ตอนที่ 213 ได้รับการกระทบเทือนอย่างรุนแรง
เยียนอวิ๋นถงฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แต่เด็ก เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ ไม่เชี่ยวชาญด้านวิชาการ
พื้นที่โยวโจว ไม่นิยมด้านวิชาการ จึงมีชุมนุมบทกวีจำนวนน้อย
ถึงแม้เขาจะสวมชุดบัณฑิต แต่ก็ยังดูแปลกตา
เมื่อผู้อื่นเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขาไม่ใช่บัณฑิต มาเพื่อให้เป็นที่คุ้นหน้าและหาทางลัด
เยียนอวิ๋นถง “…”
เขาหาทางลัดอันใดกัน
เวลานี้ เขารู้สึกไม่เป็นตัวเอง
ชุมนุมบทกวีไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรมา
แต่ละคนล้วนพูดจาสุภาพ อ้อมค้อม ไม่เป็นมิตรนักสำหรับชายกำยำอย่างเขา
เขาเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ฟัง ดู สังเกตอย่างไร้เสียง
ทันใดนั้น…
เขาเห็นเยียนอวิ๋นฉวน เยียนอวิ๋นฉวนก็เห็นเขา
เยียนอวิ๋นฉวนทำหน้าเหมือนเห็นผี
เขาอ้าปากหัวเราะอย่างไร้เสียง
เพียงแค่เห็นสีหน้าตื่นตกใจของเยียนอวิ๋นฉวน การมาชุมนุมบทกวีของเขาก็คุ้มค่าแล้ว!
เขาสามารถอดทนต่อกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของบรรดาบัณฑิตได้
เยียนอวิ๋นฉวนทิ้งทุกสิ่งลง พุ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
จับแขนของเขา พลันลากเขาไปริมทาง ซักถามเสียงเบา “เจ้ามาได้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นถงมองซ้ายมองขวา “เพียงแค่ชุมนุมบทกวี พี่ใหญ่มาได้ ข้าย่อมมาได้”
เยียนอวิ๋นฉวนไม่เชื่อคำพูดของเขา “เจ้าไม่มีเทียบเชิญ ไม่มีคนพามา จะเข้าประตูใหญ่ตระกูลหลิงมาได้อย่างไร”
“ผู้ใดบอกข้าไม่มีคนพามา” เยียนอวิ๋นถงยิ้มอย่างมีนัย “พี่ใหญ่มีสหาย ข้าจะไม่มีสหายเชียวหรือ”
เยียนอวิ๋นฉวนผงะ ก่อนจะกระจ่าง “เจ้าไปหาพระราชบุตรเขยหลิว?”
เยียนอวิ๋นถงยิ้ม พลางพูด “เขาเป็นพี่เขยของข้า ข้าหาเขาดีกว่าหาพี่ใหญ่”
เยียนอวิ๋นฉวนข่มไฟโกรธภายในใจ เขาสูดลมหายใจเข้า พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็ดูเอาไว้ให้ดี เจ้าไม่เข้าใจบทกวีก็อย่าส่งเสียง ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ หากพบเจอเรื่องลำบากใด เจ้ามาหาข้า ข้าช่วยเจ้า”
“ขอบพระคุณพี่ใหญ่! ข้าน้อมรับน้ำใจของพี่ใหญ่ พี่ยุ่งเรื่องของพี่ ข้าไปดูของข้าเอง”
สองพี่น้องแยกออกจากกัน เยียนอวิ๋นฉวนไม่อาจมีสมาธิในการรับมือกับผู้คนอีก
เขามักให้ความสนใจต่อเยียนอวิ๋นถง เกรงว่าน้องชายคนนี้จะก่อปัญหาขึ้น
เนื่องจากความเหม่อลอยของเขา ทำให้คนรอบข้างไม่พอใจ
มีคนส่งเสียงหยอกล้อเขา หรือว่าจะมีความชอบผิดปกติ ถูกตานายน้อยท่านใดในงาน
สีหน้าของเยียนอวิ๋นฉวนผงะ เขารีบอธิบาย
ยิ่งเขาอธิบาย คนรอบด้านยิ่งไม่เชื่อเขา
หมดหนทาง เขาทำได้เพียงพูดความจริงออกมา เขาบอกคนรอบตัวว่าน้องสองของตนเองก็อยู่ในงาน
“น้องสองของพี่อวิ๋นฉวนก็เหมือนน้องสองของพวกข้า คนอยู่ที่ใด เชิญเขาเข้ามาร่วมบทสนทนากันเถิด”
“พี่สวี่พูดมีเหตุผล”
“น้องสองของพี่อวิ๋นฉวนอยู่ที่ใด ท่านใดกัน”
เยียนอวิ๋นฉวนขี่เสือแล้วลงยาก หาข้ออ้างก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแนะนำเยียนอวิ๋นถงให้กับสหายของตนเองด้วยความจำยอม
เดิมทีเขากังวลว่าเยียนอวิ๋นถงจะก่อปัญหา ทำให้เขาขายหน้า
น่าประหลาด เยียนอวิ๋นถงกลับสนทนากับบัณฑิตที่หยิ่งผยองเหล่านี้อย่างสนุกสนาน
แน่นอน พวกเขาไม่ได้คุยเรื่องบทกวี อีกทั้งไม่ได้คุยเรื่องท้องถิ่น หากแต่คุยเรื่องหนุ่มสาว
ทุกคนต่างมีใจที่อยากรู้ โดยเฉพาะเรื่องของหนุ่มสาว ยิ่งมีความสนใจเป็นพิเศษ
บัณฑิตกลุ่มนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
โยวโจวยากเข็ญ วัฒนธรรมหยาบกระด้าง
ระหว่างชายหญิงเต็มไปด้วยความใจกล้าและกระตือรือร้น เมื่อแต่ละปีผ่านไป เรื่องเล่ามากมายกองเท่าภูเขา
เยียนอวิ๋นถงเลือกสรรเรื่องจริงมาเล่าสู่กันฟัง บัณฑิตที่หยิ่งผยองในความรู้ต่างรายล้อมเข้ามาฟัง อีกทั้งยังฟังอย่างออกรสออกชาติอย่างมาก
อย่ามองว่าเยียนอวิ๋นถงไม่ชำนาญด้านกวี แต่ฝีปากของเขาดีมาก เกือบจะเทียบเท่าซินแสเล่าเรื่องแล้ว
น้ำเสียงของเขามีขึ้นมีลง จังหวะในการเล่าเรื่องพอดิบพอดี ผู้คนถูกเรื่องของเขาดึงดูดอย่างไม่รู้ตัว
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะ ดีใจ บ้าคลั่ง เสียใจตามการพัฒนาของเรื่อง…
นอกจากนี้ยังมีบัณฑิตบางคนซาบซึ้งกับเรื่องเล่า หลั่งน้ำตาลงมา พลันตะโกนด้วยเสียงที่ขุ่นเคือง “สตรีน่าทึ่งอย่างซานเหนียงจะถูกปิดกั้นได้อย่างไร ข้าไร้ความสามารถมาก แต่ยอมแต่งตำราให้ซานเหนียง”
“ข้าด้วย!”
“ข้าด้วย!”
บรรดาบัณฑิตต่างฮึกเหิมอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ พวกเขาจมปักอยู่ในเรื่องเล่า เร่งเร้าให้เยียนอวิ๋นถงรีบเล่าต่อ
เยียนอวิ๋นถงเลิกคิ้ว สายตาเหลือบมองถ้วยชา ทันใดนั้นก็มีบัณฑิตที่หยิ่งยโสถือเหยือกชา รินชาให้เขาด้วยตนเอง
“พี่อวิ๋นถงเชิญ!”
เยียนอวิ๋นถงยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ
ภาพนี้ทำให้เยียนอวิ๋นฉวนแทบกระอักเลือด
เขาต้องใช้ความอุตสาหะและเงินจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังต้องใช้เวลาจำนวนมากเพื่อให้บัณฑิตกลุ่มนี้ยอมรับเขา
หันกลับมามองที่เยียนอวิ๋นถง เขาใช้เพียงเรื่องเล่าต่ำทรามไม่กี่เรื่องก็ทำให้บัณฑิตยอมรินชาให้เขาด้วยความเต็มใจ
คนกลัวสิ่งใดที่สุดเมื่อมีชีวิตอยู่บนโลก
กลัวการเปรียบเทียบที่สุด!
เมื่อไม่เปรียบเทียบ อาจรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จไม่น้อยในแต่ละด้าน ชีวิตก็มีความสุข
แต่เมื่อเปรียบเทียบ เขาก็รู้สึกว่าตนเองมีชีวิตราวกับหมูกับหมา มันคือชีวิตของคนหรือ ดูคนอื่นก่อน แล้วหันกลับมาดูตัวเอง สามารถไปตายได้แล้ว
อารมณ์ของเยียนอวิ๋นฉวนในเวลานี้เหมือนตัวอยู่ในนรก กำลังถูกไฟในขุมนรกแผดเผา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจตายได้ อีกทั้งยังต้องทนต่อความทุกข์ทรมาน
ความเจ็บปวดนี้เสียดแทงหัวใจ เลือดสูบฉีดขึ้นสมอง…
ไม่ยุติธรรม!
เขาอยากจะตะโกนออกไปด้วยความโกรธ โชคดีที่ยังมีสติเหลืออยู่
เพียงแต่เขาไม่เต็มใจที่จะยอมจำนน!
ไม่เต็มใจอย่างมากจริงๆ !
…
หลิงฉางจื้อเห็นคนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ด้วยกัน เขาจึงถูกดึงดูดเข้ามาด้วย
วันนี้เกิดเรื่องใดขึ้น
ไม่วุ่นกับการชื่นชมทิวทัศน์ อีกทั้งไม่วุ่นกับการแต่งกลอนแสดงความสามารถ เหตุใดจึงล้อมอยู่รอบตัวเยียนอวิ๋นถงฟังเขาพูดจาเหลวไหล
หลิงฉางจื้อยืนฟังอยู่รอบนอกอย่างเงียบๆ
จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา
ผู้อื่นไม่รู้จักเยียนอวิ๋นถง แต่เขารู้จัก อีกทั้งยังรู้จักนิสัยของเยียนอวิ๋นถงด้วย
เพียงแต่ เขาไม่คิดว่า เยียนอวิ๋นถงจะมีความสามารถนี้ เจ้าสามารถใช้เรื่องเล่าจริงปนเท็จเหล่านี้มาหลอกบรรดาบัณฑิตที่มีความรู้จนผงะ
ไม่เลว!
มีความสามารถ!
ไม่เพียงทำสงครามได้ สมองก็ใช้งานได้
เขาก็ว่า บุตรสาวทั้งสามของท่านหญิงจู้หยาง คนหนึ่งเก่งกว่าอีกคน
ไม่มีเหตุผลว่าบุตรชายจะเป็นคนซื่อบื้อ
ล้วนกำเนิดมาจากบิดามารดาเดียวกัน ไม่มีทางแตกต่างกันเพียงนั้น
เวลานี้ เขาราวกับลืมความแตกต่างอย่างมากระหว่างตนเองกับน้องชาย หลิงฉางเฟิง!
กำเนิดมาจากบิดามารดาเดียวกัน เหตุใดจึงแตกต่างกันเพียงนี้
เขามองหาร่างของเยียนอวิ๋นฉวน
ในที่สุดก็พบเห็นอีกฝ่ายท่ามกลางฝูงชน
รอยยิ้มของเยียนอวิ๋นฉวนฝืนอย่างมาก!
หลิงฉางจื้อหัวเราะขึ้นมา เขาเดินไปถึงด้านหน้าของอีกฝ่ายอย่างไร้เสียง พลางพูดเสียงเบา “เยียนอวิ๋นถงมีความสามารถอยู่บ้าง อย่างน้อยความสามารถด้านการหลอกคน ไม่มีผู้ใดเทียบได้”
เยียนอวิ๋นฉวนได้ยินเสียงดังขึ้นที่ข้างหู เขาจึงรีบดึงสติกลับมา
เขาหันกลับมามองหลิงฉางจื้อ
หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างมีนัย ไม่พูดสิ่งใด
เยียนอวิ๋นฉวนสูดลมหายใจเข้า “พี่ฉางจื้อมีเวลาว่างหรือไม่ พวกเราคุยกันเสียหน่อย”
“ได้!”
ทั้งสองออกห่างจากฝูงชน มานั่งในห้องพัก
บ่าวรับใช้นำน้ำชาและของว่างมาให้ จากนั้นจึงถอยออกไป พร้อมทั้งปิดประตูลง
“พี่อวิ๋นฉวนเชิญดื่มชา!”
เยียนอวิ๋นฉวนยกแก้วชาขึ้น นาทีนี้ เขาจำเป็นต้องดื่มชาสงบสติเสียจริง
เขาดื่มชาเข้าไปครึ่งถ้วย มารยาททำให้เขาควบคุมตนเองเอาไว้ ไม่ได้ดื่มจนหมดทั้งถ้วย
“ภายในใจของพี่อวิ๋นฉวนคงจะรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่!”
หลิงฉางจื้อพูดอย่างตรงไปตรงมา
เยียนอวิ๋นฉวนตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เขาเป็นน้องชายของข้า ข้าควรจะดีใจ แต่อยู่ต่อหน้าพี่ฉางจื้อ ข้าไม่จำเป็นต้องโกหก ใช่ ในใจของข้ารู้สึกแย่มาก ข้ารู้สึกเหมือนคนโง่สำหรับความพยายามของตัวเองที่ผ่านมา”
หลิงฉางจื้อพูดเสียงเบา “พี่อวิ๋นฉวนคงได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจนเริ่มยึดติดแล้ว หากความพยายามที่ผ่านมาของท่านเป็นเรื่องน่าขัน ท่านจะมีวันนี้ได้อย่างไร เหตุใดท่านหญิงจู้หยางจึงช่วยท่านหาตำแหน่งในราชสำนัก ไม่ใช่เพราะความพยายามของท่านหรือ เหตุใดบัณฑิตกลุ่มนั้นจึงเห็นพี่อวิ๋นฉวนเป็นสหายที่สามารถเปิดใจคุยกันได้ ก็เพราะความพยายามของท่านเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ วันนี้ ท่านเห็นเพียงเยียนอวิ๋นถงถูกผู้คนเยินยอ เหตุใดจึงไม่คิดว่าหลังจากคืนนี้ จะมีบัณฑิตใดในกลุ่มนั้นเห็นเขาเป็นสหาย พี่อวิ๋นฉวนต้องเข้มแข็ง!”
เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนได้ยินจึงถอนหายใจ “ขอบพระคุณความหวังดีของพี่ฉางจื้อ เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนี้ ในใจของข้าก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยความพยายามของข้ายังมีประโยชน์ ไม่ได้ถูกมองข้ามทั้งหมด”
หลิงฉางจื้อยกเหยือกชาขึ้น รินชาให้เขาด้วยตนเอง “พี่อวิ๋นฉวนไม่ต้องดูถูกตนเอง เยียนอวิ๋นถงแตกต่างกับท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับเขา”
“พี่ฉางจื้อพูดผิดแล้ว! ข้ากับเขาเป็นพี่น้องกัน นับแต่กำเนิด พวกเราก็ถูกคนลากออกมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ”
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้วยิ้ม “เพียงแค่ท่านมีที่ยืนอยู่ในราชสำนัก วาจาของท่านสามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของราชสำนักและฝ่าบาท ข้าขอถาม บนแผ่นดินนี้จะมีผู้ใดกล้าเปรียบเทียบท่านกับเยียนอวิ๋นถงอีก”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้า พลันยิ้มขมขื่น “ช่างเป็นเรื่องยากหากต้องการยืนให้มั่นในราชสำนัก พี่ฉางจื้อรู้สถานการณ์ของข้าดี ถึงแม้ข้าจะเป็นบุตรชายคนโต แต่ก็เป็นบุตรชายที่กำเนิดจากอนุภรรยา ฐานะนี้ทำให้ข้าต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แม้แต่เรื่องคู่ครองก็ไม่ลงรอย เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจยาวแสดงถึงความเศร้าโศกที่ไร้จุดสิ้นสุด
ภายในใจของเขาหดหู่อย่างมาก
หลิงฉางจื้อได้ยินจึงหัวเราะร่า “พี่อวิ๋นฉวนไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคู่ครอง ระยะนี้ท่านโหวกว่างหนิง บิดาของท่านส่งจดหมายให้ท่านพ่อข้าเป็นประจำเพื่อเรื่องคู่ครองของท่าน เรื่องนี้ พี่อวิ๋นฉวนคงจะรู้ดี”
เยียนอวิ๋นฉวนอยากจะแสร้งโง่ แต่ทันใดนั้นก็รู้ตัวว่ามันคือการดูถูกอีกฝ่าย
เขาลูบใบหน้าก่อนจะเปิดเผยออกมา “ใช่ ข้ารู้ดีทุกเรื่อง แต่ว่าข้าจริงใจที่จะคบหากับพี่ฉางจื้อ ข้าไม่เคยโลภต่อตระกูลหลิงหรือพี่ฉางจื้อ”
หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างรู้ทัน “พี่อวิ๋นฉวนอยากแต่งกับคุณหนูตระกูลหลิงหรือไม่”
“ย่อมอยาก หากมีผู้ใดบอกว่าไม่อยาก ย่อมต้องเป็นเรื่องโกหก”
“ฮ่าๆๆ …”
คำพูดของเขาทำให้หลิงฉางจื้อดีใจ “หากพี่อวิ๋นฉวนเป็นน้องเขยของข้าก็เป็นเรื่องที่ดี”
เยียนอวิ๋นฉวนได้ยินจึงดีใจอย่างมาก เสียงพูดของเขาสั่นเครือ “พี่ฉางจื้อไม่คัดค้านหรือ อย่างไรข้าก็เป็นบุตรชายจากอนุภรรยา”
“อย่างนั้นก็หาวิธีทำให้ตัวเองกลายเป็นบุตรจากภรรยาเอก” หลิงฉางจื้อมองเขาด้วยรอยยิ้ม
เยียนอวิ๋นฉวนทำหน้าฉงน ผงะอยู่กับที่
หลิงฉางจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่อวิ๋นฉวนเป็นคนฉลาด ท่านรู้ว่าทำอย่างไรจึงมีประโยชน์ที่สุด หากท่านยังตัดสินใจไม่ได้ ท่านสามารถส่งจดหมายไปถามความเห็นของท่านโหวกว่างหนิง บิดาของท่าน เชื่อว่าเขาย่อมมีวิธีมอบตำแหน่งบุตรจากภรรยาเอกอย่างเป็นทางการให้ท่าน”
เยียนอวิ๋นฉวนตกตะลึงจนไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้
———————————————-