บทที่ 187 อสูรน้อย ถังเสี่ยวรุ่ย

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 187 อสูรน้อย ถังเสี่ยวรุ่ย

บทที่ 187 อสูรน้อย ถังเสี่ยวรุ่ย

ภายในห้องที่หรูหรา

เมื่อฮวงฟู่เหวินเยว่ฟังคำพูดของปู่ แทนที่เธอจะโกรธ เธอกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งทำให้ฮวงฟู่โม่ชาง และเจิ้งเทียนเหอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

“เธอมันเสียสติไปแล้ว” ฮวงฟู่โม่ชางพูดอย่างระอา ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

รอยยิ้มบนใบหน้าของฮวงฟู่เหวินเยว่ค่อย ๆ จางหายไป เธอเดินไปที่ขอบเตียงและนั่งลงด้วยแววตาเย้ยหยัน เธอเอื้อมมือไปจับแก้มของเจิ้งเทียนเหอเบา ๆ แล้วลุกขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “บอกฉันได้ไหมว่าทำไมคุณถึงทำให้ศิษย์ของสำนักโอสถขุ่นเคือง?”

เจิ้งเทียนเหอผลักมือของฮวงฟู่เหวินเยว่ออกไปและพูดว่า “ผมต้องขยายธุรกิจ ผมอยากได้สายการผลิตที่ควบคุมโดยตระกูลซีแห่งจินหลิง ผมเลยเริ่มจากซีชิงอิ่งเพื่อที่จะได้เข้าหาซีกัวฮัวพ่อของเธอได้ง่าย ๆ แต่ไม่คิดว่าซีชิงอิ่งจะมีศิษย์สำนักโอสถอยู่เคียงข้าง”

“จิ๊ จิ๊ สมกับเป็นผู้ชายของฉันจริง ๆ ความคิดไม่เลวเลย!” ฮวงฟู่เหวินเยว่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ถ้ามีความสัมพันธ์กับซีชิงอิ่งสาวงามอันดับหนึ่งแห่งจินหลิงได้สำเร็จ คุณจะสามารถร่วมมือกับซีกัวฮัวเพื่อผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นสินะ วิธีการดี แต่น่าเสียดายที่โชคร้ายไปหน่อย”

“คุณ…”

เจิ้งเทียนเหออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไว้

เขารู้ว่าฮวงฟู่เหวินเยว่ไม่ได้รักอะไรเขามากนัก แต่เขาไม่คิดเลยว่านอกจากเธอจะไม่โกรธในสิ่งที่เขาทำแล้วยังเห็นด้วยอีกต่างหาก

ผู้หญิงคนนี้สนใจแต่ผลประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้นใช่ไหม?

เจิ้งเทียนเหอรู้สึกผิดหวัง คนอื่น ๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคู่ของเขาคือคู่สามีภรรยาในอุดมคติ แต่แท้จริงแล้วในสายตาของฮวงฟู่เหวินเยว่มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น ผู้หญิงแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะแต่งงานด้วยเลยสักนิด

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยขอความช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้เลย

และเป็นเพราะไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใด ๆ จากคนที่เขาเรียกว่าภรรยา เขาจึงเริ่มอยากได้ผู้หญิงคนอื่นมาเคียงข้างกายที่เปลี่ยวเหงา

“อย่ากังวลเลย! คุณเป็นผู้ชายของฉัน ฉันจะไม่ยอมให้คุณถูกกระทำฝ่ายเดียวหรอก” ฮวงฟู่เหวินเยว่ไม่รู้ว่าเจิ้งเทียนเหอกำลังคิดอย่างไร หรือต่อให้เธอรู้ว่าเขาคิดอย่างไร เธอก็ไม่สนใจ

แววตาของเธอฉายความดุร้ายและเย้ยหยัน “คนเราเมื่อยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ความกล้าก็ยิ่งลดหลั่น มันไม่เหมาะหรอกที่คนพวกนี้จะได้เป็นผู้คุมบังเหียนตระกูล!”

ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาใครบางคน “ฉันตกลงตามที่คุณร้องขอ แต่ช่วยเตรียมสิ่งที่ฉันต้องการด้วย ส่วนเวลาก็เอาเป็นเย็นวันพรุ่งนี้”

เจิ้งเทียนเหอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา “คุณจะทำอะไร?”

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของฉัน จำไว้ว่าคุณต้องเป็นลูกเขยของตระกูลฮวงฟู่เท่านั้น” ฮวงฟู่เหวินเยว่พูดจบก็เดินออกไปข้างนอก

ช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า

โจวอี้ขอให้ถงหู่ซื้ออ่างขนาดใหญ่มาสองใบ ก่อนจะเทยาที่ต้มแล้วลงผสมกับน้ำอุ่นในอ่าง จากนั้นให้ถังเสี่ยวถังและถังเสี่ยวรุ่ยลงไปในอ่างยานั้น

“กระบวนการนี้จะเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พวกลูกสองคนต้องอดทน แช่ให้ได้มากกว่าครึ่งชั่วโมง จากนั้นพวกลูกถึงจะออกมาได้”

“ยาที่พ่อทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับพวกลูกจะปรับแต่งร่างกายของพวกลูกได้ มันสามารถบำรุงร่างกายและทำให้ร่างกายแข็งแรง ยิ่งแช่นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น”

“ยานี้มีค่ามาก จงใช้มันให้คุ้ม อย่าปล่อยให้พวกมันเปล่าประโยชน์”

โจวอี้พยักหน้าให้ถงหู่จากนั้นก็หันหลังและเดินออกจากห้องไป

ถงหู่หยิบนาฬิกาพกสายโซ่ทองมาดูเวลาแล้วหันมาจับจ้องสองพี่น้องถังเสี่ยวถังและถังเสี่ยวรุ่ย

เมื่อเวลาผ่านไป สองพี่น้องถังเริ่มรู้สึกสบายตัวในการแช่ตัวในอ่างยามากขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาก็รู้สึกคันไปทั่วทั้งตัว และจากนั้นก็มีอาการเจ็บปวดเหมือนกับถูกเข็มทิ่มไปทั้งร่าง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พี่ชายและน้องสาวก็หน้าแดงเหมือนกุ้งต้ม

เหงื่อไหลลงมาตามใบหน้าที่บิดเบี้ยว

สี่สิบนาทีต่อมา ความมุ่งมั่นของถังเสี่ยวถังถึงขีดจำกัดแล้ว เขากระโดดออกจากอ่างยาด้วยเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่า เและเมื่อเท้าของเขาแตะพื้น เขาก็หมดสติไป

ในขณะที่อีกอ่างหนึ่ง ถังเสี่ยวรุ่ยดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงคำรามของพี่ชาย เธอหลับตาแน่นและอดทนต่อความเจ็บปวด ประโยคสุดท้ายที่โจวอี้พูดสะท้อนอยู่ในใจของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

ยานี้มีค่ามาก จงใช้มันให้คุ้มอย่าปล่อยให้พวกมันเปล่าประโยชน์

ใช่แล้ว!

ถึงตายก็ควรดูดซับยานี้ไปให้หมด!

ถงหู่นั้นทั้งมือและสายตาต่างว่องไว หลังจากประคองถังเสี่ยวถังได้แล้ว เขาก็พาเด็กชายไปที่ห้องถัดไป ก่อนจะวางลงบนเตียงและห่มผ้านวมให้แล้วกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าของถังเสี่ยวรุ่ย เขาก็ดูประหลาดใจขึ้นมา

นั่นคือขีดจำกัดที่เขาเคยทำได้เมื่อตอนแช่อ่างยาครั้งแรก แม้ว่าเขากับโจวอี้จะห่างกันอยู่มาก แต่แม่ของเขาก็เคยเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่าพลังใจของเขานั้นแข็งแกร่งที่สุด

แล้วถังเสี่ยวรุ่ย เด็กน้อยคนนี้มันยังไงกันแน่?

เธอเป็นแค่เด็กอายุหกขวบเองไม่ใช่เหรอ?

เด็กอายุหกขวบจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ยังไม่จบ?”

ร่างของโจวอี้ปรากฏขึ้นที่ประตู เมื่อเขาเห็นถังเสี่ยวรุ่ยยังอยู่ในอ่าง สีหน้าของเขาก็ดูตกใจ

“เธอแปลก” ถงหู่กระซิบ

“เสี่ยวถังทนอยู่ได้นานแค่ไหน?” โจวอี้ถาม

“สี่สิบสองนาที”

โจวอี้พยักหน้าและมองไปที่ถังเสี่ยวรุ่ยอีกครั้ง

เขาไม่ได้รบกวนถังเสี่ยวรุ่ย เพียงแค่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ รอให้เธอหยุด

อย่างไรก็ตาม หนึ่งชั่วโมงกับอีกยี่สิบนาทีต่อมา สีหน้าที่บิดเบี้ยวของถังเสี่ยวรุ่ยก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ราวกับว่ายาที่เธอแช่ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากนรกอีกต่อไป แต่เป็นการปลอบประโลมจากสวรรค์

เกิดอะไรขึ้น?

โจวอี้และถงหู่มองหน้ากัน ราวกับมีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของพวกเขา

“ไม่พี่ ดูนั่นสิ” ถงหู่ชี้ไปที่อ่างยา

โจวอี้ได้กลิ่นและมองไปที่มันทันที เขาพบว่ายาต้มในถังไม้ที่เคยอุ่นจนมีควันระเหยออกมา เวลานี้ยาต้มกลับกลายเป็นน้ำแข็ง!

นี่มันบ้าอะไรเนี่ย?

เห็นแบบนี้เขาจึงกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางร่างกายของถังเสี่ยวรุ่ย และเอื้อมมือออกไปเพื่อจะอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยออกจากอ่าง

ถังเสี่ยวรุ่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเธอเห็นว่าโจวอี้กำลังอุ้มเธออยู่ เธอก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานและถามว่า “พ่อ หนูไม่รู้สึกเจ็บเลย หนูรู้สึกสบายมาก”

“ลูกรู้สึกอะไรอีกนอกจากความสบาย?”

ถังเสี่ยวรุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาเบา ๆ

เธอสะบัดนิ้วเล็กน้อย ลูกศรน้ำหลายลูกพุ่งออกมาทันที มันทะลุกำแพงออกไปราวสี่ห้าเมตร

ในเวลาเดียวกัน ยาต้มในอ่างก็คล้ายถูกควบคุมจากบางสิ่ง พวกมันลอยขึ้นต่อหน้าคนทั้งหมดและก่อตัวเป็นม่านน้ำแข็ง

ห้าวินาทีต่อมา ม่านน้ำแข็งก็แตกออกก่อนจะหล่นกระจายลงบนพื้น

“นี่…” โจวอี้กลืนน้ำลายและรู้สึกว่าในสมองมีเสี้ยงวิ้ง ๆ จากความงุนงง

นี่เขาเพิ่งรับเลี้ยงสัตว์ประหลาดมาถึงสองคน!

คนหนึ่งสามารถปล่อยและควบคุมไฟได้

ส่วนอีกคนปล่อยน้ำหรือน้ำแข็งและควบคุมมันได้

“พ่อ หนูกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วใช่ไหม?” ถังเสี่ยวรุ่ยถามอย่างขลาดกลัวนิด ๆ

‘ใช่! สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาดตัวน้อยที่น่ากลัว!’

โจวอี้พึมพำกับตัวเองในใจ

ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้ม เขาส่ายหัวและพูดว่า “เสี่ยวรุ่ยไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่แค่มีพลังมากกว่าคนปกติ …มีบางอย่างที่พ่อต้องบอกลูกนะ ฟังให้ดี”