เฉินลั่วมองหวังซีโดยไม่พูดอะไร แต่สายตาดูจริงจังยิ่งนัก นอกจากนี้ยังเจือความเคร่งขรึมเอาไว้หลายส่วนด้วย ชั่วขณะนั้นทำให้หวังซีรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
นางพึมพำกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่ยินยอม หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าเองก็ไม่ยินยอมเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย เจ้าเองไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเวลานี้ บางเรื่อง มีเพียงยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะมีความหมาย”
ทันใดนั้นเฉินลั่วหัวเราะ คิก ออกมาเสียงหนึ่ง
นี่ดูแคลนว่านางพูดมากเกินไปอย่างนั้นหรือ
หวังซีไม่ค่อยพอใจนัก ทำหน้าตึงพลางกล่าว “เจ้าไม่ชอบข้าก็จะไม่พูดแล้ว ทำคุณบูชาโทษจริงๆ”
“เปล่า เปล่า” เฉินลั่วรีบอธิบาย กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้ากล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง”
มันทำให้เขานึกถึงมารดาของบ่าวชายเด็กผู้นั้น ทุกครั้งที่ได้เจอบ่าวชายเด็กคนนั้น นางจะพูดโดยไม่สนใจผู้อื่นเช่นนี้อย่างไม่หยุดหย่อน
บางที สตรีที่พกพาความรักความอบอุ่นติดตัวมาด้วยล้วนชอบจ้อไม่หยุด?
เฉินลั่วคิดว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสมบูรณ์แบบ ข้อเสียเล็กๆ ของหวังซีข้อนี้ เขาควรจะยอมทนได้ถึงจะถูก
เขากล่าว “จริงด้วย ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หลังจากที่ตระกูลซือเดินทางเข้าเมืองหลวงแล้ว ต้องมีคนจำนวนมากขยับตัวหลังจากได้ยินข่าวอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย อยากเข้าร่วมกับตระกูลซือหรืออยากเหยียบตระกูลซือซ้ำนั้น บัดนี้ยังไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นเจ้าควรอยู่แต่ในบ้าน อย่าออกไปไหนเป็นดีที่สุด หากฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องขอร้องอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล เจ้าย้ายไปอยู่ที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนสักสองสามวันหรือไม่ก็ไปขอความช่วยเหลือจากหลงจู๊ใหญ่ชั่วคราวก่อน”
ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วยนาง แต่เขากำลังตกอยู่ในใจกลางมรสุมร้าย หากหวังซีมาขอความช่วยเหลือจากเขา ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นผลร้ายที่ไม่พึงปรารถนาได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขากลัวว่ามารดาของเขาจะสร้างความวุ่นวาย อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำแล้วไปหาหวังซี ไปเปิดเผยความคิดจะรับอนุอะไรออกมา
แม้นตระกูลหวังมิได้มีสถานะสูงส่ง ทว่าไม่มีทางใช้เรื่องงานแต่งของบุตรสาวมาเป็นเบี้ยอย่างแน่นอน
และเขาเองก็ไม่อนุญาตให้ตระกูลหวังใช้หวังซีเป็นเบี้ยด้วย
เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจพูดถ้อยคำดังกล่าวกับหวังซีได้ และเป็นความรู้สึกจางๆ ที่เขาไม่อยากให้หวังซีกับจ่างกงจู่มีปัญหาขัดแย้งกัน
หวังซีกลับไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวว่า “นี่ต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ ตอนนี้ข้าไม่ค่อยไปหาฮูหยินผู้เฒ่าสักเท่าไรแล้ว อ้างว่าต้องช่วยพี่สาวสี่เตรียมพวกงานเย็บปักสำหรับออกเรือน วันๆ หลบอยู่แต่ในห้องหนังสือ!”
เฉินลั่วฟังแล้วจดจำเอาไว้ในใจ เมื่อกลับไปก็ซื้อหนังสือภาพส่งไปให้หวังซีหนึ่งกองใหญ่
หวังซีเลือกเล่มที่น่าสนใจออกมาหลายเล่ม ซ่อนตัวอ่านหนังสือภาพอยู่แต่ในบ้านทุกวัน
ไม่นาน ตระกูลซือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง
ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นภาษา เรียกหวังซีไปหา หมายจะขอยืมคนข้างกายของนางไปใช้งานสักหน่อย “จะส่งของไปให้ตระกูลซือสักหน่อย ตอนนี้พวกเขาถูกขังอยู่ที่ศาลต้าหลี่ ต้องมีชีวิตอย่างยากลำบากมากเป็นแน่ นับวันอากาศก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้น ข้าได้ยินว่าห้องขังที่ศาลต้าหลี่ไม่มีผ้าห่มผืนหนาเลยแม้แต่น้อย หนึ่งวันได้กินข้าวเพียงสองมื้อ ล้วนแล้วแต่เป็นโจ๊กที่ใสจนส่องเห็นเงาคนได้ คงไม่อาจปล่อยให้พวกเขาต้องทนหิวทนหนาวได้ หาไม่แล้วหัวใจดวงนี้ของข้าจะทนได้อย่างไร!”
หวังซีไม่แสดงความรู้สึกทางสีหน้า คิดอยู่ในหัวว่าหัวใจของท่านทนไม่ได้ก็เลยมาก่อกวนข้าอย่างนั้นหรือ
เหตุใดโหวฮูหยินไม่ไป ย่อมเป็นเพราะหย่งเฉิงโหวได้ทำการย้ำเตือนเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าไม่ให้โหวฮูหยินติดต่อกับตระกูลซือ ทำไมนายหญิงรองไม่ไป ย่อมเป็นเพราะกลัวจะนำปัญหามาสู่ตัว และเหตุใดนายหญิงสามไม่ไป หากมิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียง ด้วยนิสัยของนายหญิงสามแล้ว จะเอาใจออกหางมีเรื่องบาดหมางกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร
“นี่ท่านไปฟังใครพูดมาเจ้าคะ” นางขมวดคิ้วมุ่นขณะที่กล่าว “บัดนี้บ้านเมืองสุขสงบ ไม่ต้องพูดถึงสถานที่ที่เชี่ยวชาญการรับมือกับคดีความใหญ่ๆ อย่างศาลต้าหลี่เลย แม้แต่ห้องขังธรรมดาในตัวอำเภอทั่วไป ก็ไม่มีทางบกพร่องเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่มของนักโทษ นี่คงมีใครคิดจะใช้ชื่อเสียงของจวนหย่งเฉิงโหวให้การสนับสนุนตระกูลซือกระมัง”
แน่นอนว่าสิ่งที่นางพูดไม่เป็นความจริง นางกำลังล่อหลอกฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ก็เท่านั้น
ด้วยประสบการณ์และชาติกำเนิดของคนอย่างฮูหยินผู้เฒ่า เป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้ว่าจริงๆ แล้วในห้องขังมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ตะลึงงันไปจริงๆ ตามคาด
หวังซีแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นมากยิ่งขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยท่าน แต่เรื่องที่ท่านกล่าวมานี้มันเป็นไปไม่ได้ ท่านให้คนของข้านำสิ่งของไปเยี่ยมตระกูลซือ นั่นย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่พวกข้าจะเอาของอะไรไป จะให้นำผ้าห่มกับอาหารไปให้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ตอนพวกข้าไปต้องนำป้ายชื่อของท่านโหวไปด้วยหรือไม่ ถ้าหากไม่เอาไปด้วย ท่านตั้งใจจะใช้นามของตัวเองไปเยี่ยมพวกเขาหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าอึกๆ อักๆ ตอบไม่ได้ หันไปมองทางฉากกั้นหลายต่อหลายครั้ง
หวังซีไม่มีแม้แต่อารมณ์จะมองตามไปด้วยซ้ำ
นางกล่าว “อย่างไรก็ตาม หากท่านรู้สึกว่าอย่างไรก็ควรจะไปดูสักครั้งถึงจะวางใจละก็ เช่นนั้นข้าก็จะให้คนข้างกายไปดูให้ท่านสักครั้งหนึ่ง ท่านลองดูว่าท่านจะให้นำของอะไรไปให้บ้าง หรือไม่ก็เขียนใบรายการมาสักใบหนึ่งข้าจะช่วยท่านซื้อ หรือไม่ถึงเวลาข้าจะให้คนมารับของจากท่าน”
ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนเอาไว้อย่างไร นางก็ตั้งใจจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้หย่งเฉิงโหวทราบอยู่ดี
เวลานี้ ไม่มีใครรู้ว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์อะไร การไปเยี่ยมนักโทษก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกข้าง นางเชื่อว่าด้วยความขี้ขลาดและระแวดระวังตัวของหย่งเฉิงโหวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางอนุญาตให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปเยี่ยมนักโทษในเวลานี้อย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่รู้เรื่อง ได้ยินแล้วยินดีปรีดาขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรหวังซีก็เป็นเด็กเชื่อฟังกตัญญูรู้คุณ จึงรีบให้ซือหมัวมัวไปเขียนใบรายการมาใบหนึ่ง ยังกล่าวด้วยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็จัดการได้อย่างเหมาะสม มอบหมายเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ ข้าวางใจเป็นที่สุดแล้ว”
หวังซีขานรับคำอย่างยิ้มแย้ม ถือใบรายการออกมาจากเรือนหยกวสันต์ ดำเนินการเตรียมข้าวของเยี่ยมนักโทษตามใบรายการอย่างเอิกเกริก
โหวฮูหยินเป็นนายหญิงของบ้าน หากเป็นเรื่องอื่น นางอาจทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งไม่สนใจได้ แต่เรื่องไปเยี่ยมตระกูลซือนั้น…ดีร้ายหวังซีก็เป็นคุณหนูต่างสกุลที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาจวนหย่งเฉิงโหว
นางไปพบหย่งเฉิงโหวด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ
หย่งเฉิงโหวโมโหจนแทบจะกระอักเลือด มอบหมายให้โหวฮูหยินไปห้ามหวังซีเสร็จแล้วก็ตรงไปหาฮูหยินผู้เฒ่า
สองแม่ลูกคุยอะไรกันบ้างนั้นไม่มีใครในบ้านรู้ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าสองแม่ลูกแยกย้ายจากกันด้วยไม่ดี และเพราะเหตุนี้หวังซียังถูกหย่งเฉิงโหวเรียกไปอบรมอย่างอ้อมๆ ครั้งหนึ่งด้วยว่าต่อไปนี้ให้นางอยู่ในกฎระเบียบ เรื่องในเรือนหลังต้องให้โหวฮูหยินอนุญาตก่อนถึงจะกระทำได้
เบื้องหน้าหวังซีเชื่อฟังเป็นอย่างดี แต่เมื่อออกจากห้องหนังสือของหย่งเฉิงโหวก็เบ้ปากอย่างดูแคลน
ตอนนี้รู้จักควบคุมคนในบ้านแล้วหรือ เช่นนั้นก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่
ซือจูโกรธจนกัดฟันกรอด รู้สึกว่าหวังซีจงใจทำเช่นนี้ ดูแคลนตระกูลซือของพวกนาง
หากตระกูลซือรอดพ้นจากเคราะห์ร้ายครั้งนี้ได้ คอยดูว่านางจะจัดการหวังซีอย่างไร
ซือจูคิดอย่างเคียดแค้น
นางหาได้เห็นใจสงสารต่อชะตากรรมของคนตระกูลซือ นางก็แค่อยากทำให้คนอื่นรู้ว่าจวนหย่งเฉิงโหวยังสนใจไยดีญาติตระกูลนี้อยู่ ยามนางออกเรือนจะได้มีหน้ามีตาเหลืออยู่บ้าง และหวังซีก็มีเงินอยู่ในมือมากมาย หากคิดจะช่วยตระกูลซือจริง ก็จัดการทุกอย่างอย่างเงียบๆ ได้ ทว่าหวังซีกลับป่าวประกาศไปทั่วทุกที่ เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมส่งถ่านให้ในวันหิมะตก ไม่อยากช่วยเหลือตระกูลซือนั่นเอง
ซือจูนั่งอยู่หน้ากระจก มองคนงามที่มีสีหน้าชั่วร้ายในกระจกผู้นั้นแล้วหัวใจบีบแน่น
บัดนี้นางไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง สิ่งที่พอจะหยิบออกมาใช้ได้ก็มีแค่ใบหน้านี้เท่านั้นแล้ว เฉินอิงมีแผนการอะไรนั้นนางกระจ่างแจ้งแก่ใจดี แต่บุรุษก็รักของสวยงาม เช่นเดียวกับบิดาของนาง นางไม่เชื่อว่าด้วยใบหน้าที่งดงามของตัวเองนี้ เฉินอิงจะหนีพ้นเงื้อมมือของนางไปได้
แน่นอนว่าความงามมีวันร่วงโรย ซึ่งนางก็ไม่ได้คิดว่าเฉินอิงจะเชื่อฟังนางไปตลอดทั้งชีวิต ขอเพียงสามถึงห้าปี นางให้กำเนิดบุตรชายสักสองสามคนได้ก็พอแล้ว
ซือจูวางแผนอยู่ในใจ ผู้ใดจะรู้ว่าไม่ถึงสองวัน ฮ่องเต้ก็ประกาศพระราชโองการลงมาโดยไม่ผ่านกรมอาญาและศาลต้าหลี่ บอกว่าตระกูลซือพูดจาเลื่อนเปื้อน กล่าวหาองค์ชาย มีโทษร้ายแรงไม่อาจละเว้น ให้ประหารชีวิตใต้เท้าซือทันที สตรีทั้งหมดของตระกูลซือให้ขายไปยังกองสังคีต ส่วนบุรุษถูกเนรเทศไปอยู่ค่ายซีหนิง และยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลซือกลับคืนหลวง
มีเพียงซือจูเท่านั้นที่อยู่รอดปลอดภัยเนื่องจากมีสมรสพระราชทาน
ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างกะทันหันโดยไม่มีเค้าลางอะไรเตือนมาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ฮ่องเต้เคลื่อนหมากเช่นนี้ ทำให้คนที่ยังลังเลใจว่าควรปฏิบัติต่อตระกูลซืออย่างไรถึงจะเป็นที่พอพระทัยฮ่องเต้เหล่านั้นเหมือนถูกกระหน่ำฟาดลงมาอย่างแรงครั้งหนึ่ง
“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนต่างพากันไปสืบข่าว
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับหน้ามืด เป็นลมล้มพับลงไป
หย่งเฉิงโหวรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ดีร้ายก็ไม่ได้ดึงจวนหย่งเฉิงโหวเข้าไปเกี่ยวด้วย
บุตรหลานผู้กตัญญูนั้นใครๆ ก็แสร้งเป็นกันได้
หย่งเฉิงโหวเชิญหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมาดูอาการฮูหยินผู้เฒ่า เฝ้าอยู่หน้าเตียงฮูหยินผู้เฒ่าโดยไม่ได้กลับไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ บุตรสะใภ้ทั้งหลายยิ่งไม่ต้องพูดถึง เฝ้าอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งวัน แม้แต่งานแต่งของคุณชายสามฉังก็ยังระงับเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
นายหญิงรองไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
ทว่าโหวฮูหยินกลับยินดีปรีดายิ่ง ยังลอบกล่าวกับพานหมัวมัวเป็นการส่วนตัวว่า “สมน้ำหน้า! นางบอกว่าคุณหนูหันกับบุตรชายของนางดวงสมพงศ์กัน เป็นคู่ที่เหมาะสมดั่งสวรรค์สร้างมิใช่หรือ เหตุใดทั้งที่กำลังจะได้แต่งเข้ามาอยู่แล้ว กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้?” ยังปลอบหย่งเฉิงโหวว่าไม่ต้องเป็นห่วงอย่างมีนัยแฝงว่า “เนื่องจากคุณหนูหันกับบุตรชายคนโตของบ้านรองเป็นคู่บุพเพที่เหมาะสมและนำความรุ่งโรจน์มาให้ตระกูล หลังผ่านพ้นเคราะห์ร้ายแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะพานพบกับความยินดีปรีดาแน่นอน”
หย่งเฉิงโหวคร้านจะสนใจเรื่องเล่ห์เหลี่ยมของเรือนหลังเหล่านี้ จึงไม่ได้กล่าวรับคำพูดของโหวฮูหยิน แต่ต้องการให้โหวฮูหยินจับตาดูซือจูเอาไว้ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรที่ยากจะแก้ไขได้
โหวฮูหยินเตรียมการเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว นางกลัวว่าทางด้านซือจูจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จึงจัดการให้ซือจูอยู่ในสายตาตลอด นอกจากให้นางปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าทั้งกลางวันกลางคืนแล้ว ยังให้ซือจูคัดพระธรรมสวดขอพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย บอกว่า ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะตระกูลซือของพวกเจ้าทั้งสิ้น บอกเป็นนัยว่าหากเจ้าไม่ดูแลคนป่วย ก็อกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
ในใจของซือจูเต็มไปด้วยความชิงชัง รู้สึกว่าพอตระกูลซือตกต่ำ ทุกคนก็รังแกนาง ฮูหยินผู้เฒ่าหาได้เป็นอะไรมาก ทว่าจวนหย่งเฉิงโหวกลับทำเป็นเรื่องใหญ่ให้ทุกคนได้รับรู้ ทำให้คนคิดว่าได้รับความลำบากจากตระกูลซือไปด้วย
นายหญิงรองเองก็เปี่ยมไปด้วยความเดือดดาลเช่นกัน
ต่อให้ตระกูลซือดีเพียงใด แต่จะสำคัญไปกว่าบุตรชายบุตรสาวของตัวเองเชียวหรือ?
ล้มป่วยให้เร็วหรือไม่ก็ช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ดันป่วยในเวลานี้พอดี เช่นนี้ผู้อื่นจะวิจารณ์งานแต่งของบุตรชายนางว่าอย่างไร
โชคดีที่ไม่ถึงสองวันฮูหยินผู้เฒ่าก็ฟื้นขึ้นมา เพียงแต่ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง ไม่อยากลุกจากเตียง ยังคงนอนอยู่บนเตียงปล่อยให้บุตรชายบุตรสะใภ้คอยปรนนิบัติดูแล
เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสองวัน นางก็จับซือจูมาสอบถาม “พ่อเจ้าจะถูกประหารเวลาใด เจ้าเคยไปเยี่ยมเขาหรือไม่ ยังมีย่าและมารดาของเจ้าอีก พวกนางเป็นเช่นไรบ้าง”
ซือจูออกจากห้องนอนของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ ไหนเลยจะรู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
สายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองซือจูยากจะปกปิดความผิดหวังเอาไว้ได้ มองบุตรชายกับบุตรสะใภ้ของตัวเองอีกครั้ง ทุกคนต่างทำเหมือนไม่ได้ยิน ชั่วพริบตานั้นนางไร้ชีวิตชีวาประหนึ่งต้องน้ำค้างแข็ง กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นอาซี”
ฉังเคอและหลานสาวคนอื่นๆ เฝ้าอยู่นอกห้องนอน พอนางได้ยินก็ไม่สนใจเรื่องลำดับผู้อาวุโสอีก รีบตะโกนตอบไปว่า “เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้ แต่เพราะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หวังหมัวมัวจึงพานางกลับไปล้างหน้าล้างตาเจ้าค่ะ”
ซือจูได้ยินแล้วลูกตาแทบจะถลนออกมา
ตั้งแต่ต้นจนจบหวังซีตามนายหญิงสามโผล่หน้ามาให้เห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งนายหญิงสามล้วนมีท่าทีเหมือนกลัวนางจะได้รับความลำบากไปด้วย อยู่ในห้องฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถึงหนึ่งเค่อก็บอกว่าหวังซีเหนื่อยแล้ว ให้นางไปดื่มชาหรือไม่ก็ไปกินขนมอะไรต่างๆ และวันหนึ่งๆ ก็ผ่านพ้นไปเช่นนั้น
แต่คนอื่นๆ กลับทำราวกับไม่ได้ยินก็ไม่ปาน
นางไม่ได้ช่วยเฝ้าคนป่วยเลยเข้าใจบ้างหรือไม่
ซือจูกำลังจะกล่าวแย้งฉังเคอ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับกล่าวขึ้นก่อนว่า “พวกเจ้าไปเรียกนางมา ข้ามีเรื่องต้องการคุยกับนาง”
คนที่ปรนนิบัติอยู่เต็มห้องต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทำอะไรอีก ทว่าก็ไม่อาจคล้อยตามได้ โน้มน้าวไปหลายประโยคฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ฟัง จำต้องให้สาวใช้เด็กไปเรียกหวังซีมา
…………………………………………………………………….