ตอนที่ 175 เสียงคร่ำครวญของชายคนหนึ่ง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 175 เสียงคร่ำครวญของชายคนหนึ่ง

ช่วงครึ่งหลังของคืนนั้น บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ในที่สุดหลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็นอนหลับอย่างสงบสุขเป็นเวลาสองสามชั่วโมง

กลางเดือนมิถุนายนที่กว่างโจวอากาศร้อนมาก

เมื่อทั้งสองตื่นขึ้นมาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในห้องซาวน่า พวกเขาเหงื่อแตกพลั่ก แม้กระทั่งบนเตียงก็เต็มไปด้วยรอยเปียกจากเหงื่อ

หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายที่เหนอะหนะไปด้วยเหงื่อและเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ออกไปข้างนอก แล้วไปที่ตลาดขายส่งเพื่อซื้อเสื้อผ้า

ทันทีที่ก้าวออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของชายคนหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดแขกที่พักอาศัยอยู่ในห้องอื่น ๆ ให้แง้มหน้าออกไปดูกันทันที

ชายคนนั้นร้องไห้พลางเล่าให้ทุกคนฟังทั้งน้ำตา ว่าเมื่อคืนมีชายอีกคนหนึ่งตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่หน้าห้องว่าภรรยาของเขากำลังจะคลอดลูก จำเป็นต้องพาหล่อนไปโรงพยาบาลโดยด่วน

ปกติแล้วเขาเป็นคนใจดี จึงเปิดประตูออกไปเพื่อให้ความช่วยเหลืออีกฝ่าย

ทันทีที่ประตูเปิดออก พวกอันธพาลหลายคนก็วิ่งกรูกันเข้ามา ทำร้ายเขาจนหมดสติ ก่อนจะขโมยทรัพย์สินทั้งหมดของเขาไป

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานฟังจนจบแล้วก็เดินจากไป

เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับชายคนนี้เลย เขาตั้งใจช่วยเหลือด้วยเจตนาดีแท้ ๆ แต่กลับได้ผลร้ายเป็นการตอบแทน

ชายคนนั้นดูมีลักษณะท่าทางไม่เหมือนชาวบ้านจากต่างถิ่นทั่วไป ยุคสมัยนี้ ใครบ้างจะกล้าทิ้งถิ่นฐานของตัวเองแล้วเดินทางเข้ามาในกว่างโจว?

ในเมื่อเขาไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แล้วจะมีน้ำใจถึงขั้นทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนเลยเชียวหรือ

ต่อให้มีแก่ใจจะทำความดีจริง ๆ อีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์คงหวังฉวยโอกาสล่อลวงอีกฝ่ายล่ะสิไม่ว่า

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าออกมาต่างบ้านต่างเมืองทั้งที อย่าได้คิดโลภมากเลย

ทั้งสองเดินออกจากโรงแรมของรัฐก่อนหกโมงเช้า บรรยากาศด้านนอกยังไม่ค่อยสว่างนัก

พวกเขาเดินทางมาถึงตลาดค้าส่งเสื้อผ้าในเวลาหกโมงครึ่ง แม้ว่าท้องฟ้าจะสว่างขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังมืดสลัวเล็กน้อยเพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น

ตลาดค้าส่งเสื้อผ้าเปิดกิจการได้สักพักแล้ว มีผู้คนเดินทางมาจับจ่ายซื้อของเป็นจำนวนมากจนแทบเบียดเสียดไปไม่ได้

ฟางจั๋วหรานโอบร่างหลินม่ายไว้แนบชิด พร้อมกับพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน

หลายคนพยายามเดินเบียดเข้ามาหาหลินม่าย โดยเฉพาะผู้ชายสองคนที่พยายามเดินเข้ามาประชิดตัวเธออย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายรู้ดีว่าชายสองคนนี้เป็นหัวขโมย

เธอซ่อนเงินไว้ภายในชุดชั้นในของตัวเอง พวกมันไม่มีทางขโมยมันไปได้ง่าย ๆ แน่ แต่ใช่ว่าคนพวกนี้จะหาทางขโมยไม่ได้เลยซะที่ไหน ดังนั้นหลินม่ายจึงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง

โชคดีที่ฟางจั๋วหรานจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ จึงดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนทันทีแล้วโอบกอดเธอไว้ เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาใกล้เธอได้อีก

ชายสองคนนั้นจึงต้องหยุดการกระทำของตัวเอง แล้วเดินหนีไปหาเป้าหมายใหม่

ก่อนหลินม่ายจะมาที่นี่ เธอวางแผนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องการเลือกซื้อเสื้อผ้าแบบไหน

ในโลกนี้มีคนอยู่สามประเภทที่ตกเป็นเหยื่อการตลาดได้โดยง่าย นั่นก็คือผู้หญิง เด็ก และนักชิม ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่เข้าข่ายดังกล่าว การทำเงินจากพวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดังนั้นหลินม่ายจึงเจาะจงไปที่ร้านขายเสื้อผ้าสำหรับสตรีเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกซื้อในทันที

เธอเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าไม่รู้กลยุทธ์ในการซื้อขายใด ๆ เลย จึงต้องใช้วิธีเงี่ยหูฟังเพื่อสังเกตว่าผู้ซื้อและผู้ขายต่อรองกันอย่างไร ต้องทำความเข้าใจตลาดก่อนเป็นอันดับแรก

ในไม่ช้าเธอพบว่าคนที่เป็นคนขายแค่เสนอราคาขึ้นมา ไม่มีการต่อรองกับผู้ซื้อรายใดทั้งสิ้น

อีกทั้งการจ่ายเงินก็เป็นไปอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนกลัวว่าใครจะดอดมารู้เห็น

หลังจากสังเกตอย่างรอบคอบหลินม่ายก็ได้ข้อสรุปว่าผู้ซื้อและผู้ขายไม่ได้ต่อรองราคากันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ใช้วิธีเจรจาซื้อขายกันอย่างลับ ๆ

ทุกกระบวนการล้วนใช้ภาษามือเป็นหลัก เหมือนการลักลอบซื้อขายของใต้ดินไม่มีผิด

ถึงอย่างนั้นวิธีดังกล่าวก็ถือเป็นวิธีที่เข้าท่า เพื่อที่ผู้ซื้อขายอื่นจะได้ไม่รู้ว่าคนขายขายสินค้าให้กับผู้ซื้อรายนี้ในราคาเท่าไร

คนขายจะยอมลดราคาให้ถูกลงก็ต่อเมื่อผู้ซื้อกล้าที่จะต่อรองเท่านั้น ตราบใดที่ผู้ซื้อไม่คิดต่อรองราคา ผู้ขายก็จะเป็นฝ่ายฟันกำไรได้อย่างง่ายดาย

เธอเรียนรู้กลยุทธ์ของที่นี่แล้ว

หลังจากสังเกตต่อไปอีกพักหนึ่ง หลินม่ายก็พอทำความเข้าใจภาษามือได้คร่าว ๆ

รวมถึงยังรู้ราคาของสินค้าบางประเภทอีกด้วย

เสื้อปีกค้างคาวที่ตัดเย็บขึ้นจากเนื้อผ้าชั้นดีมีราคาต่ำสุดอยู่ที่ตัวละหกหยวน แต่ถ้าเป็นเนื้อผ้าทั่วไปราคาจะตกอยู่ที่ตัวละห้าหยวน

หลินม่ายจำได้อย่างชัดเจนที่ตลาดมืดในเจียงเฉิง เสื้อปีกค้างคาวที่ตัดเย็บจากเนื้อผ้าทั่วไปมีราคาอยู่ที่ตัวละสิบแปดหยวน ต่อให้พยายามต่อรองราคา คนขายก็ลดให้ได้ไม่เกินสองหยวนเท่านั้นเอง

ราคาทุนอยู่ที่ห้าถึงหกหยวน แต่ราคาขายกลับอยู่ที่สิบห้าถึงสิบหกหยวน ถือเป็นกำไรมหาศาล

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ชายกลุ่มนั้นซึ่งแวะมากินอาหารที่ร้านของหลินม่ายเมื่อคราวก่อน โอ้อวดว่าพวกเขาสามารถหาเงินได้หลายหมื่นหยวนเพราะซื้อสินค้าจากกว่างโจวมาขายต่อเพียงอย่างเดียว!

ถ้าเธอซื้อเสื้อผ้าสามร้อยตัวกลับไปขายที่เจียงเฉิง เธออาจทำเงินได้ประมาณสองพันถึงสามพันหยวนต่อครั้ง

และถ้าหาเสื้อผ้ามาขายแบบนี้ต่อเนื่องไปอีกสามถึงสี่ครั้งต่อเดือน เธอก็จะมีรายได้ถึงหนึ่งหมื่นหยวนซึ่งเพียงพอต่อการซื้อบ้าน

หลังจากรู้ราคาเสื้อผ้าสำหรับสตรีเกือบทุกแบบแล้ว หลินม่ายก็เริ่มหยิบเลือกเสื้อผ้าทันที

แม้ว่าสองชาติที่แล้วเธอจะเคยประกอบอาชีพรับจัดเลี้ยงเป็นหลัก แต่ก็ยังพอมีความรู้เรื่องแฟชั่นอยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิตวิญญาณในการแต่งตัว

การได้มาเกิดใหม่ในครั้งนี้ จากประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมมาตั้งแต่ภพชาติที่แล้ว ทำให้เธอรู้ว่าเสื้อผ้าแบบไหนที่ควรจะขายดีในยุคสมัยนี้

ยุคนี้เป็นยุคที่ละครฮ่องกงและไต้หวันได้รับความนิยมเป็นพิเศษ โดยเฉพาะดาราฝั่งฮ่องกง พวกเขาได้รับความนิยมมากที่สุดจากแฟนคลับภายในประเทศ ดังนั้นเสื้อผ้าที่หลินม่ายเลือกจึงเป็นแนวที่พวกดารานิยมใส่กัน

เธอเลือกเสื้อปีกค้างคาว กางเกงขากระดิ่ง และกางเกงยีนอย่างละห้าสิบตัว ตามด้วยชุดกระโปรงหลากสีสัน กระโปรงสั้น และเสื้อเชิ้ตรวมทั้งหมดสองร้อยตัว เงินไม่กี่พันหยวนที่พกติดตัวมาด้วยหมดไปภายในชั่วพริบตา

เนื่องจากเธอซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในชุดชั้นใน ทุกครั้งที่เธอหยิบเงินออกมา หลินม่ายจะหันหน้าไปหาฟางจั๋วหราน อาศัยอ้อมแขนของเขาเป็นเกราะกำบัง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบเงินออกมา

แม้จะเขินอายเล็กน้อย แต่ทั้งสองก็คบหาเป็นแฟนกันแล้ว เธอยอมเขินอายต่อหน้าเขาดีกว่าต้องล้วงเงินออกมาต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก

รถเข็นคันเล็กทำให้เธอขนของได้อย่างสะดวกมากขึ้น เสื้อผ้าทั้งหมดถูกพับใส่ไว้ในรถเข็นคันเล็ก ฟางจั๋วหรานคอยลากรถเข็นไว้ด้านหน้า ให้หลินม่ายคอยเดินตามอยู่ด้านหลัง

ความจริงแล้วฟางจั๋วหรานจะจัดให้เธอมาเดินอยู่ข้างหน้าตัวเองก็ได้ แต่จุดประสงค์ที่เขาทำแบบนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาขโมยสินค้าของพวกเขาจากทางด้านหลัง

พวกอันธพาลในยุคสมัยนี้อุกอาจมาก ต่อให้เป็นกลางวันแสก ๆ ก็ใช่ว่าจะไม่กล้าขโมยของ แต่สายตาของคนอื่นกลับมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ต่อให้ผู้คนรอบข้างเห็นเหตุการณ์เข้าเต็มตาก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ไม่มีใครอยากกลายเป็นจุดสนใจเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น

เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากตลาดค้าส่ง พวกเขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก โล่งใจที่ในที่สุดก็กลับมาหายใจอย่างปลอดโปร่งได้อีกครั้ง เมื่อกี้นี้พวกเขาแทบถูกคนเบียดเสียดจนกลายเป็นชิ้นเนื้อไปเสียแล้ว

ฟางจั๋วหรานมาที่กว่างโจวเพื่อเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการ ผู้จัดงานได้จองห้องพักระดับวีไอพีไว้ให้เขาที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง

เมื่อวานเขามาถึงที่นี่ดึกเกินไป อีกทั้งตอนเช้ายังต้องออกไปตลาดค้าส่งพร้อมกับหลินม่าย ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปที่เกสต์เฮาส์ทันทีหลังจากตื่นนอน

พอหลินม่ายได้สินค้าที่ต้องการครบถ้วนแล้ว ฟางจั๋วหรานก็เตรียมเดินทางไปที่เกสต์เฮาส์

แม้ว่าหลินม่ายกับเขาจะตกลงคบหากันแล้ว แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพาเธอไปพักในเกสต์เฮาส์เดียวกัน แต่อย่างน้อยเธอยังสามารถนำเสื้อผ้าเหล่านี้ไปฝากไว้ที่ห้องพักวีไอพีของเขาได้

แน่นอนว่าระดับความปลอดภัยของที่นั่นสูงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

หลินม่ายตามเขาไปที่เกสต์เฮาส์ ขนสินค้าทั้งหมดไปเก็บไว้ในห้อง ก่อนจะลากรถเข็นคันเล็กกลับไปยังโรงแรมขนาดเล็ก ๆ ที่พวกเขาพักค้างแรมด้วยกันเมื่อคืนนี้

เมื่อเช้า เพื่อที่รถเข็นจะมีพื้นที่สำหรับบรรจุสินค้า หลินม่ายจึงขนย้ายผักทั้งหมดออกจากรถเข็น แล้วเก็บไว้ในห้องพักของโรงแรม

ถึงแม้ผักพวกนี้รวมกันแล้วมีน้ำหนักประมาณห้าสิบชั่ง คาดการณ์ว่าขายเป็นเงินได้ประมาณสี่สิบถึงห้าสิบหยวน แต่สำหรับโจรหรือนักต้มตุ๋นแล้วของพวกนี้คงไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ หลินม่ายคิดว่าเก็บไว้ที่โรงแรมก็คงไม่เป็นไร

แต่สิ่งที่ทำให้หลินม่ายต้องประหลาดใจยิ่งกว่า คือผักที่เธอคิดว่าคงไม่มีใครกล้าขโมยไปแน่ ๆ กลับกลายเป็นว่ามีบางส่วนที่หายไป

เพื่อความสะดวกในการขนย้ายผักพวกนี้มาขายที่กว่างโจว หลินม่ายจึงจัดผักพวกนี้มาจากที่บ้านโดยแบ่งเป็นมัด มัดละครึ่งชั่ง

เธอจำได้ว่ามีผักทั้งหมดจำนวนหนึ่งร้อยมัด แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงเก้าสิบหกมัดเท่านั้น

หลินม่ายจัดการบรรจุผักที่เหลือทั้งหมดใส่ลงในรถเข็นคันเล็ก แล้วเดินออกจากห้องไป

เมื่อเดินมาถึงแผนกต้อนรับ เธอจงใจถามพนักงานสองคนตรงหน้าว่าผักของตัวเองหายไปสี่กำมัด

ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในแววตาของพนักงานต้อนรับคนหนึ่ง ก่อนที่หล่อนจะรีบก้มหน้าหลบสายตาของเธอทันที

พนักงานอีกคนกลับกลอกตาพร้อมพูดว่า “หน้าที่ดูแลทรัพย์สินควรเป็นหน้าที่ของผู้พักอาศัยเองนะคะ เรามีหน้าที่จัดหาห้องพักให้เท่านั้น ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นหรอก”

หลินม่ายแค่ต้องการยืนยันการคาดเดาของตัวเองจากกิริยาท่าทางของอีกฝ่าย ว่าผักที่ถูกขโมยไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกหล่อนหรือไม่

ปรากฏว่าพวกหล่อนเปิดเผยพิรุธออกมาอย่างชัดเจน มีแนวโน้มสูงมากว่าพวกหล่อนอาจเป็นคนที่ขโมยมันไปเสียเอง

เธอพักอาศัยในโรงแรมนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

กฎการอยู่รอดในเมืองนี้ 1. อย่าโลภ 2. อย่าใจดีเกินไป 3. มีสติรู้ทันตื่นตัวอยู่ตลอด

เหมือนเกมเซอร์ไววัลเลยม่ายจื่อเอ๊ย ขนาดของที่ไม่คิดว่าจะมีคนขโมยยังโดนขโมย

ไหหม่า(海馬)