ตอนที่ 198 วิชาฝ่ามือรักหวานชื่น (2)
ช่วงบ่าย หมู่บ้านหวังจยาเงียบผิดปกติ และช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ผลิก็เป็นเวลาแห่งการง่วงนอน
“นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลจริงๆ ที่เขาอยากให้ข้าเป็นลูกสะใภ้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” มั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าที่ขำขัน “ด้วยสถานะทางสังคมและตำแหน่งของเขา ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธจริงๆ นอกจากนี้ เขาก็เชื่อฟังข้า ไม่เหมือนคนบางคน ที่ชอบบังคับข้า…”
หากเป็นเมื่อก่อนถึงแม้จะหยอกล้อ นางก็ไม่กล้าพูดเช่นนี้ และก็พูดเช่นนี้ไม่ได้ด้วย ทว่าตอนนี้พิษของเขาได้ถูกขจัดออกไปแล้ว ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนไม่มีระยะห่างอีกต่อไป แค่เย้าเขาเล่นก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร
ใครใช้ให้เขาใจร้ายใจดำขนาดนั้น ให้นางดื่มยาที่ขมถึงเพียงนั้น สองชามสุดท้าย นางไม่ยอมดื่ม เขาก็บีบจมูกของนางแล้วก็กรอกยาลงไปในปาก
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของหนิงเซ่าชิงเปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าบูดบึ้ง และจู่ๆ ก็อ้อมไปที่ด้านหลังของมั่วเชียนเสวี่ย แล้วโอบคอของนางไว้แน่น
ในตอนแรกที่ออกแรงโอบแน่น มั่วเชียนเสวี่นก็ส่งเสียง อ้าก ออกมา จากนั้นนิ่งเซ่าชิงก็รู้สึกปวดใจ จำต้องปล่อยนางไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้ดีอยู่ว่านางพูดเล่น แต่ความโกรธในหัวใจก็ยังไม่จางหายไปดังนั้นจึงได้ดึงตัวนางมาโอบกอดเอาไว้ ทั้งสองมือจั๊กจี้ไปที่เอวของนาง
เพียงครู่เดียว มั่วเชียนเสวี่ยก็จำต้องร้องขอความเมตตา “อย่านะ อย่า… หยุดนะ…”
หนิงเซ่าชิงกัดฟัน “เชียนเสวี่ยบอกว่าอย่าหยุด เช่นนั้นสามีก็จะไม่หยุด…ต้องคอยรับใช้อย่างดีจนกว่า เชียนเสวี่ยจะพึงพอใจ… เห็นไหมว่าสามีก็เชื่อฟังมากเหมือนกัน หืมมม…”
“ท่าน…ท่าน…” เขา เขาจงใจ! มั่วเชียนเสวี่ยโกรธมาก แต่กลับหัวเราะจนสำลัก พูดทั้งหมดออกมาไม่ได้ นางน่าจะรู้ว่าชายที่ขี้หึงหวงผู้นี้มิอาจหยอกล้อได้
ผ่านไปนาน กว่าจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่าน… ครั้งนี้ก็ยกโทษให้ข้าเถิด ครั้งหน้าข้าไม่กล้า…แล้ว…”
“พูดดีๆ นะ มิเช่นนั้น…” หนิงเซ่าชิงกดหลังมั่วเชียนเสวี่ยลงไปอีกครั้ง กดนางไว้บนเตียงทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ เขาหยุดจี้เอวนางแล้ว แต่กลับไม่ปล่อยนางไปและดูเหมือนว่าจะยังคงจี้นางเป็นระยะๆ
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะจนน้ำตาไหลพราก จำต้องยอมรับความพ่ายแพ้
“ต่อให้เขาหล่อและเชื่อฟังมากแค่ไหน ก็มิอาจเทียบได้กับความใจดีและความเป็นสุภาพบุรุษ มีจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่ของท่านได้ ข้าจะไม่มีวันจากท่านไปไหน ความรู้สึกนี้ไม่แปรเปลี่ยน…”
“พูดให้ดังกว่านี้ ช่วงนี้หูของสามีไม่ค่อยจะดี ไม่ได้ยินเลย”
“ข้าจะไม่มีวันจากท่านไปไหน ความรู้สึกนี้จะไม่แปรเปลี่ยน…”
เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยที่โกรธจัดนั้นดังมาก ด้วยเหตุนี้คนที่อยู่ในลานเรือนทั้งหมดจึงได้ยินอย่างชัดเจน
หมิงเย่ว์และไฉ่สยาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว พวกนางที่ทำอาหารอยู่ในครัว จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไร
ชูอีและสืออู่ที่รอรับใช้อยู่หน้าห้อง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
อาซานและอู่ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่ไกล ต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็รู้สึกหนาวสั่น
ร่างของคนผู้หนึ่งจ้องมองท้องฟ้า พลางหยิบแผ่นสำลีออกมาจากในอกแล้วนำมาอุดที่หู
หนิงเซ่าชิงได้ยินแล้วก็รู้สึกจิตใจเบิกบาน จากนั้นเขาก็กระซิบที่ข้างหูของนาง “เชียนเสวี่ย ช่างน่ารักเสียจริง!” ทันทีที่พูดจบ ริมฝีปากบางๆ ของเขาก็ดูดไปที่ติ่งหูของนาง ความร้อนแผ่ซ่านเวียนวนอยู่ระหว่างข้างหูและคอของนาง
มั่วเชียนเสวี่ยตัวแข็งทื่อในทันที!
จะจู่โจมโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ไหม เมื่อครู่นี้จั๊กจี้ ตอนนี้รู้สึกซาบซ่าน…
“อ่าาา…อย่ากัด…”
“ครั้งหน้าดูซิว่าเจ้าจะยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกไหม…”
หัวเราะสนุกสนานกันอยู่ครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง กลางวันแสกๆ เช่นนี้ก็ไม่กล้าหัวเราะร่าต่อไปได้อีก นางมีปมในใจ สักพักก็ต้องมีใครสักคนมาเคาะประตู นางก็จะอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอีก
เมื่อมองไปที่รอยฟันสีแดงที่คอของหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกภูมิใจมาก อย่างไรเสียท้ายที่สุดนางก็ไม่ได้เสียเปรียบ
หนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้ใช้กำลังบังคับนางอีกต่อไป ไม่ใช่ว่านางจะทนไม่ไหว แต่เป็นเขาที่อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้
หลังจากที่ได้หัวเราะกันอย่างมีความสุขกันไปแล้ว หัวข้อการสนทนาของทั้งสองที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้เหมื อนว่าจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น
หลังจากจัดผมและเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มกล่าว “เช่นนั้น ท่านก็สอนวิชาการต่อสู้ให้ข้าสักหน่อยเถิด” ฝึกฝังเข็มมาสองสามวันแล้ว รู้สึกคันยุกยิกในใจอยู่หน่อยนึง หากมีวิทยายุทธ์สักหน่อย ไม่แน่ว่า หากเกิดเหตุการณ์สำคัญ มันอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง
หนิงเซ่าชิงใช้มือข้างหนึ่งประคองศีรษะของนางไว้อีกข้างหนึ่งปัดผมที่บังใบหน้าของเขาให้เป็นระเบียบท่าทางของเขาแลดูเกียจคร้าน เขาได้หลับตาลงครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอย่างตั้งใจอยู่ “อืม มีวิชาฝ่ามือหนึ่งที่เหมาะกับเจ้ามาก”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่คิดว่าเขาจะตอบรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “วิชาฝ่ามืออะไรหรือ”
ครั้งแรกที่เห็นเขาใช้ฝ่ามือก็ใช้กับกับซูชี และครั้งนั้นเขาใช้เพียงฝ่ามือเดียว ก็ทำให้ซูชีกับตนเองที่อยู่ในถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำ ตกใจจนจนมุม
ครั้งที่สองคือได้ยินจากสืออู่ว่าวันนั้นที่กูเหยียออกจากห้องไป เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็ทำให้คุณชายเฉินและองครักษ์เฟิงอวิ๋นสองคนถูกกระแทกจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
ลองคิดดูแล้ว วิชาฝ่ามือของเขาจะต้องเยี่ยมยอดเป็นแน่ สิ่งที่จะสอนนางจะต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
หนิงเซ่าชิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “วิชาฝ่ามือนี้ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อเลย เป็นวิชาที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเอง เมื่อวันก่อนข้าได้ค้นคว้าเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ รอให้ข้าสอนเจ้าให้เป็นก่อน เจ้าก็ค่อยตั้งชื่อให้มันเถิด”
ใบหน้าเล็กๆ ที่ตื่นเต้นของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อครู่นี้ห่อเหี่ยวลงในทันที วิชาที่เพิ่งจะคิดค้นขึ้นมา คงจะไม่ร้ายกาจแน่ๆ
นางเบ้ปากพลางพูดอย่างไม่พอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็จะตั้งใจเรียนให้ดี” พูดจบ นางก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ จึงเอ่ยถามเพิ่มเติม “เพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาเอง ท่านมั่นใจหรือว่าถ้าฝึกฝนแล้วจะไม่ถูกครอบงำ”
หนิงเซ่าชิงเงยหน้าขึ้น “เจ้าไม่เชื่อใจสามีหรือ”
เขาเอนหลังอย่างเกียจคร้านท่วงท่าสง่างามราวกับเสือดำ แต่เสียงสุดท้ายที่ลากยาวทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่ นางเชื่อว่าหากตอนนี้นางแสดงท่าทางว่าสงสัยแม้แต่น้อย เขาจะกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับเสือดำ
นางรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรจึงได้หัวเราะแห้งๆ ออกไป “ไม่ใช่…ไม่ใช่…จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร…สามีคือผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา วิชาฝ่ามือที่คิดค้นเอง ย่อมจะเยี่ยมยอดกว่าของคนรุ่นก่อนๆ อยู่แล้ว”
“มันก็พอๆ กันนั่นแหละ” หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นอย่างพอใจ ดึงตัวมั่วเชียนเสวี่ยไปที่กลางห้อง ยืนอยู่ข้างๆ นางพลางออกคำสั่งอย่างจริงจัง “ก่อนอื่นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ดึงลมปราณจากจุดตันเถียนออกมา…”
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก แต่สายตากลับว่างเปล่า “จุดตันเถียนอยู่ตรงไหน…”
แค่กแค่ก… ดูเหมือนว่าหนิงเซ่าชิงจะสำลักน้ำลายจากนั้นเขาก็กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อน ตอนนี้ให้เจ้ากางฝ่ามือขวาออก”
มั่วเชียนเสวี่ยปฏิบัติตามอย่างตั้งใจ
เขากล่าวต่อไปว่า “ให้สี่นิ้วแนบชิดกัน โดยให้นิ้วหัวแม่มือทำมุมกับทั้งสี่นิ้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยก็ทำตามต่อไป
เขายื่นฝ่ามือออกมาพลางพูดว่า “เอามือขวาของเจ้าวางไว้บนฝ่ามือซ้ายของข้า”
นางถามในขณะที่กำลังจะประทับฝ่ามือลงไปบนฝ่ามือของเขา “ท่านจะถ่ายทอดลมปราณให้ข้าก่อนใช่หรือไม่”
ในทีวีไม่ใช่ว่าถ่ายทอดลมปราณจากฝ่ามือหรอกหรือ นางไม่รู้ว่าอะไรคือตันเถียน อีกทั้งยังไม่มีลมปราณ พอยื่นฝ่ามือออกไปก็ไม่มีลมออกมาจากฝ่ามือ ไม่มีพลังอะไรเลย
มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่เขาอย่างจริงจัง ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับมองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่มือของมั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสกับมือของเขา เขาก็พลิกฝ่ามือทันที และจับมือของนางเอาไว้แน่น
นางมองดูเขาอย่างงงๆ และในที่สุดเขาก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป หัวเราะเหมือนแมวขโมยพลางพูดว่า “อาหารน่าจะใกล้เสร็จแล้ว ออกไปกินข้าวกันเถอะ” แล้วเขาก็จูงมือนางเดินออกจากห้องไป