ตอนที่ 174 เสียงเคาะประตูกลางดึก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 174 เสียงเคาะประตูกลางดึก

พอหลินม่ายออกมาจากห้องน้ำ ฟางจั๋วหรานก็เตรียมเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นหลินม่ายเดินผ่านตัวเขาไป ก็ชะโงกหน้าไปสูดกลิ่นหอมจากผมของเธอจนเต็มปอด ไม่ลืมชมว่า “หอมจังเลย!”

หลินม่ายหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ เธอหยุดชะงักฝีเท้าพลางหันไปถามเขา “ถึงตาคุณอาบน้ำแล้ว ไม่มีน้ำร้อนอีกสักสองขวดหรือคะ?”

ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะน้อย ๆ ที่เปียกชื้นของเธอ “ผมเป็นผู้ชายนะ อาบน้ำเย็นได้สบายอยู่แล้ว” หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ

เส้นผมของหลินม่ายค่อนข้างหนาและดกดำมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งปลายผมยังยาวจรดบั้นเอว ถ้าไม่เช็ดผมให้แห้งคงนอนไม่สบายตัวแน่ จึงหยิบเอาผ้าขนหนูแห้งที่พาดอยู่ข้างเตียงขึ้นมาเช็ดผม

ทันใดนั้นเธอเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าชุดชั้นในของตัวเองยังแขวนห้อยไว้บนราวแขวนผ้าเช็ดตัวอยู่เลย แค่เดินเฉียดนิดหน่อยก็แกว่งไกวไปมาแล้ว

พอคิดต่อไปอีกว่าถ้าปล่อยให้เขาเห็นชุดชั้นในของตัวเองคงไม่ดีนัก หลินม่ายจึงหยุดเช็ดผม แล้วก้าวฉับ ๆ วิ่งไปที่ห้องน้ำ

ใครจะคิดว่าฟางจั๋วหรานที่ปกติมักจะวางตัวดีและใจเย็นจนค่อนไปทางเชื่องช้าจะจัดการตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้

ทันทีที่เธอผลักประตูเข้าไป หลินม่ายก็เห็นว่าชายหนุ่มเปลือยทั้งท่อนบนและท่อนล่าง มีเพียงกางเกงในติดตัว กำลังคาบแปรงสีฟันไว้ในปาก

ผิวพรรณนี้ สรีระร่างกายนี้ นี่มันศูนย์รวมของความเซ็กซี่เย้ายวนใจชัด ๆ!

ไหนจะกล้ามขานั่นอีก ถ้ามองนานกว่านี้ เลือดกำเดาของเธอจะไม่พุ่งพรวดออกมาเชียวหรือ?

หลินม่ายรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง พยายามทำเหมือนตัวเองเป็นผีสางเทวดาที่ไร้ตัวตน บังคับตัวเองไม่ให้เสียอาการกับภาพตรงหน้า

ฟางจั๋วหรานหันไปมองเธอด้วยความประหลาดใจ “คุณเข้ามาทำไม?”

จู่ ๆ ก็เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามต่อไปด้วยเสียงระรื่น “อยากเข้ามาถูหลังให้ผมใช่ไหมล่ะ?”

“ปะ… เปล่าซะหน่อย” หลินม่ายชี้ไปยังชุดชั้นในของตัวเองที่แขวนพาดไว้บนราวตากผ้าเช็ดตัว แล้วพูดด้วยความกระดากอาย “ฉันจะเข้ามาเอานี่ต่างหาก”

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองชุดชั้นในตัวเล็กสองชิ้นนั้น “ปล่อยไว้นี่แหละ เอาไว้ค่อยสักทีหลังก็ได้ คุณออกไปก่อนเถอะ ในห้องน้ำมันร้อน” จากนั้นเขาก็ผลักเธอออกไปอย่างอ่อนโยน

หลินม่ายจำต้องกลับไปนั่งรอที่เตียงแล้วเช็ดผมต่อไป

หลังจากฟางจั๋วหรานอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาก็ซักเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทั้งหมดของทั้งสองคนทั้งที่ยังเปลือยกายอยู่ในห้องน้ำ

เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วเขาก็สวมกางเกงใน พันรอบเอวไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับเสื้อผ้าที่ซักเรียบร้อยแล้ว

หลินม่ายหันหลังกลับไปตามสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว พอเห็นว่าฟางจั๋วหรานเดินออกมาโดยที่ยังเปิดเปลือยท่อนบนอยู่อย่างนั้น สายตาเจ้ากรรมก็รีบกลอกมองไปรอบห้องทันที พยายามไม่มองไปทางเขา

ขณะนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมเดินไปที่ห้องน้ำ “ฉันจะไปซักผ้า”

ฟางจั๋วหรานพูดเบา ๆ “ผมซักให้แล้ว”

ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

ตอนแรกเธอวางแผนว่าจะรอให้ฟางจั๋วหรานอาบน้ำเสร็จก่อน หลังจากนั้นค่อยเข้าไปซักผ้าในห้องน้ำ ไม่คิดว่าเขาจะจัดการซักให้เรียบร้อยแล้ว

เธอไม่กล้าสู้หน้าเขาอีกต่อไป เมื่อจินตนาการว่าก่อนหน้านี้ชุดชั้นในของตัวเองถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาสัมผัสไล้ไปทุกส่วน

ทว่าฟางจั๋วหรานยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบ เช็ดหยดน้ำตามร่างกายของตัวเองให้แห้ง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูในมือหลินม่ายขึ้นมาเช็ดผมของเธอที่ยังเปียกอยู่

การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างนุ่มนวล สำหรับหลินม่ายแล้ว ช่างผ่อนคลายยิ่งกว่าการนวดเสียอีก

จนกระทั่งผมของเธอแห้งหมาดประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ฟางจั๋วหรานก็วางผ้าเช็ดตัวลง แล้วพูดกับหลินม่ายว่า “นอนเถอะ”

ตอนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าเธอยังต้องไปที่ตลาดค้าส่งเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าอีก ถ้าไม่นอนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปคงไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว

หลินม่ายตอบรับคำเขา ก่อนจะเดินไปที่ประตูโดยทำท่าทางราวกับต้องการส่งแขก

แต่ฟางจั๋วหรานกลับนั่งลงอย่างมั่นคง “ผมไม่ออกไปไหนทั้งนั้น”

“หืม?” หลินม่ายบิดตัวไปมาอย่างทำตัวไม่ถูกตามประสาเด็กสาวขี้อาย “แต่เรา… ไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ?”

ฟางจั๋วหรานสบตาเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “คุณคิดไปไกลถึงไหนกัน? ที่ผมยังอยู่ในห้องกับคุณก็เพื่อปกป้องคุณต่างหาก ที่นี่คือกว่างโจว อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกที่ ผมไม่อยากนั่งกังวลว่าถ้าทิ้งให้คุณอยู่ในห้องตามลำพังแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เกิดมีเหตุไม่ชอบมาพากลขึ้นจะทำยังไง?”

พอเห็นว่าหลินม่ายยังยิ้มเจื่อนเหมือนไม่เต็มใจ เขารีบพูดต่อ “เราจองห้องพักแบบมาตรฐานไว้ มีเตียงสองเตียงในห้องเดียว คุณกับผมก็แค่แยกกันนอนคนละเตียง ไม่ต้องกังวลนะ ผมไม่ฉวยโอกาสล่วงเกินคุณหรอก”

หลินม่ายลูบมือตัวเองไปมา “แต่… พนักงานแผนกต้อนรับบอกว่า เราสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้พักอยู่ห้องเดียวกันนี่คะ”

“คุณเชื่อคำพูดของพวกเธอเหรอ?” ฟางจั๋วหรานหันมองเธอพลางเลิกคิ้วขึ้น “พนักงานสองคนนั้นคงไม่ขึ้นมาตรวจห้องอีกครั้งหรอก อย่ากังวลไปเลย”

“แน่ใจได้ยังไงคะ? ถ้าพวกเธอขึ้นมาตรวจห้องจริง ๆ จะน่าอายขนาดไหน!”

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเหยียดหยาม “พนักงานของหน่วยงานรัฐจะขยันขันแข็งขนาดนั้นเชียวเหรอ? ต่อให้พวกเขาขึ้นมาตรวจห้องอีกครั้ง แค่บอกไปว่าเราสองคนกำลังสนทนากันใต้แสงเทียน(1)ก็ได้แล้ว”

หลินม่ายเห็นด้วยว่าเขาพูดอีกก็ถูกอีก ดังนั้นจึงยอมเชื่อฟังเขา

อย่างไรก็ตาม เธอไม่กล้าถอดชุดชั้นในของตัวเองออกตอนนอน ทำได้แค่ล้มตัวลงนอนทั้ง ๆ ที่ยังสวมใส่ชุดชั้นในอยู่แบบนั้น

ตอนนี้เธออยู่ภายในห้องสองต่อสองกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่เธอจะต้องระวังตัวไว้ก่อน

หลังจากวิ่งไปมาอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดหลินม่ายที่เหนื่อยอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ผล็อยกลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน

แต่ฟางจั๋วหรานกลับนอนไม่หลับ เขารู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในร่างกาย ไฟนั้นเกือบจะกลืนกินเขาอยู่แล้ว

เขาผุดลุกขึ้นจากเตียงหลายต่อหลายครั้ง ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะโน้มตัวไปจูบหลินม่าย

ไม่ใช่แค่จูบ ความจริงแล้วเขาต้องการมากกว่านั้น

หลายครั้งที่ริมฝีปากของเขาเกือบทาบทับลงไปบนริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่นุ่มนวลดุจกลีบดอกไม้ของหลินม่าย แต่เขาสามารถยับยั้งความปรารถนาอันแรงกล้าที่กระตุ้นเร้าอยู่ภายในให้สงบลงได้ในวินาทีสุดท้าย

เขากับหญิงสาวไม่เคยตกลงใจมอบจูบแรกให้แก่กันด้วยซ้ำ เขาไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่สมควรเช่นนี้ได้ แม้แต่ขโมยจูบแรกไปในขณะที่เธอกำลังนอนหลับไม่รู้ตัว

ถึงอย่างนั้นความปรารถนาในใจของเขากลับยากที่จะดับลง ฟางจั๋วหรานทำได้แค่เดินเข้าห้องน้ำครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้น้ำเย็น ๆ ช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนนี้

หลินม่ายที่กำลังหลับสนิทไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เธอคงลืมคิดไปว่าการคะยั้นคะยอให้ฟางจั๋วหรานกินอัณฑะวัวจำนวนมากแบบนั้น อาจทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้…

เวลาล่วงเลยตีหนึ่งครึ่ง เมืองใหญ่ที่เคยมีแต่เสียงอึกทึกก็เริ่มเงียบสงัด แต่แล้วเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้น

ฟางจั๋วหรานที่เพิ่งจะผล็อยหลับไปได้ไม่นาน รวมถึงหลินม่ายที่หลับสนิทในตอนแรก ต่างลืมตาตื่นขึ้นทันที

ต่อให้เธออ่อนเพลียจนหลับลึกขนาดไหน ตราบใดที่ได้ยินเสียงแปลก ๆ สัญชาตญาณของหลินม่ายมักจะตื่นตัวทุกครั้ง ถึงแม้จะมีฟางจั๋วหรานคอยปกป้องอยู่ทั้งคน แต่เธอก็ยังไม่วางใจ

คนอย่างเธอไม่มีวันฝากฝังความปลอดภัยไว้กับใครทั้งนั้น

ภายในห้องปิดไฟมืดสนิท ทั้งสองผุดลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะหันไปมองสบตากันท่ามกลางความมืด

ขณะที่ทั้งสองกำลังสบตากันด้วยความสงสัย เสียงร้องไห้ของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังลอดออกมาจากนอกประตู “พี่ชาย ช่วยผมด้วยครับ ภรรยาของผมกำลังจะคลอดลูก เธอจะไม่ไหวแล้ว เมตตาช่วยเหลือผมหน่อยเถอะ!”

ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายแทบจะพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกัน

เดินทางมาที่กว่างโจวพร้อมกับภรรยาใกล้คลอดเนี่ยนะ? ช่างแต่งเรื่องได้ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

ทั้งสองไม่ตอบกลับแต่อย่างใด ล้มตัวลงนอนตามเดิมเพื่อหลับต่อ

ถ้าภรรยาของอีกฝ่ายน้ำคร่ำแตกใกล้คลอดขึ้นมาจริง ๆ เขาควรลงไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานประจำแผนกต้อนรับสิ จะไล่เคาะประตูห้องอื่นไปทำไมกัน?!

ที่นี่เป็นโรงแรมของรัฐ ถึงแม้ทัศนคติและการบริการของพนักงานจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นตายของคนแบบนี้ พวกเธอคงไม่มีทางมองข้ามแน่

คนที่ยืนอยู่นอกประตูยังคงเคาะต่อไปอีกครู่หนึ่ง พอเห็นว่าภายในห้องไม่มีการเคลื่อนไหว ก็เริ่มงัดแงะบานประตูทันที

คาดเดาไม่ยากว่าคนพวกนี้คงชำนาญการสะเดาะกลอนเป็นอย่างมาก เพราะเสียงจากการงัดแงะบานประตูนั้นดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ

หลินม่ายเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาบ้างแล้ว

เธอคิดว่าทำเฉยเสียเรื่องทุกอย่างก็คงจบแล้ว คาดไม่ถึงว่าคนพวกนี้ยังไม่ละความพยายามที่จะบุกรุกเข้ามาในห้อง

เธอเด้งตัวขึ้นจากเตียงอีกครั้ง จ้องมองไปที่ประตูห้องด้วยความตื่นตระหนก ระหว่างนั้นก็พยายามคิดหามาตรการรับมือ

ประตูบานนี้เป็นแค่ประตูไม้ธรรมดา ถึงฟางจั๋วหรานจะลากตู้ออกมาวางขวางหน้าประตูไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอนแล้วก็ตาม แต่ถ้าพวกอันธพาลข้างนอกต้องการบุกรุกเข้ามาจริง ๆ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกมัน กลับกลายเป็นพวกเขาเสียอีกที่ต้องตกอยู่ในอันตราย

ก่อนที่หลินม่ายจะคิดหาวิธีรับมือได้ ฟางจั๋วหรานก็ลุกเดินขึ้นไปถึงหน้าประตูแล้ว

เขาจงใจย่ำเท้าให้เสียงฝีเท้าดังพอประมาณ ทันใดนั้นพวกอันธพาลที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูจึงหยุดการงัดแงะเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาให้กลุ่มคนนอกห้องได้ยิน “พี่ชาย พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน อย่าสร้างปัญหาต่อกันถึงขั้นแทงมีดขาวเข้าชักมีดแดงออก(2)เลย”

หลังจากที่เขาพูดจบ เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนข้างนอกก็เงียบหายไป ตามด้วยเสียงประตูห้องอื่นที่ถูกเคาะ

ทว่าผ่านไปแค่พักเดียวเสียงดังกล่าวก็เงียบลง ไม่รู้ว่าสำเร็จตามความประสงค์ของพวกมันหรืออย่างไรกันแน่

…………………………………………………..

สนทนาใต้แสงเทียน มีความหมายเชิงเปรียบเทียบถึงสถานการณ์หรือบทสนทนาใด ๆ ก็ตามที่มีความลึกซึ้งเป็นพิเศษ

แทงมีดขาวเข้าชักมีดแดงออก หมายถึงการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก เปรียบมีดขาวคือมีดสะอาด มีดแดงคือมีดที่เปื้อนเลือด

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อ เธอคิดผิดไหมเนี่ยที่มากว่างโจว อันตรายมีทุกที่เลย ไม่เว้นแม้แต่ตอนอยู่กับพี่หมอ ถ้าพี่หมอไม่หนักแน่นพอเธอก็เสี่ยงมีเรื่องมากนะ

ไหหม่า(海馬)