บทที่ 140 อิจฉาตาร้อน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของสัตว์อสูรทะเล ไป๋ชิวหรานก็พอจะเข้าใจบางอย่าง ว่าเหตุใดภายใต้ท้องมหาสมุทรในโลกมารถึงไม่มีสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังพอจะกลืนกินเหล่าเซียนได้

คงเป็นเพราะจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่ลงหลักปักฐานอยู่ในสถานที่แห่งนี้ น่าจะเป็นสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในแถบมหาสมุทรนี้ตัวหนึ่ง

ทะเลชายฝั่งแห่งนี้ถือเป็นอาณาเขตของมังกรเก้าเศียร มีเพียงสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังจนหาใดเปรียบจึงจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมัน ทว่าสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปกลับไม่อาจย่างกรายเข้าใกล้ที่แห่งนี้เพื่อเอาชีวิตตนเองมาทิ้งได้!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือสัตว์อสูรทะเลที่อยู่ขั้นปฐมวิญญาณ เป็นเพียงแหล่งอาหารสำรองที่จักรพรรดิอสูรองค์แรกเลี้ยงไว้ในเขตมหาสมุทรแถบนี้เท่านั้น

หลังจากกินสัตว์อสูรทะเลเข้าไปหลายตัว จักรพรรดิอสูรองค์แรกจึงได้บรรเทาความหิวกระหายไปได้เล็กน้อย และดูเหมือนจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้แววตาจะยังคงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและกระหายเลือด อีกทั้งความคิดส่วนใหญ่ยังคงล่องลอยอยู่ในห้วงภวังค์อันสับสนวุ่นวาย มันเริ่มระลึกถึงอดีต และเรียกเอาความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจออกมา พร้อมระดมพลังเวท และเริ่มแสดงอภินิหารเหนือธรรมชาติ!

ปราณอสูรทองคำ หรือระดับพลังงานที่สูงกว่าปราณอสูร เริ่มไหลเวียนไปทั่วพื้นผิวของมังกรเก้าเศียรตนนี้ หนึ่งในเก้าเศียรแหงนหน้าขึ้นฟ้าพร้อมเปล่งเสียงร้องคำราม ทันใดนั้นกลุ่มเมฆดำทะมึนบนท้องฟ้าในระยะหลายร้อยลี้ก็ถูกดึงให้ควบแน่นขึ้น กลายเป็นพายุฝนฟ้าคะนองอย่างบ้าคลั่ง

เสียงฟ้าร้องกึกก้องไปทั่วบริเวณเคล้ากับสายฝนที่ตกโปรยปรายไปทั่วมหาสมุทร แปรเปลี่ยนพื้นที่กว้างใหญ่ของทะเลโดยรอบให้กลายเป็นแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยประจุไฟฟ้า

ไม่ถึงชั่วพริบตา กลุ่มเมฆมืดครึ้มก็ถูกแยกออกจากกันอย่างกะทันหันโดยไร้เหตุผล ไป๋ชิวหรานเรียกกระบี่ออกมากระชับแน่นไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามซูเซียงเสวี่ยที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขน

“จับไว้ให้มั่น ข้าจะเริ่มการโจมตีประเดี๋ยวนี้!”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ซูเซียงเสวี่ยก็รีบเบี่ยงกายเข้าหาชายหนุ่มแนบชิดยิ่งขึ้น พร้อมจับท่อนแขนแกร่งของเขาไว้แน่น

สาเหตุที่ไป๋ชิวหรานไม่ยินยอมให้ซูเซียงเสวี่ยออกห่างแล้วไปหลบซ่อนอยู่ที่อื่น เพราะการที่ให้นางอยู่ใกล้เช่นนี้… นั่นนับว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วในบริเวณนี้ แม้ว่าจักรพรรดิอสูรองค์แรกจะไร้สติกลายเป็นศพมีชีวิตจิตวิปลาส ทว่าพลังเหนือธรรมชาติกับระดับขั้นการฝึกฝนตนนั้นสูงส่งทะลุทะลวงฟ้า ภายหลังจากที่เขาเรียกใช้พลังอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งสวรรค์และโลกรวมถึงน่านน้ำนอกชายฝั่งของโลกมารถูกบีบรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ด้วยฝ่ามือเดียว!

ไม่ว่าซูเซียงเสวี่ยจะหลบหนีไปที่แห่งใด ด้วยทักษะการฝึกฝนตนของจักรพรรดิอสูรองค์แรก ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะบดขยี้สตรีให้แหลกเป็นจุณ ดังนั้นจึงเป็นการปลอดภัยที่สุดหากจะให้นางอยู่ข้างกายตลอดเวลา

เศียรทั้งเก้าของจักรพรรดิอสูรองค์แรกเริ่มสำแดงพลังเวท เริ่มจากเรียกสายฟ้าแล้วสานถักทอให้แปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายสายฟ้าหนาแน่น ตามด้วยคลื่นยักษ์สูงตระหง่าน เคลื่อนภูเขาหลายพันแห่งที่อยู่ในแถบมหาสมุทร หรือแม้แต่พ่นลมหายใจออกเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ทำให้เกิดหมอกพิษและเปลวไฟที่ลุกโชน!

พลังทั้งหมดที่มังกรเก้าเศียรครอบครองอยู่นั้น ดูเหมือนแต่ละหัวจะมีพลังแตกต่างกันไป แม้แต่หัวที่อยู่ตรงกลางที่สูงชะลูดเสียจนเกือบพ้นประตูเหนือชั้นฟ้าสู่อีกโลกหนึ่ง ยังมีลมหายใจอันน่าสยดสยองเป็นเสมือนอาวุธ!

โลกหลังประตูบานนั้น ไป๋ชิวหรานคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันคือเขตแดนยมโลกที่ควบคุมดูแลสังสารวัฏทั้งหก

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังเวทอันทรงพลังและไร้เทียมทานนับไม่ถ้วนไป๋ชิวหรานจึงนำกระบี่ออกมาจากถุงเก็บสมบัติ ทว่ายังไม่ทันดึงออกมาจนสุด กลับรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่เกิดขึ้นรอบกาย

บรรยากาศโดยรอบดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงขนาดใหญ่ ต้อนพวกเขาให้อยู่ภายใต้เขตกำแพงที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น พลังจากทุกทิศทุกทางพยายามปิดกั้นให้ติดอยู่กับที่

“ระวัง!”

จื้อเซียนรีบร้องเตือนทันที

“นี่คืออำนาจของสวรรค์และโลกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิเซียน จักรพรรดิอสูรองค์แรกได้เข้ายึดครองการควบคุมวิถีแห่งธรรมชาติเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว!”

ท้องฟ้ามืดหม่นมัวอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิอสูรองค์แรกโดยสมบูรณ์ แม้แต่ดวงดาวในม่านเมฆยังมืดดับ ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยจมหายไปทางทิศตะวันตก จักรวาลพลันพลิกกลับด้าน โลกทั้งหมดกลายเป็นพื้นที่มืดมิดไร้แสงสว่าง

ด้วยอิทธิพลของพลังเวทนี้ การเคลื่อนไหวของไป๋ชิวหรานจึงหยุดนิ่ง สายเกินไปที่จะตั้งท่ารับเพื่อสกัดกั้นการโจมตีในครั้งต่อไป เขาจึงทำได้เพียงปกป้องซูเซียงเสวี่ยให้หลบไปอยู่ด้านหลัง และใช้ร่างกายต้านทานสายฟ้าที่ฟาดผ่า คลื่นยักษ์ หมอกพิษ เปลวไฟ หรือแม้กระทั่ง… ลมหายใจแห่งความตายอันบริสุทธิ์ ที่แม้แต่ยมโลกยังไม่อาจพรากไปได้

กระแสลมทมิฬพัดกระโชกมาเป็นระลอกสุดท้าย เสื้อผ้าของไป๋ชิวหรานพลันฉีกขาดรุ่งริ่ง แถบคาดบนศีรษะหลุดร่วงออกไป จนทำให้เส้นผมสีขาวปลิวสยายไปตามแรงลม แล้วชายหนุ่มก็เอ่ยถาม

“จื้อเซียน มีวิธีใดที่สามารถทำลายเคล็ดวิชานี้ได้หรือไม่?”

“ถ้ามีระดับการฝึกฝนตนที่สูงกว่าขั้นจักรพรรดิเซียน เจ้าอาจควบคุมมันได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง คงไม่ต่างอะไรไปจากการประลองเพื่อวัดทักษะความแข็งแกร่งที่พ้องต้องตรงกัน”

จื้อเซียนกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว

“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เจ้ามีระดับขั้นที่สูงเพียงพอ ทว่าไร้ซึ่งขั้นวิญญาณแท้จริง จึงไม่สามารถโคจรพลังปราณแก่นแท้เพื่อเรียกใช้พลังเวทนี้ได้… เจ้าเพียงต้องใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีเพื่อทำลายกลอุบาย… มาเถอะ”

“ขั้นวิญญาณแท้จริงอีกแล้ว… ช่างน่าอิจฉาตาร้อนเสียนี่กระไร”

ในเวลานั้น แรงกดดันมหาศาลของจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่กำลังควบคุมวิถีแห่งธรรมชาติยังคงไม่ลดลง ไป๋ชิวหรานเหยียดฝ่ามือทั้งสองข้างครั้งหนึ่ง ก่อนกล่าวออก

“เจ้าต้องการให้ข้าทำตามที่กล่าวมาใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“ย่อมได้”

ไป๋ชิวหรานยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่เหนือมหาสมุทร ยกมือขึ้นสัมผัสตามใบหน้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขากำลังจะทำสิ่งใด

ซูเซียงเสวี่ยรู้สึกว่าปฏิกิริยาของพลังปราณภายในร่างกายของเขาเริ่มแปรปรวนเพิ่มขึ้นและลดลงสลับไปมาราวกับกระแสน้ำ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เจ้ากำลังจะทำสิ่งใดกัน?”

“ข้ากำลังพยายามรวบรวมพลังปราณแก่นแท้เท่าที่จะสามารถรวบรวมได้ ภายในระดับการฝึกฝนตนให้ได้มากที่สุด และยังไม่อยากบรรลุไปสู่อีกขั้นหนึ่ง…”

ไป๋ชิวหรานอธิบายด้วยสีหน้าขมขื่น

“จักรพรรดิอสูรองค์แรกผู้นี้มีความแข็งแกร่งที่คู่ควร ทั้งยังทรงพลังยิ่งจนสามารถบีบบังคับข้าให้บรรลุสู่อีกขั้นก่อนที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้ ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้”

“เจ้าต่างหากที่น่ากลัวยิ่งกว่า!”

ซูเซียงเสวี่ยอดกล่าวยอกย้อนไม่ได้

“เอาล่ะ ขอเวลาข้ารวบรวมสติสักครู่”

ปฏิกิริยาของพลังปราณภายในร่างกายของไป๋ชิวหรานค่อย ๆ เสถียรขึ้น จากนั้นจึงชักกระบี่ออกมา บิดข้อมือครั้งหนึ่ง ก่อนเดินตรงไปทางจักรพรรดิอสูรองค์แรก

“มังกรเก้าเศียรไร้ประโยชน์!”

“โฮก!”

แม้ว่าความทรงจำในอดีตจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้คือผู้ใด ทว่าจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่หลงเหลืออยู่เพียงสัญชาตญาณการต่อสู้ก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามดังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนโดยไร้เหตุผล

จักรพรรดิอสูรองค์แรกรีบระดมพลังเพื่อควบคุมอำนาจแห่งสวรรค์และโลกโดยไม่ลังเล พื้นที่โดยรอบพลันควบแน่น สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลอีกครั้ง จนกระทั่งสามารถต้านทานภัยคุกคามที่แผ่ออกมาจากไป๋ชิวหรานได้อย่างมั่นคง!

แขนของไป๋ชิวหรานยกขึ้นสูงไปตามการเคลื่อนไหวของเขา พื้นที่โดยรอบถูกชายหนุ่มเข้าครอบงำจนบิดเบือนและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ รอยร้าวขนาดเล็กเริ่มขยายตัวออกไป ก่อนจะควบแน่นเข้าด้วยกันในที่สุด

“ข้าพอจะเข้าใจ… ความรู้สึกเหล่านี้บ้างแล้ว”

ไป๋ชิวหรานยกขาขึ้น

“เคล็ดวิชานี้ใช้ไม่ได้ผลสำหรับข้า… ตั้งรับกระบี่นี้ไว้ให้ดี!”

เสียงฝีเท้าที่เหยียบลงบนพื้นผิวทะเลดังลั่น ทันใดนั้นกลางมหาสมุทรพลันปรากฏช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้น น้ำทะเลระเบิดล้นทะลักเข้ามาจากทุกทิศทาง ท่ามกลางเกลียวคลื่นยักษ์ กระบี่ของไป๋ชิวหรานปักคาอยู่ที่ร่างมหึมาของจักรพรรดิอสูรองค์แรกอย่างเงียบเชียบ…

การถ่ายเทของอากาศระหว่างสวรรค์และโลกดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นพายุมรสุมอันบ้าคลั่งก็ปะทุขึ้น…

ปราณกระบี่สีขาวสว่างวาวโรจน์แผ่กระจายไปในมหาสมุทรเป็นระยะทางหลายพันลี้ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวอยู่กลางทะเล ไป๋ชิวหรานจึงไม่คิดปรานีหรือออมมือแต่อย่างใด ปราณกระบี่ที่รัศมีไกลกว่าพันลี้กวาดข้ามโพ้นทะเล ตัดผ่านเศียรทั้งเก้าของจักรพรรดิอสูรองค์แรก ก่อนที่ปราณกระบี่จะพุ่งขึ้นสูง พร้อมกับโลหิตสีทองอร่ามที่สาดกระเซ็นลงสู่ท้องทะเล

ตามหลักการแล้ว สัตว์อสูรเก้าเศียรประเภทนี้จะมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายที่สึกหรอด้วยตนเอง ทำให้ไม่สามารถสังหารพวกมันด้วยการตัดหัวเพียงข้างเดียว ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงเลือกที่จะฟาดฟันใส่เศียรทั้งเก้าให้ขาดในคราวเดียว

คลื่นลูกมหึมาพลันก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่ที่พลุ่งพล่านไม่รู้จบ ท่ามกลางคลื่นขนาดยักษ์ ร่างใหญ่โตไร้ศีรษะของจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่ถูกโค่นล้ม ลอยเคว้งอยู่กลางมหาสมุทรราวกับเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง!