ตอนที่ 140 แสดงละครอันใดอยู่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 140 แสดงละครอันใดอยู่ ?

หลิวฝูเฉิงลูกพี่ลูกน้องของหลิวว่ายจื่อซึ่งโตถึงเพียงนี้แล้วเพิ่งเคยเห็นหลิวว่ายจื่อขยันเช่นนี้เป็นครั้งแรก ภรรยาของหลินฝูเฉิงนวดเอวของนางและเมื่อเห็นหลิวว่ายจื่อขับเกวียนผ่านมา นางก็กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ว่ายจื่อ รอให้ขนของพวกนี้เสร็จแล้ว เจ้าจะให้บ้านเรายืมเกวียนเทียมล่อหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“พี่สะใภ้ ต้องขอโทษด้วย ! เกวียนเทียมล่อนี้เป็นของเจ้านายข้า ถ้าทำมันเหนื่อยจนล้มป่วย ข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว ! ท่านเองก็ไม่ได้มีข้าวสาลีหลายมัด พอที่จะยกกลับบ้านไหวอยู่แล้ว ! ” หลิวว่ายจื่อกับญาติฝ่ายนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

ตอนบิดาของเขาเพิ่งเสียชีวิต มารดาต้องเลี้ยงดูบุตรเพียงคนเดียว ชีวิตที่ผ่านมาของนางไม่ได้ง่ายดาย ทางฝั่งญาติเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออันใดเลย แถมยังรังแกพวกเขาสองแม่ลูกโดยการคิดจะครอบครองทรัพย์สินของบิดา แต่มารดาของเขาปากจัด จึงไม่ยอมให้ผู้อื่นมาสูบเลือดสูบเนื้อจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก !

ในวัยเยาว์ หลิวฝูเฉิงอาศัยที่ตัวเองอายุมากกว่าหลิวว่ายจื่อไม่กี่ปีมารังแกกันเป็นประจำ นอกจากนี้ยังให้พวกเด็กในหมู่บ้านแยกตัวออกห่างจากเขา ด่าว่าเขาเป็นเด็กไม่มีบิดาแถมยังแย่งของทุกอย่างจากมือ…หลิวว่ายจื่อจดจำความแค้นนี้ได้ขึ้นใจ ! แม้เจ้าเกวียนเทียมล่อนี้จะว่างงาน เขาก็ไม่มีทางให้หลิวฝูเฉิงยืม !

ตระกูลหลินเป็นบ้านแรกที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเสร็จ หลินเว่ยเว่ยจึงลากข้าวสาลีไปตากที่ลานหน้าหมู่บ้าน ช่วงสองวันนี้สภาพอากาศดีใช้ได้ หากแดดจัดอีกสักวันก็แห้งจนนำไปสีได้แล้ว

“ใครให้พวกเจ้ามาตากข้าวสาลีที่นี่ ? เจ้ารู้กฎหรือไม่ ? ลานนี้บ้านข้าจะได้ตากเป็นบ้านแรกทุกปี ! ” วังม่านเหนียงเท้าสะเอวพลางถลึงตาใส่หลินเว่ยเว่ย

แต่หลินเว่ยเว่ยเอ่ยด้วยท่าทางจริงใจและอ่อนโยน “ขอโทษด้วย ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีกฎเช่นนี้อยู่ แต่ข้าวสาลีของบ้านข้ายังไม่แห้งดีและลานนี้ก็ว่าง ขอให้ข้าตากอีกสักวัน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะทำให้ลานกลับไปว่างเปล่าเหมือนเดิม ! ”

“ไม่ได้ ! ถ้าอยากใช้ลานนี้เจ้าต้องไปต่อแถว แต่ก็พูดเถิด เจ้าคงต้องรอให้ชาวบ้านทุกคนตากเสร็จก่อน อย่างน้อยก็ประมาณสิบกว่าวัน ! ” วังม่านเหนียงทำท่าทางเย้ยหยัน

นางหวงผู้มีนิสัยอ่อนโยนไม่อยากผิดใจกับผู้ใหญ่บ้านจึงกล่าวกับบุตรสาวว่า “เจ้ารอง ตากข้าวที่ลานบ้านเราก็ได้เหมือนกัน…”

จะเหมือนกันได้อย่างไร ? แม้ลานบ้านเราจะใหญ่หน่อย แต่ถ้าเอาข้าวสาลีทั้งหมดมาตากอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึง 5 วัน เวลา 5 วันทำให้เราสูญเสียรายได้หลักไปตั้งเท่าไร !

หลินเว่ยเว่ยมองข้าวสาลีที่ถูกตากอยู่ในลานแล้วขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ลานนี้ไม่ได้ว่างอยู่หรือ ? ประเดี๋ยวข้าไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านเอง…”

“ไปหาใครก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น ! ไม่ให้ตากก็คือไม่ให้ตาก ! ” วังม่านเหนียงกระดิกหางได้ใจจนแทบตัวลอยขึ้นฟ้า

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปากใส่ “เสี่ยวม่าน อย่าทำตัวเป็นคนร้ายหน่อยเลย คิดว่าหากบัณฑิตเจียงเห็นสีหน้าที่น่าเกลียดของเจ้าแล้ว เขาจะคิดเช่นไร ? ”

สีหน้าของวังม่านเหนียงเปลี่ยนไปทันที นางโมโหจนกระทืบเท้า “นางโง่ ! เจ้ากล้านินทาข้าต่อหน้าบัณฑิตเจียงหรือ ข้า…ข้าจะให้ท่านปู่ไล่พวกเจ้าออกไป ! ! ”

“ไอหยา ! เสี่ยวม่าน เจ้าวางอำนาจมากไปแล้ว ! ทะเบียนบ้านของพวกเราอยู่ที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวหลายสิบปีแล้ว แม้จะเป็นนายอำเภอก็ไม่กล้าไล่พวกเราอย่างโจ่งแจ้ง หรือเจ้าคิดว่าในฉือหลี่โกวแห่งนี้ ปู่เจ้ามีอำนาจมากกว่านายอำเภอ ? ” หลินเว่ยเว่ยมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

รอยยิ้มของนางช่างกวนโทสะเหลือเกินจึงทำให้สมองของวังม่านเหนียงพวยพุ่งด้วยเปลวเพลิงทันทีและตะโกนออกมาว่า “แน่นอน ! ปู่ข้า…”

“หุบปาก ! ” ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาพร้อมมือที่ไพล่หลัง จากนั้นเขาก็พูดใส่หน้าวังม่านเหนียงว่า “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ? ไม่ให้ใช้ชื่อของข้ามาวางอำนาจหรือทำตัวเอาแต่ใจกับคนในหมู่บ้าน ! ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของข้ามาจากทุกคนในหมู่บ้านออกเสียงให้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดต้องทำให้ควรค่าแก่ความไว้วางใจของชาวบ้าน ! ”

หลินเว่ยเว่ยจึงรีบทำท่าทางชื่นชม “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าบอกท่านแล้ว ! ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านของพวกเราเป็นคนมีคุณธรรม ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วจะให้หลานสาวมาวางอำนาจกดหัวคนในหมู่บ้านได้อย่างไร ? ผู้ใหญ่บ้านอย่าโมโหไปเลย บ้านใครไม่มีลูกหลานไม่ได้เรื่องสักคนสองคนบ้างเล่า จริงหรือไม่ ? ”

แค่โดนท่านปู่ต่อว่า วังม่านเหนียงก็รู้สึกน้อยใจมากแล้ว หลังได้ยินถ้อยคำของหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางก็โมโหจนแทบกระโดดเข้าไปฉีกปากอีกฝ่ายทันที “นางโง่ ! เจ้าว่าใครเป็นลูกหลานไม่ได้เรื่อง ? ”

“ใครเถียงก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนนั้น ! เจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจ ! ” มุมปากของหลินเว่ยเว่ยโค้งมนเผยให้เห็นรอยยิ้มชวนโดนทุบ

“เจ้า…” ไหนเลยวังม่านเหนียงจะเคยถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ ? หลังกรีดร้องเสียงดังลั่นแล้ว นางก็จะพุ่งเข้าไปทุบตีหลินเว่ยเว่ย เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปู่แล้ว ต่อให้คนโง่มีแรงมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่กล้าทุบนางคืนหรอก

“หยุดเดี๋ยวนี้ ! ” ผู้ใหญ่บ้านเข้าไปจับมือหลานสาวไว้แล้วเอ่ยเสียงดุ “กลับบ้าน ! นอกจากไม่ช่วยงานแล้วยังสร้างเรื่องให้อีก ! ”

“ท่านปู่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านาง…” ท่านปู่ไม่ได้ช่วยนางเลยสักนิด แถมยังด่านางด้วยหรือ ? วังม่านเหนียงตาแดงทันที หลังกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจแล้ว นางก็ปิดหน้าพร้อมวิ่งร้องห่มร้องไห้กลับบ้าน…นางจะไปฟ้องมารดาว่าเด็กโง่ตระกูลหลินรังแกนาง แล้วให้มารดามาช่วยระบายความแค้นถึงบ้านตระกูลหลินเลย !

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ “เด็กคนนี้โดนตามใจจนเสียคน ถ้านางรู้ความเหมือนเจ้าบ้าง ข้าคงต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว ! ”

ไฉนเลยผู้ใหญ่บ้านจะเคย ‘เป็นกันเอง’ เช่นนี้กับตระกูลหลิน ? นี่เขากำลังแสดงละครอันใดอยู่ ? นางหวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “นางยังเด็ก ถ้าโตอีกหน่อยก็รู้ความเอง ! ”

ผู้ใหญ่บ้านมองข้าวสาลีบนพื้นแล้วก้มหยิบขึ้นมาถูไถในมือพร้อมกล่าวว่า “นางหวง ข้าวสาลีของบ้านเจ้าไปซื้อพันธุ์มาจากที่ใดหรือ ? ไม่เพียงมีเมล็ดยาวใหญ่เท่านั้น ยังทนแล้งอีกด้วย หากไม่ตายเพราะภัยแล้งไปบ้างแล้ว ผลผลิตที่ได้ก็คงมากกว่าปีก่อนแน่นอน ! ”

นางหวงก็เพิ่งทราบว่าข้าวสาลีบ้านของตนดูดีกว่าปีก่อน ต้องยกความดีความชอบให้บุตรสาวคนรองที่คอยรดน้ำใส่ปุ๋ยให้พวกมันเสมอ “เมล็ดพันธุ์ก็เหมือนกับของทุกคนที่ซื้อมาจากในเมือง ! ”

ผู้ใหญ่บ้านคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดความจริง คนต่างถิ่นอย่างไรก็เป็นคนต่างถิ่น ไม่มีทางจริงใจต่อพวกเขา ! เขาส่ายศีรษะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าปลูกมาทั้งชีวิต เมล็ดพันธุ์เหมือนหรือแตกต่าง ข้าจะแยกไม่ออกเชียวหรือ”

หลินเว่ยเว่ยยิ้มและกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าคิดว่าเมล็ดข้าวสาลีของบ้านเราไม่เหมือนของบ้านป้ากุ้ยฮวาสักเท่าไร หรือว่าที่ร้านขายเมล็ดจะมีข้าวสาลีสองสายพันธุ์จริง ๆ เขาอาจขายให้ท่านโดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้”

นางหวงทำหน้างุนงง จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้แม่เองก็ไม่รู้…อ้อ ใช่สิ ! ตอนแม่ไปซื้อเมล็ดพันธุ์ พ่อค้าเอาเมล็ดพันธุ์ถุงสุดท้ายที่เหลืออยู่เล็กน้อยขายให้แม่ทั้งหมดเลย…”

ผู้ใหญ่บ้านเห็นว่านางหวงทำตัวไม่เหมือนคนโกหก หลังครุ่นคิดสักพักเขาก็กล่าวว่า “หลินเว่ยเว่ยพูดได้ถูกต้อง ลานนี้เป็นลานสาธารณะของหมู่บ้าน ข้าวสาลีบ้านอื่นยังเกี่ยวไม่เสร็จ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ใช้ไปก่อนเถิด…แล้วภาษีในปีนี้ พวกเจ้าคิดจะจ่ายเป็นข้าวสาลีหรือเงิน ? ”

“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านเองก็เห็นแล้วว่าพวกเราเก็บเกี่ยวมาได้แค่หนึ่งหมู่กว่า ๆ ไม่มีทางนำไปจ่ายภาษีได้หรอก ดังนั้นจึงได้แต่ใช้เงินจ่ายแทน ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทันใดนั้นดวงตาของผู้ใหญ่บ้านก็เป็นประกาย “เช่นนั้นข้าวที่บ้านเจ้าเกี่ยวมาคิดจะขายบ้างหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “ปีนี้การเก็บเกี่ยวไม่ดี ร้านก็รับซื้อในราคาถูกแต่ขายแพง ข้าจึงไม่คิดจะขายเพราะบ้านเรามีคนเยอะ ดังนั้นต้องกักตุนไว้กินในฤดูหนาว ! ”

ตอนต่อไป