บทที่ 141 ไม่เพียงบุกรุกสุสานบรรพบุรุษ แต่ยังใช้ประโยชน์จากซากศพอีกด้วย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

วิถีแห่งธรรมชาติค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะปกติ กลุ่มเมฆดำทะมึนเริ่มจางหายไป คลื่นยักษ์หยุดการถาโถม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวเริ่มกลับคืนสู่ท้องฟ้าดังเช่นปกติ

ไป๋ชิวหรานสวมกอดเอวของซูเซียงเสวี่ยไว้ มุ่งตรงไปยังศพขนาดมหึมาของจักรพรรดิอสูรองค์แรก

“เร็วเข้า!”

จื้อเซียนโคลงศีรษะอย่างกระวนกระวายอยู่บนเอวของไป๋ชิวหราน ทั้งยังกล่าวกระตุ้น

“ร่างกายนี้มีค่ามหาศาล จงขัดเกลาเสีย มันจะต้องเป็นยุทธภัณฑ์ที่โลกใบนี้ไม่มีวันเทียบเคียงได้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานจึงรีบดำเนินการทันที เขาระดมพลังวิญญาณแท้จริงของตนเอง รวบรวมศีรษะและโลหิตสีทองที่ลอยเคว้งอยู่เหนือผิวทะเลรอบกาย

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจจะทำยุทธภัณฑ์เพื่อตนเอง ทว่าจะมีประโยชน์สำหรับซูเซียงเสวี่ยข้างกายเขามากกว่า

นางเต็มใจเสียสละเวลาชีวิตติดตามเขามายังโลกมาร เพื่อค้นหาหลุมฝังศพของจักรพรรดิอสูรองค์แรก โดยไร้ซึ่งผลประโยชน์ใด ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยขนาดของซากศพดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าหลังจากขัดเกลาแล้ว… ไม่เพียงแต่กลั่นออกมาเป็นยุทธภัณฑ์หนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาอันสมควร พวกมันจะถูกส่งมอบให้แก่ผู้ที่ไว้วางใจได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ นั่นเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใช้เสริมความแข็งแกร่งสำหรับการฝึกฝนตนในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน

“มาเถอะ ข้าจะสอนวิธีการขัดเกลาให้ โดยที่เจ้าสามารถเสริมสร้างด้วยตนเองได้”

หลังจากโลดแล่นไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับไป๋ชิวหรานมาพักใหญ่ จื้อเซียนก็เริ่มคุ้นเคยกับยุคสมัยในตอนนี้บ้างแล้ว ในไม่ช้าจึงถ่ายทอดเคล็ดวิชาวิเศษให้ชายหนุ่ม

กลวิธีนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากยุคสมัยของเซียนปฐพี ส่วนใหญ่ใช้เพื่อขัดเกลาวัตถุจากสิ่งมีชีวิต เพื่อหล่อหลอมเป็นสมบัติเซียนคุณภาพสูง แน่นอนว่าต้องใช้พลังวิญญาณที่แท้จริง หรือพลังวิญญาณเซียนเพื่อขัดเกลา

เคล็ดวิชาที่จื้อเซียนเป็นผู้เลือกให้ เป็นเวทที่มีคุณลักษณ์เพียงอย่างเดียว ทั้งยังสะดวกเรียบง่ายกว่าการขัดเกลาในรูปแบบทั่วไป ไป๋ชิวหรานพยายามร่ายเวทคาถาด้วยตนเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นการผนึกด้วยเวทคาถาก็ประสบความสำเร็จ

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบม้วนกระดาษออกมาจากถุงเก็บสมบัติแล้วคลี่กางออก มันคือภาพเขียนจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนชิ้นเดียวกันกับที่องค์ชายหมีขาวพยายามใช้เพื่อดักจับตน

ไป๋ชิวหรานไม่มีทางปล่อยให้อาวุธสังหารทรงพลังเช่นนี้อยู่ในมือขององค์ชายหมีขาวอย่างเด็ดขาด หลังจากเอาชนะเขาได้ ชายหนุ่มจึงยึดม้วนภาพเขียนนี้มาเสีย

ด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียดของจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานจึงได้เรียนรู้โครงสร้างของห้วงมิติและสมบัติเซียนภายในจิตรกรรมน้ำหมึกเซียน ชายหนุ่มต่อเติมโครงสร้างค่ายกลจากแนวคิดเดิมของสมบัติเซียนชิ้นนี้เพื่อการขัดเกลา

ความคิดของไป๋ชิวหรานค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง ชายหนุ่มเรียกใช้เคล็ดวิชาผนึกอัคคี แล้วเริ่มขัดเกลาให้เป็นยุทธภัณฑ์

สิ่งแรกที่ไป๋ชิวหรานทำคือพิณวสันตฤดูหัวมังกร ประกอบสร้างขึ้นจากเส้นเอ็นของมังกรจักรพรรดิอสูรองค์แรกและหัวมังกรอีกสองหัว นี่เป็นยุทธภัณฑ์ที่คิดค้นและขัดเกลาขึ้นเพื่อซูเซียงเสวี่ย

แม้ว่าพิณอันเดิมของซูเซียงเสวี่ยจะเป็นยุทธภัณฑ์คุณภาพสูง แต่ความสามารถยังด้อยกว่าสมบัติเซียนที่สร้างขึ้นจากร่างกายของจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน!

ไป๋ชิวหรานคิดว่า หลังจากที่พิณหัวมังกรชิ้นนี้ได้รับการขัดเกลาอย่างดีแล้ว เมื่อดีดเพียงแผ่วเบา…จะสามารถดึงดูดอสนีบาตจากวิถีแห่งธรรมชาติ อีกทั้งยังกระตุ้นให้เสียงมีความทรงพลังยิ่งขึ้นประหนึ่งเสียงคำรามของมังกร!

พิณหัวมังกรได้รับการขัดเกลาอย่างรวดเร็ว ไป๋ชิวหรานจึงขอให้ซูเซียงเสวี่ยลองใช้งาน ปรากฏว่ามีความทรงพลังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อสนีบาตที่ถูกเสียงพิณดึงดูดสามารถทำลายเกลียวคลื่นในทะเลได้ในระยะหลายลี้ ทั้งยังส่งเสียงดังกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วฟ้า

ไป๋ชิวหรานทำปิ่นปักผมสีทองให้ซูเซียงเสวี่ยด้วยเขามังกรอีกหนึ่งชิ้น สตรียอมรับของกำนัลเหล่านี้ด้วยความปีติยินดี จากนั้นก็ริเริ่มขัดเกลาวัสดุเพื่อไป๋ชิวหรานบ้าง

ความจริงแล้ว ร่างไร้วิญญาณใต้ฝ่าเท้าของซูเซียงเสวี่ยคือบรรพบุรุษของนางเอง ทว่าสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ในตอนนี้ คือช่วยเหลือให้บุรุษต่างเผ่าพันธุ์ย่ำยีร่างบรรพบุรุษของตนเอง หนำซ้ำยังใช้ร่างกายเหล่านั้นเพื่อขัดเกลาเป็นยุทธภัณฑ์

หากลองวิเคราะห์ให้ดีแล้ว… ถือเป็นสิ่งร้ายแรงที่ผู้ฝึกตนไม่ควรกระทำเอาเสียเลย

ด้วยความช่วยเหลือของซูเซียงเสวี่ย จึงทำให้ประสิทธิภาพการขัดเกลาอาวุธของไป๋ชิวหรานพัฒนาขึ้นเล็กน้อย เขามอบกระบี่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณกระบี่ให้ซูเซียงเสวี่ย ชายหนุ่มขอให้สตรีผู้เป็นถึงเจ้าสำนักช่วยตัดแบ่งส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจักรพรรดิอสูรองค์แรกให้กับตน

เมื่อมีซูเซียงเสวี่ยคอยให้การช่วยเหลือ ไป๋ชิวหรานจึงสามารถขัดเกลากระบี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีมีดคู่ หอกยาว มีดทรงยาว ชุดเกราะ และคันธนูขนาดใหญ่ที่ทำจากกระดูกและเส้นเอ็นของมังกร รวมถึงสมบัติอื่น ๆ อีกหลายชิ้น

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ไป๋ชิวหรานก็พบว่ายังมีวัสดุหลงเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงเริ่มขัดเกลาสมบัติสำหรับตนเองบ้าง

ชายหนุ่มดึงหนวดและเขามังกรออกมาทำเป็นพู่กันขึ้นมาเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ใช้เส้นขนบนปีกของมังกรจักรพรรดิอสูรองค์แรกทำเป็นพัดขนนกและเสื้อคลุมขนสัตว์ กรงเล็บมังกรใช้เป็นอาวุธ ส่วนดวงตานำมาขัดเกลาจนกลายเป็นอัญมณีหลายชิ้น

ขั้นสุดท้าย ไป๋ชิวหรานได้ทำไม้วัดขึ้นจากกรงเล็บมังกรที่เหลืออยู่ แต่ถึงกระนั้นร่างไร้วิญญาณของจักรพรรดิอสูรองค์แรก ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์หลงเหลืออยู่อีกจำนวนมาก!

กล้ามเนื้อที่กองรวมกันเป็นภูเขาเลากา โลหิตที่ยังไม่จับตัวกันเป็นก้อน ล้วนเป็นขุมทรัพย์มูลค่าสูงสุด

ทั้งสองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงขัดเกลาแก่นแท้ในระบบไหลเวียนโลหิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยกระบวนการนี้ เขาไม่อาจล่วงรู้ว่าสูญพลังปราณไปมากน้อยเพียงใด ชายหนุ่มหลอมโลหิตมากมายราวกับแหล่งน้ำในทะเลสาบลงในถ้วยใบเล็ก เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจึงมอบให้กับซูเซียงเสวี่ยดื่มเป็นโอสถเสริมความแข็งแกร่งแก่คฤหาสน์ม่วงด้วยความอาลัยอาวรณ์

“คาดเดาว่าอีกประมาณสองถึงสามพันปีข้างหน้า ข้าคงไม่ต้องดื่มโอสถอีกต่อไป”

ริมฝีปากและผิวกายของซูเซียงเสวี่ยขึ้นสีแดงราวกลีบกุหลาบแรกแย้ม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเกินไป

“ถึงกระนั้นก็ยังมีเลือดเนื้อเหลืออยู่อีกมาก”

ไป๋ชิวหรานรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“เราปล่อยให้ศพลอยอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ หลังจากจักรพรรดิอสูรองค์แรกสิ้นพระชนม์ คาดว่าในท้องมหาสมุทรคงมีสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว หากปล่อยให้พวกมันกัดกินเนื้อเหล่านี้ เห็นทีโลกมารคงถึงคราวกลับตาลปัตร”

จริงอยู่ที่ไป๋ชิวหรานคาดหวังให้โลกมารอ่อนกำลังลง ทว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นบ่อนทำลายอสูรเผ่ามารให้พังพินาศ ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงคำนึงถึงความทุกข์ยาก เกรงว่าเผ่ามนุษย์ที่พ่ายแพ้ต่อภัยคุกคามจะสูญเสียแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองเช่นเดียวกัน

ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยจึงได้แต่ยืนอยู่บนกองสมบัติล้ำค่านี้ และหันมองสบตากันไปมาอยู่อย่างนั้น

ด้วยจำนวนอันมหาศาลเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บรวบรวมไว้ในถุงเก็บสมบัติหรือวงแหวน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการช่วยกันเคลื่อนย้ายกลับไปยังโลกมนุษย์เลย!

“งั้นก็ใช้มันเสริมพลังให้กับยุทธภัณฑ์”

ขณะนั้นเอง จื้อเซียนก็ได้ปริปากให้คำแนะนำ

“แผนที่เซียนแผ่นนั้นปราศจากพลังงานมิใช่หรอกหรือ? เจ้าเพียงต้องเสริมพลังงานให้กับมัน หลังจากเพิ่มพลังงานลงไปแล้ว จิตวิญญาณภายในสิ่งประดิษฐ์ก็จะรับรู้ว่าผู้ใดคือเจ้านายได้ง่ายขึ้น…”

“เป็นข้อเสนอแนะที่ดี”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง?”

“ข้าจะสอนกลวิธีการจัดการให้เอง”

จื้อเซียนกล่าว

“กระบวนการนี้อาจใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ เจ้าควรสร้างค่ายกลป้องกันและปล่อยทิ้งให้ร่างเซียนอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยใช้ประโยชน์จากระยะเวลาดังกล่าวเพื่อสำรวจดูว่ามีสิ่งใดอยู่ในวิหารใต้ดินบ้าง”

ไปชิวหรานทำตามคำแนะนำของจื้อเซียน โดยทิ้งร่างเซียนไว้ที่นี่ จากนั้นก็พาซูเซียงเสวี่ยพร้อมด้วยหัวกะโหลกกลับลงไปยังวิหารใต้ดินที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร

แผ่นหินที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้พังทลายจนไม่เหลือซาก ทว่าจื้อเซียนได้คัดลอกโครงสร้างภายในวิหารใต้ดินไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยเดินลัดเลาะไปรอบ ๆ วิหารใต้ดิน และพบกับสุสานที่เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าในที่สุด!

อันที่จริง ภายในหลุมฝังศพของวิหารใต้ดินมีสมบัติล้ำค่าไม่มากนัก อสูรเผ่ามารเชื่อมั่นในศักยภาพร่างกายของตนเองมากกว่าการใช้ยุทธภัณฑ์ ทำให้ยุทธภัณฑ์เป็นเพียงเครื่องประดับบารมีเฉพาะจักรพรรดิอสูรองค์แรกเท่านั้น ภายในวิหารใต้ดินจึงไม่มีอาวุธวิเศษใด ๆ สมบัติล้ำค่าเพียงสิ่งเดียว ณ ที่แห่งนี้คือสุสานที่จักรพรรดิอสูรองค์แรกสร้างขึ้น โชคดีที่สุสานนี้สร้างอยู่อีกแห่งหนึ่งตรงมุมของวิหารใต้ดิน เมื่อมังกรจักรพรรดิอสูรองค์แรกดิ้นรนเคลื่อนย้ายร่างออกไป จึงทำให้สถานที่ตรงนั้นไม่ได้รับความเสียหายมากนัก

ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยเดินเข้าไปในสุสาน และพบว่ามีเพียงแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ทำจากแร่ผลึกสีดำอยู่ในนั้น โดยมีถ้อยคำบางอย่างถูกจารึกไว้

เนื้อสัมผัสของแร่ชนิดนี้มีความแข็งกระด้าง กาลเวลาอันยาวนานเกินคณานับไม่ได้ส่งผลกระทบให้แร่ชนิดนี้สึกกร่อนไปจากเดิมมากนัก อีกทั้งเนื้อความยังคงชัดเจน

ไป๋ชิวหรานอุ้มหัวกะโหลกจื้อเซียนให้ไปตรวจสอบใกล้ ๆ เพื่อแปลสารนั้น

“ตำราเคล็ดวิชาการฝึกตนมีอยู่เพียงสองเล่ม เล่มหนึ่งคิดว่าคงเป็นเคล็ดวิชาที่จักรพรรดิอสูรองค์แรกเคยฝึกฝนมาก่อน เรียกว่าเคล็ดวิชามังกรทรราช ส่วนตำราเคล็ดวิชาอีกเล่มเป็นเคล็ดวิชาลับสำหรับการบรรลุขั้นการฝึกตน ในขณะเดียวกัน เบื้องหลังของการฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ว่ามานี้ ยังมีความลับอันยิ่งใหญ่ที่น่าประหลาดใจถูกบันทึกไว้”