ตอนที่ 212 แสร้งทำตัวเป็นตาทึ่ม

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 212 แสร้งทำตัวเป็นตาทึ่ม

เยียนอวิ๋นถงส่งหลิวเป่าจูกลับไปที่จวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง พร้อมทั้งรับประทานมื้อเย็น

ความสามารถด้านความไร้ยางอายของเขาได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลเยียนโดยตรง

อย่ามองว่าสติปัญหาของเขาดิ่งลงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวเป่าจู แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนนิสัยหน้าด้านของเขา

เมื่อรับประทานมื้อค่ำเสร็จแล้ว เขายังไม่อยากจากไป

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงหน้าดำทะมึน เขาไม่อาจทนดูต่อไปได้

จึงขับไล่เยียนอวิ๋นถงออกไปด้วยความแข็งกร้าย

เยียนอวิ๋นถงพึมพำ “ข้ากับเป่าจูเป็นว่ามีสามีภรรยา เหตุใดพระราชบุตรเขยจึงใจร้ายเพียงนี้”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ายังอยากพักที่นี่หรืออย่างไร”

“ได้หรือ” เยียนอวิ๋นถงถาม

หลิวเป่าผิงโกรธจัด เขายกเท้าถีบไปทางเยียนอวิ๋นถง

เยียนอวิ๋นถงหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว เขาหัวเราะคิกคักราวกับกำลังหัวเราะเยาะฝีมือของหลิวเป่าผิงอ่อนเกินไป เกรงว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนเป็นเวลานานเพราะหลงใหลอยู่ในอ้อมกอดของสตรี

หลิวเป่าผิงพูดด้วยความโกรธ “ก่อนแต่งงาน เจ้าอย่าได้พบหน้ากับเป่าจู”

“เพราะเหตุใด”

เยียนอวิ๋นถงไม่ยอม

หลิวเป่าผิงพูด “เพราะข้าเป็นพี่ชายของนาง!”

เหตุผลนี้ทรงพลังอย่างมาก

เยียนอวิ๋นถงหมดคำพูด ทำได้เพียงร้องไห้…

เขาออกจากจวนตระกูลหลิวไปอย่างไม่เต็มใจ หันกลับมามองแล้วมองเล่า หวังว่าหลิวเป่าจูจะมาส่งเขาออกไป

สุดท้ายเมื่อเขาเดินออกจากประตู เขาไม่เห็นคนที่เขากำลังนึกถึง

น่าผิดหวัง!

ไม่นาน เขาก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง

เขาจะหาวันที่พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงไม่อยู่ ปีนกำแพงเข้ามา แอบพบหน้ากับเป่าจู

แฮะๆ…

เขาหัวเราะอย่างได้ใจ

ระหว่างทางกลับ เขาพบกับเยียนอวิ๋นฉวน

เขาตะโกนเรียกอีกฝ่ายทั้งที่อยู่ห่างไกล “พี่ใหญ่!”

เยียนอวิ๋นฉวน “…”

โธ่เอ้ย เหตุใดจึงได้พบกับเยียนอวิ๋นถงบนท้องถนนได้

หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว เยียนอวิ๋นฉวนก็เผยยิ้มอย่างสวยงามออกมา เขาหันกลับมามองเยียนอวิ๋นถง “ที่แท้ก็เป็นน้องสอง น้องสองก็มาจากที่ใด กำลังจะไปที่ใด”

“ข้ากำลังจะกลับจวนท่านหญิง พี่ใหญ่แต่งตัวทางการเช่นนี้ ท่านกำลังจะไปที่ใด”

เยียนอวิ๋นถงสงสัยอย่างมาก

เยียนอวิ๋นฉวนแต่งกายราวกับเป็นบัณฑิต บริเวณเอวคาดหยกขาว ดูจากสีก็รู้ว่าราคาสูง

บนตัวมีกลิ่นหอม บนหัวมีปิ่นหยก ในมือถือพัดพับ ช่างเป็นนายน้อยผู้สง่างาม

เยียนอวิ๋นฉวนพูดอย่างคลุมเครือ “พบสหาย”

เยียนอวิ๋นถงหัวเราะ ทำหน้ารู้ทัน “พี่ใหญ่เตรียมตัวจะไปพบสตรีนางในยามกลางคืน หรือว่าจะเป็นคนคุ้นเคย”

เยียนอวิ๋นฉวนทำหน้าบึ้ง พูดด้วยท่าทีจริงจัง “อย่าได้พูดเหลวไหล! ไม่มีสตรีใดทั้งนั้น เป็นเพียงแค่ชุมนุมบทกวี”

“ชุมนุมบทกวี? พี่ใหญ่แต่งกลอนกวีได้เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้”

สีหน้าของเยียนอวิ๋นถงยิ้มอย่างมีนัย เพียงประโยคเดียวก็เปิดโปงความสามารถที่แท้จริงของเยียนอวิ๋นฉวน

เยียนอวิ๋นฉวนขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ เขากระแอมไอเสียงเบา “นายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงเตรียมชุมนุมบทกวี แค่เพียงมีเวลาว่าง ข้าย่อมจะไปทุกครั้ง จากความสัมพันธ์ของข้ากับนายน้อยใหญ่ตระกูลหลิง ชุมนุมบทกวีของเขา ไม่อว่าอย่างไรข้าก็ต้องให้เกียรติ”

เขาหลีกเลี่ยงหนักเบา ไม่สนใจคำถามเรื่องเขาแต่งกลอนได้หรือไม่ หากแต่เน้นย้ำความสัมพันธ์ของตนเองกับหลิงฉางจื้อ

เยียนอวิ๋นถงยิ้มอย่างรู้ทัน “อ่อ ที่แท้เป็นชุมนุมบทกวีของนายน้อยใหญ่ตระกูลหลิง ข้าไปด้วยดีหรือไม่ ดูเรื่องแปลกใหม่ ในโยวโจวมีแต่แข่งม้า ไม่เคยเห็นมีชุมนุมบทกวี วันนี้ได้เปิดโลก พี่ใหญ่คงไม่ลำบากใช่หรือไม่!”

ลำบากมาก!

ลำบากยิ่งนัก!

เยียนอวิ๋นฉวนพยายามฝืนยิ้ม “คนที่เข้าร่วมชุมนุมบทกวีล้วนเป็นบัณฑิตที่หยิ่งผยองในความสามารถของตน หากเจ้าไม่กลัวถูกดูแคลนกลั่นแกล้งก็ตามข้ามา”

เยียนอวิ๋นถงพูดด้วยความสงสัย “เหตุใดข้าจึงต้องดูแคลนกลั่นแกล้ง หากพูดถึงเรื่องความรู้ ข้าก็ใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ ข้าแต่งกวีไม่ได้ พี่ใหญ่ก็แต่งไม่ได้ เหตุใดพี่ใหญ่จึงไม่ถูกดูแคลนกลั่นแกล้ง หรือว่าจะมีวิธีลับอันใด หรือพี่ใหญ่เอาใบหน้าอุ่นๆ ไปแนบกับก้นเย็นๆ”

รอยยิ้มเยียนอวิ๋นฉวนแทบจะรักษาไว้ไม่อยู่

เขากระแอมไอเสียงเบา ปิดบังความเก้อของตนเอง “เจ้าเพิ่งมาเมืองหลวงไม่กี่วัน ยังไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดจาเหลวไหล”

เยียนอวิ๋นถงได้ยินจึงหัวเราะออกมา “ข้ารู้แล้ว พี่ใหญ่มีคนแต่งกวีแทนใช่หรือไม่ มิน่าพี่ใหญ่จึงชอบไปชุมนุมบทกวีของตระกูลหลิง คนที่แต่งกวีแทนท่านคือหวังกุนซือหรือ

ไม่ได้ ไม่ได้ ความสามารถของหวังกุนซือเพียงพอที่จะหลอกคนที่ไม่ได้เรียนหนังสืออย่างพวกเรา หากจะหลอกบัณฑิตที่หยิ่งในความสามารถของตนเองกลุ่มนั้นคงไม่เพียงพอ มิน่าพี่ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงมานานเพียงนี้ เข้าร่วมชุมนุมบทกวีนับไม่ถ้วน เสียเงินไปมากมาย แต่ก็ยังไม่ได้ชื่อเสียงผู้มีความสามารถแม้แต่น้อย

พี่ใหญ่ ข้าขอพูดกับท่านจากใจ ต่อจากนี้อย่าให้หวังกุนซือแต่งกวีแทนเลย เขาไม่ไหว! ชายชราผู้นี้สมองขึ้นสนิทแล้ว หากบทกวีของเขาได้รับการชื่นชม เขาจะอยู่ในตระกูลเยียนของพวกเรานานเพียงนี้หรือ”

มุมปากของเยียนอวิ๋นฉวนกระตุก

มีคนพูดจาเหมือนเช่นนี้หรือ

มีหรือ?

เขาอยากออกเสียงซักถามเยียนอวิ๋นถงว่าจงใจใช่หรือไม่

จงใจหาเรื่อง ทำลายอารมณ์ดีของเขา

รังแกกันเกินไปแล้ว!

เขาพูดด้วยความจริงจัง “เรื่องของข้า ไม่ลำบากน้องสองต้องกังวล ข้ามีขอบเขต”

เยียนอวิ๋นถงตบลงบนไหล่เขา โอบเขาให้เดินไปข้างหน้า

“ไปๆ ข้าไปตระกูลหลิงกับพี่ใหญ่ มาเมืองหลวงหลายวันแล้ว ยังไม่เคยไปดูตระกูลหลิง ได้ยินว่าจวนของตระกูลหลิงหรุหราอย่างมาก”

ภายในใจของเยียนอวิ๋นฉวนเจ็บปวดอย่างมาก

เจ็บกว่าคือไหล่ของเขา

สองวันนี้ไหล่ของเขาเพิ่งหายดี เวลานี้ก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง

สวรรค์!

ผืนแผ่นดิน!

ขอให้เยียนอวิ๋นถงโดนฟ้าผ่าตายเถิด!

เขาต้องจงใจอย่างแน่นอน!

แน่นอน!

มั่นใจ!

“น้องสองจะไปเข้าร่วมชุมนุมบทกวี การแต่งกายของเจ้าไม่เหมาะสมนัก”

เยียนอวิ๋นฉวนก็ไม่เกรงใจ

เยียนอวิ๋นถงก้มมองเสื้อผ้าของตนเอง ชุดรัดรูป ดีมาก!

เขาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ไม่เหมาะสมอย่างไร ข้าไม่ได้เปิดเผยส่วนใด!”

เยียนอวิ๋นฉวนคิ้วกระตุก “ชุมนุมกวี ชุมนุมกวี ตามชื่อก็คือเป็นการชุมนุมของเหล่าบัณฑิต น้องสองไม่สามารถแต่งกลอนได้ก็แล้วไป แม้แต่การแต่งกายยังไม่ใส่ใจเพียงนี้ มันเป็นการไม่เคารพชุมนุมกวีและคนเข้าร่วมอย่างเห็นได้ชัด

เจ้าลองคิดดู เจ้าตามไปเช่นนี้ ผู้อื่นจะคิดอย่างไร เจ้าย่อมจะทำให้ทุกคนขุ่นเคือง ไม่แน่พรุ่งนี้อาจมีคำพูดที่ไม่ดีเกี่ยวกับเจ้าแพร่กระจายอยู่ในเมืองหลวง ทำลายชื่อเสียงของเจ้า น้องสอง เจ้าต้องเข้าใจ บัณฑิตฆ่าคนไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ”

เยียนอวิ๋นถงพยักหน้า ทำท่าเหมือนเข้าใจ “พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่ถอดเสื้อคลุมบนตัวออกให้ข้าสวมใส่ ท่านกลับไปเปลี่ยนอีกชุด ข้าไปรอท่านที่ตระกูลหลิง!”

“ไม่ได้!” เยียนอวิ๋นฉวนโกรธจริง “ชุดของข้าเจ้าใส่ไม่ได้ คราวนี้เจ้าไม่ได้เตรียมตัว หากชุมนุมกวีคราวหน้าเจ้ายังสนใจ ข้าค่อยพาเจ้าไป”

เยียนอวิ๋นถงหัวเราะ “พี่ใหญ่ใจแคบเหลือเกิน แม้แต่เสื้อตัวเดียวยังไม่ยอมให้ยืม เอาเถิด ชุมนุมกวีของตระกูลหลิงข้าก็ไม่ได้สนใจนัก พี่ใหญ่ไปเถิด ข้าขอตัวก่อน!”

เขาเดินออกไปไกลทันทีที่สิ้นเสียง

เยียนอวิ๋นฉวนฉงนเล็กน้อย ตามมาด้วยโล่งใจ

เขากลัวเยียนอวิ๋นถงจะตามเขาไปเข้าร่วมชุมนุมบทกวีจริง

หวังกุนซือเดินออกมาจากมุมมืดด้วยความไม่พอใจ

เยียนอวิ๋นถงพูดภาษาคนหรือ

สิ่งใดเรียกว่าสมองเขามีแต่สนิม บทกวีที่เขียนไม่เข้าตา

เหลวไหล!

มันคือการหมิ่นประมาท เป็นการไม่ยอมรับในความสามารถและนิสัยของเขา

เลวทราม!

“นายน้อยใหญ่ นายน้อยสองช่างร้ายกาจ! เขาจงใจกลั่นแกล้งท่าน!”

หวังกุนซือใส่ไฟ ฟ้องอย่างชัดเจน

เยียนอวิ๋นฉวนส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าจะไม่รู้หรือ เส้นทางของข้ากับเขาแตกต่างกัน ไม่ได้ขัดขวางเขา แต่เขากลับสร้างปัญหาให้ข้า เจ้าว่าเขามีแผนการใด อยากทำสิ่งใดกันแน่”

หวังกุนซือพูดอย่างมั่นใจ “นายน้อยสองอิจฉานายน้อยใหญ่เป็นแน่”

เยียนอวิ๋นฉวนได้ยินจึงพยักหน้าเห็นด้วย

จากมุมมองของเขา เยียนอวิ๋นถงคงจะอิจฉาเขา

ในเมื่อเกิดจากความอิจฉา ทุกสิ่งย่อมเข้าใจได้

เยียนอวิ๋นฉวนพูดอย่างใจกว้าง “ข้าไม่ถือสาเขา เขายังมีนิสัยเด็ก ซ่อนเรื่องในใจไว้ไม่อยู่”

พูดจบ เขาก็ส่ายหน้าหัวเราะออกมา

เขาไม่ได้มองเยียนอวิ๋นถงเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแม้แต่น้อย

คนที่ไม่อาจซ่อนเร้นแม้แต่ความลับ ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

เยียนอวิ๋นฉวนจัดการอารมณ์ จากนั้นเดินทางไปตระกูลหลิง

เยียนอวิ๋นถงไม่ได้กลับจวนท่านหญิง หากแต่วิ่งไปหาพระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิง

ให้หลิวเป่าผิงเอาเทียบเชิญชุมนุมกวีให้เขา เขาจะไปเข้าร่วม

เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนเห็นเขาบนชุมนุมกวี สีหน้าย่อมน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงมีเทียบเชิญของชุมนุมกวี อีกทั้งยังเป็นแขกประจำของชุมนุมบทกวีตระกูลหลิง

เขาสงสัยอย่างมาก “เทียบเชิญให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องบอกข้าก่อน เหตุใดเจ้าจึงอยากไป”

“อยากไปเปิดหูเปิดตา” เยียนอวิ๋นถงพูด

หลิวเป่าผิงหัวเราะ “หากเจ้าไม่พูดความจริง ไม่ให้เทียบเชิญ”

เยียนอวิ๋นถงส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าเป็นน้องเขยท่าน ท่านไม่ช่วยข้าหรือ”

“ตราบใดที่เจ้ายังไม่แต่งงานกับเป่าจู เจ้าก็ยังไม่ใช่น้องเขยข้า” สีหน้าของหลิวเป่าผิงจริงจังอย่างมาก

เยียนอวิ๋นถงครุ่นคิด เหมือนจะเป็นเช่นนั้น

ดังนั้นเขาจึงพูด “ข้าบอกว่าไปเปิดหูเปิดตาเป็นเรื่องจริง แน่นอนสาเหตุหลักเพราะพี่ใหญ่ของข้า เยียนอวิ๋นฉวนก็อยู่ในนั้น เหมือนดั่งที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ข้าต้องไปเห็นเส้นสายของเขากับตา คาดคะเนกำลังของเขา”

“เจ้าอยากรู้สถานการณ์ของเขา เหตุใดจึงไม่ถามข้า”

“ไม่ชัดเจนเท่าเห็นกับตาของตัวเอง”

หลิวเป่าผิงยิ้มอย่างเข้าใจ “พอดีวันนี้ข้าว่าง ข้าพาเจ้าไปงานชุมนุมบทกวีของตระกูลหลิง เพียงแค่มีเทียบเชิญ หากคนไม่ตรงกับเทียบเชิญ คนเฝ้าประตูของตระกูลหลิงไม่มีทางปล่อยเจ้าเข้าไป”

เยียนอวิ๋นถงหัวเราะร่าด้วยความดีใจ “หาชุดบัณฑิตมาให้ข้าก่อน รูปร่างของพวกเราใกล้เคียงกัน ชุดของท่านข้าก็ใส่ได้”

หลิวเป่าผิงไม่ปฏิเสธเขา เพียงแค่เกิดความรังเกียจเล็กน้อย

ทั้งสองสวมใส่เรียบร้อยจึงนั่งรถม้ามุ่งหน้าจวนตระกูลหลิงในเมืองหลวง

เมื่อมีหลิวเป่าผิง เยียนอวิ๋นถงก็เข้าจวนตระกูลหลิงได้อย่างราบรื่น

หรูหราเสียจริง!

เยียนอวิ๋นถงพึมพำ “ตระกูลหลิงมั่งมี ไม่ใช่เรื่องโกหก”

หลิวเป่าผิงพูด “ตระกูลหลิวของพวกข้าก็ไม่ยากจย สินสอดของเป่าจูเป็นเงินเกือบแสนก้วน”

เยียนอวิ๋นถงยิ้มแย้ม “พระราชบุตรเขยชอบธรรม!”

ไปให้พ้น!

“เป่าจูเป็นน้องสาวของข้า ข้าย่อมดีต่อนาง เจ้าก็อย่าทำไม่ดีต่อนาง หากทำให้นางได้รับความมาเป็นธรรม ข้าไม่รู้ก็แล้วไป หากข้ารู้ ข้าไม่ให้อภัยเจ้าเป็นคนแรก”

เยียนอวิ๋นถงรีบพูด “ข้ารักนางยังไม่ทัน จะให้นางได้รับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไร ท่านเป็นพี่เขยจึงชอบกังวลไปเรื่อย”

หลิวเป่าผิง “…”

อยากฆ่าคน ทำอย่างไร

———————————————-