจที่คนเรียกว่าหมอประหลาด นิสัยของเขาแปลกมากจริงๆ
แน่นอนว่า หมอหวังก็เคยถามนางเช่นกัน ว่ารู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน นางเพียงตอบส่งๆ ไปว่าอ่านเจอจากตำราเล่มหนึ่งซึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร
เมื่อหมอหวังถามอีกครั้ง นางก็บอกว่าไม่รู้ว่าตำราเล่มนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว โชคดีที่หมอหวังรู้ว่านางมาที่หมู่บ้านหวังจยาโดยลำพัง ไม่มีสิ่งของติดตัวมาเลยจึงไม่ถามอะไรมากอีก
บอกเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆนั้นหมดแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องสูตรอาหารบำรุงร่างกาย นางเขียนสูตรอาหารยี่สิบกว่าสูตรตามความประทับใจของตนเองและส่งให้กับหมอหวัง
กว่าจะทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ก็ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่ก็ต้องยกน้ำชา มาให้แขก แต่หมอหวังกลับยืนขึ้นมองนางแปลกๆพลางกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจ “เจ้าบอกเรื่องเหล่านี้แก่ข้าง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ”
คราวนี้เป็นมั่วเชียนเสวี่ยที่มึนงง “อืม หรือว่ามันมีปัญหาอีกหรือ” หรือเพราะว่าสูตรอาหารมีข้อผิดพลาด รึมันจะน้อยเกินไป
เมื่อเห็นว่านางไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ หมอหวังจึงอธิบาย “เจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจากข้าเลยหรือ” ไม่เคยมีใครให้ของเขาโดยไม่หวังอะไรเลย แต่ไหนแต่ไรเขาเองก็ไม่ชอบที่จะต้องเป็นหนี้ใคร
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหัว ตอนนี้หนิงเซ่าชิงก็หายแล้ว นางยังจะต้องการอะไรอีก
แต่หมอหวังกลับยังไม่พอใจ ลูบเคราแพะอยู่ไม่นานจากนั้นก็กล่าว “อย่างไรก็ช่าง ข้าไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร วันนี้จะต้องสอนวิธีการฝังเข็มเพื่อเอาชีวิตให้เจ้าสักเล็กน้อย”
“การฝังเข็มเพื่อเอาชีวิต?” การฝังเข็มไม่ใช่เพื่อช่วยชีวิตคนจากโรคภัยไข้เจ็บหรอกหรือ เอาชีวิต? ได้ยินความหมายแล้วทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไรนัก!
ดวงตาของหมอหวังแลดูเฉียบแหลมมาก “การฝังเข็มนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บหรือช่วยชีวิตใคร แต่มีไว้สำหรับใช้ฆ่าคนหรือทำร้ายคน”
“ข้าไม่เรียน…” มั่วเชียนเสวี่ยตอบอย่างแน่วแน่เด็ดขาด นางจะอยากเรียนรู้การฆ่าคนทำร้ายคนอะไรพวกนั้นไปทำไม แค่ได้ฟังก็รู้สึกว่าน่ากลัวแล้ว
หมอหวังจ้องมองไปที่นาง ด้วยใบหน้าที่เยาะเย้ย พลางกล่าวเหน็บแนม “เจ้าคิดดีแล้วหรือ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ได้ใช้มัน” เมื่อเข้าไปในเมืองหลวงซึ่งเป็นสถานที่ที่อันตราย นางไม่อาจพึ่งพาหนิงเซ่าชิง ชูอีและสืออู่ได้ทุกเรื่อง นางควรรู้วิธีการเอาชีวิตไว้บ้างจริงๆ
มั่วเขียนเสวี่ยแลดูเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถาม “ยากไหม”
หมอหวังยิ้มพลางลูบเคราของเขาไปพลาง เมื่อครู่นี้เขาก็กลัวว่านางจะไม่เข้าใจ “ไม่ยาก ข้าจะสอนเจ้าเพียงสามวิธี คือฆ่าอย่างโหดร้าย ทำให้สติเลอะเลือน สุดท้ายคือเซื่องซึม”
“จำจุดฝังเข็มให้แม่นยำแล้ว และต้องลงมืออย่างรวดเร็ว…” เดิมในห้องก็มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็นด้วย หมอหวังก็เริ่มสอนนางให้รู้จักจุดฝังเข็มและการลงมือฝังในทันที
ทั้งสามวิธีนี้ไม่ยากเลย ล้วนเป็นการโจมตีระยะประชิดทั้งหมด ต้องลงมืออย่างรวดเร็ว จู่โจมศัตรูไม่ให้ทันตั้งตัวได้ แม้ว่ามันไม่ได้ยากอะไร แต่ก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เมื่อนางมีแนวโน้มว่าจะทำได้แล้ว หมอหวังก็จากไปอย่างพึงพอใจ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับแอบเอาเข็มปักของไฉ่สยาออกไปด้วย
นางยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรคนเราก็มักจะมีไพ่ตาย นอกจากนี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าต่อไปจะได้ใช้ไหม ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจจะดีกว่า
……
ณ ศาลา ของจวนตระกูลหนิงที่อยู่ในเมืองหลวง
เซี่ยซื่อกำลังดื่มชาอยู่ ในขณะที่หนิงเซ่าอวี่ เอนกายนอนอยู่บนเตียงพลางโยนผลไม้เข้าปาก
“ทางฝั่งตะวันออกหาเขาเจอหรือยัง”
“ยังไม่เจอ”
“เช่นนั้นเจ้ายังจะมีกะจิตกะใจมานั่งพักผ่อนอย่างสบายใจได้อีกหรือ ทางฝั่งของเจ้าแก่นั่นแม่ควบคุมไว้ไม่ได้มาสองสามวันแล้ว”
“แม้จะยังหาไม่เจอ แต่ถ้าเดินทางจากเมืองไม่กี่เมืองที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกกลับมายังเมืองหลวง ไม่ว่าจะมาทางน้ำหรือทางบก เขาจะต้องผ่านเมืองอวิ๋นฉี่อย่างแน่นอน ข้าได้เตรียมคนเพื่อซุ่มโจมตีอยู่ที่นั่นแล้ว ถึงแม้เขาจะมีปีกก็หนีไปไหนไม่รอด ”
“อย่าใช้ลูกน้องที่แม่จัดเตรียมไว้ให้อย่างสูญเปล่าเขามีฝีมือในการต่อสู้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังฉลาดมีไหวพริบ อย่าเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ประโยชน์จากมัน”
“ลูกได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีลูกน้อง แต่ลูกยังได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อเชิญนักฆ่าจากเลี่ยสุ่ยเกอมาร่วมด้วย เพียงแค่เขาปรากฏตัวขึ้นก็จะไม่มีโอกาสรอด…”
……
วันเวลาผ่านมาเรื่อยๆ จนล่วงเลยมาสองสามวัน อาการบาดเจ็บของมั่วเชียนเสวี่ยก็หายดีแล้ว
ช่วงนี้หนิงเซ่าชิงค่อนข้างจะยุ่ง มักจะเดินทางไปมาระหว่างเทียนเซียงกับหมู่บ้านหวังจยา ที่เรือนก็มักจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาตอบคำถาม
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ถาม แต่นางรู้ว่าเขากำลังเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปเมืองหลวง
อันดับแรก การวางแผนสำหรับการเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ระยะทางไปเมืองหลวงไม่ใช่ใกล้ๆ ขนาดเดินทางทางน้ำเร็วสุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงห้าวันกว่าจะไปถึงเมืองอวิ๋นฉี่ และจากเมืองอวิ๋นฉี่ไปเมืองหลวงก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วยาม
เดินทางทางบกเร็วสุดก็ใช้เวลาแปดถึงสิบวันถึงจะไปถึงเมืองอวิ๋นฉี่ได้
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นฉี่ก็เป็นที่ที่จำเป็นจะต้องผ่านแต่ก็เป็นสถานที่ที่อันตรายเช่นกัน
แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะยุ่ง แต่เขาก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนในทุกๆ วัน นางรู้ว่าเขาไม่อยากให้นางเป็นกังวล แต่จะให้นางไม่เป็นกังวลอะไรเลยได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงเตรียมการเรื่องต่างๆ ไปด้วย ในทุกๆ วันไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ก็ตาม นางก็จะขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อฝึกการฝังเข็มแปลกๆ นั่น
วันนี้หนิงเซ่าชิงน่าจะว่าง จึงได้มาวิเคราะห์กันกับนางว่า เข้าเมืองหลวงไปแล้วจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดอะไรบ้าง
เขากล่าวว่าการไปเมืองหลวงในครั้งนี้ของพวกเขาน่าจะราบรื่น และเขาก็ได้วิเคราะห์ให้นางรู้ถึงศัตรูที่อาจจะได้พบ
หนึ่งคือแม่ลูกมหาภัยที่อยู่ในตระกูลหนิง
สองคือคนในตระกูลมั่วของนาง
สามคือ ถงจยาเว่ยจากตระกูลถง
เขาพูดให้นางฟังเกี่ยวกับตระกูลถงอะไรพวกนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะพูดให้ร้ายถงจื่อจิ้งแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอันตรายอะไรที่แฝงมา เขาจำเป็นต้องบอกให้นางรู้
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เข้าใจว่าทำไม ถงจยาเว่ยผู้นั้นถึงได้จะลงมือกับพวกเขา หนิงเซ่าชิงจึงได้บอกนางไปตามตรง บอกว่าท่านผู้เฒ่าถงคนนั้นต้องการให้นางไปเป็นลูกสะใภ้
บางเรื่องก็ต้องพูดให้ชัดเจน
สายตาที่มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่ถงจื่อจิ้ง ซูลี่ และเฟิงอวี้เฉิน ล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นหนิงเซ่าชิงจึงเป็นหนามยอกอกมาโดยตลอด
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็สำลักน้ำชาที่ดื่มเข้าไปออกมา
ตาเฒ่าผู้นั้นน่ารังเกียจจริงๆ ดูเหมือนว่าเรื่องอะไรที่ไม่ปกติเขาล้วนทำได้ลงทั้งสิ้น นางย่อมจะเชื่ออยู่แล้ว
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของเขา พลางนึกถึงฉากที่ถูกเขาบังคับให้กินยาเมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งยังนึกถึงที่ช่วงนี้ที่ต้องกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง ก็อยากจะหยอกเย้าผู้ชายที่ขี้หึงคนนี้เสียหน่อย…