บทที่ 186 เป็นคนหล่อนี่น่ารำคาญใจนัก

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 186 เป็นคนหล่อนี่น่ารำคาญใจนัก

เจ้านกดูงดงามเป็นพิเศษ จะงอยปากคมและกรงเล็บแหลมเป็นสีแดง ขนบนหัวมันดูปุกปุยมาก ดูน่ารักแบบซื่อบื้อแปลก ๆ

เฟิงฉีเห็นแล้วก็ตกหลุมรัก ยื่นมือไปจะลูบขนปุยบนหัวมัน แต่กลับถูกชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฟาดมือเข้าให้

เขาหดมือกลับด้วยความประหลาดใจ “อะไร?”

ซีจ้านเฉินเลิกคิ้ว น้ำเสียงไพเราะรื่นหูพลันเอ่ย “นกพันธุ์นี้ดูหน้าตาไร้พิษภัย น่ารักน่าชัง แต่จะงอยปากกับกรงเล็บมันมีพิษร้ายนัก หากเลือดไม่ออกยังพอรักษาชีวิตได้ แต่หากเลือดไหลละก็ พิษจะแล่นไปทั่วร่างในพริบตา ไม่อาจช่วยชีวิตได้อีก”

เฟิงฉีได้ยินก็หน้าซีด ถอยห่างจากเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่นทันที สวรรค์ นี่เขาเกือบตายเสียแล้ว

“เจ้าไม่ต้องห่วง นกพวกนี้ปกติอ่อนโยนนัก หากเจ้าไม่คิดทำร้ายมันหรือแตะโดนหัวมัน มันก็ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” ซีจ้านเฉินว่าพลางยิ้มมุมปาก ยื่นนิ้วไปลูบหลังเจ้านก มันกระดกหัวท่าทางชอบใจ กระพือปีกโดนหลังมือเขาเล็กน้อย

เฟิงฉีเห็นแล้วก็ถามขึ้นด้วยความฉงน “ทำไมโดนหัวไม่ได้เล่า?”

“เพราะมันคิดว่าเท่านี้หัวมันก็ดูซื่อบื้อมากพออยู่แล้ว หากให้มนุษย์มาสัมผัสมันก็จะยิ่งดูโง่มากขึ้นไปอีก”

เฟิงฉี “…..” นกประหลาด!

ซีจ้านเฉินปลดกระบอกไม้ไผ่ที่ขามันออกมา ทำท่าให้มันออกไปได้ เจ้านกเข้าใจ กระพือปีกเล็กน้อยราวกับจะบอกลา จากนั้นก็บินออกไปทันที

ซีจ้านเฉินดึงไหมม้วนเล็กออกมาแล้วเปิดอ่าน ทว่ามันกลับว่างเปล่าไร้ตัวอักษรใด เขาจึงใช้นิ้วยาวจุ่มลงถ้วยชาสองสามครั้งแล้วป้ายลงบนม้วนไหม พลันปรากฏคำขึ้นมาให้เห็น

เขากวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโยนมันลงไปในกระถางธูป พริบตาเดียวก็ไหม้เหลือแต่เศษ

“ในงานสานสัมพันธ์ที่กำลังจะมาถึง จับตามองเด็กสาวหน้าตาโดดเด่นที่เก่งวิชาแพทย์ไว้” ซีจ้านเฉินเอ่ยเสียงเบา

เฟิงฉีเลิกคิ้วถาม “อะไรกัน เจ้าคิดจะชิงเอาคนมาจากอีกสองสำนักหรือ?”

“จำที่ข้าบอกไว้ให้ดี หากมีข่าวให้มาบอกข้า” ซีจ้านเฉินพูดจบ เขาก็เดินออกจากเรือนไม้ไผ่ไป พริบตาเดียวก็หายไปจากวงสายตาเฟิงฉี

เฟิงฉีส่ายหน้างึมงำกับตนเอง “ชอบทำตัวลึกลับนัก”

——————————–

“เฮ้อ แย่จริง ข้าอุตส่าห์ดีใจที่เราได้อาจารย์หน้าตาดีมาตั้งสองคน แต่ทำไมทั้งสองคนต้องทำตัวไปไหนมาไหนไม่บอกไม่กล่าวเหมือนพี่ใหญ่ ที่ชอบหายไปตามใจตนเช่นนี้ได้เล่า?” เด็กสาวหน้าตุ๊กตายกมือขึ้นเท้าคาง บ่นขึ้นราวกับหญิงแก่คนหนึ่ง

“ข้าว่าเจ้าสนแต่หน้าหล่อ ๆ ของพวกเขามากกว่า!” ชายหนุ่มหน้าหวานหัวเราะหึ ก่อนจะส่องกระจกชื่นชมความงามตน

เด็กสาวหน้าตุ๊กตากลอกตาว่า “ก็หน้าตาดีกว่าเจ้าแล้วกัน”

ชายหนุ่มหน้าหวานเอ่ยเสียงเหยียด “บ้าผู้ชาย”

และเมื่อสงครามน้ำลายกำลังเริ่มขึ้นนั่นเอง ด้านข้างก็มีคนเอ่ยเสียงเบาขึ้น “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ศิษย์พี่ลั่วมาแล้วนะ”

พูดจบ พวกเขาก็เห็นว่าชายหนุ่มท่าทางอ่อนโยนในชุดคลุมยาวสีเขียวเดินเข้ามาช้า ๆ คือลั่วหลานจือนั่นเอง ที่มุมปากมีรอยยิ้มบางแต้มอยู่

“ศิษย์พี่ ปีนี้ท่านจะรั้งอยู่ในสำนักละอองหมอก ไม่ออกท่องแดนแล้วใช่หรือไม่? ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าไม่อาจตัดใจทิ้งพวกเราไปได้ ตัดสินใจอยู่ที่สำนักแล้วใช่หรือไม่?” เด็กสาวหน้าตุ๊กตาเห็นเขาแล้วก็เอ่ยเย้าขึ้น

ลั่วหลานจือเป็นคนที่เฉยเมยที่สุดในสำนัก ไม่ใฝ่ในชื่อเสียง ไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันสานสัมพันธ์มาก่อน เขาไม่เคยใส่ใจตำแหน่งฐานะที่ว่างเปล่าพรรค์นั้น อยากท่องไปทั่วแดนเพื่อเห็นสิ่งแปลกตามากกว่า ไม่ค่อยรั้งอยู่ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งนานนัก

ได้ยินแล้ว ลั่วหลานจือทำเพียงหัวเราะแล้วหันมองเด็กสาวหน้าตุ๊กตา “เจ้าดูจะดีใจนักที่ข้าอยู่ที่นี่ เป็นเพราะคิดว่าศิษย์พี่ใจดีเกินไป ไม่อาจคุมพวกเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?”

“ข้าจะกล้าคิดหรือ? ศิษย์พี่สง่างามจะตาย ข้านับถือท่านยิ่งนัก!” เด็กสาวหน้าตุ๊กตาว่าแล้วก็ประกบมือเข้าด้วยกันท่าทางเคารพนบน้อม สีหน้าเกือบจะเหมือนประจบสอพลอ

ทุกคนเบ้หน้ารังเกียจทันที เจ้าเด็กคนนี้นี่ทำไหลไปตามลมได้ดีจริงเชียว

ลั่วหลานจือไม่สนใจนางอีก หันไปหาคนอื่น ๆ ภายในห้องแล้วเอ่ยขึ้น “งานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่จะเริ่มต้นขึ้นในอีกราวสองอาทิตย์ ทุกสำนักต้องส่งศิษย์ไปเข้าร่วมสามสิบคน ภาควิชาพิเศษของเรามีคนน้อย ดังนั้นจึงมีที่เพียงสามที่เท่านั้น ใครอยากเข้าร่วมบ้างหรือไม่?”

“หึ งานสานสัมพันธ์อีกแล้ว ไร้สาระสิ้นดี” คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงคร้านขึ้น

อีกคนก็โพล่งขึ้นทันที “ใช่แล้ว บอกให้ผู้เข้าร่วมอย่าลงมือเกินเหตุเพราะเป็นงานสานสัมพันธ์ระหว่างสามสำนักใหญ่ เพ้ย! ข้าอยากจะอ้วก! หากต่อสู้ก็ต้องสู้ให้สุดฝีมือสิ! ไปที่นั่น จะฆ่าหรือทำให้พิการก็ไม่ได้ แล้วจะให้แสดงพลังอย่างไรกัน?”

ได้ยินเสียงบ่นทั้งหลายดังระงมขึ้น ลั่วหลานจือจึงเลิกคิ้ว มองไปยังเด็กสาวที่นั่งเงียบอยู่มุมซ้ายของห้อง ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ เขาจึงเอ่ยถามนางขึ้น “ชิงอวี่ เจ้าว่าอย่างไร?”

เห็นว่าตนเองถูกเรียก ชิงอวี่จึงได้สติ “เรื่องอะไรหรือ?”

“ภาควิชาเราได้ที่มาสามที่ ท่านเจ้าสำนักเลือกมาแล้วว่าเป็นเจ้าหนึ่งที่ ส่วนอีกสองที่ เจ้าคิดว่าใครเหมาะสมจะไป?” ลั่วหลานจือถามพลางยิ้ม

พูดจบ ทุกสายตาก็หันมาจ้องชิงอวี่ทันที

ชิงอวี่เห็นดังนั้นก็ชะงักไป ทำไมคนอื่น ๆ จ้องนางเขม็งเช่นนี้เล่า?

ลั่วหลานจือเหมือนจะสัมผัสถึงความฉงนใจของเด็กสาว จึงเอ่ยอธิบายขึ้นอย่างใจดี “ด้วยงานสานสัมพันธ์จะบังคับให้หยุดลงมือเมื่อรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้มีฝ่ายใดจงใจทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บ แต่เจ้าพวกเด็กชั่วร้ายเหล่านี้ไม่อาจคุมตนได้ คุมพลังไม่อยู่ จึงไม่คิดอยากเข้าร่วม เจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นดี?”

“เรื่องไม่ยาก” รอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปากชิงอวี่ “ใครเอาชนะข้าได้ก็ไม่ต้องไป”

ทุกคนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าทันที

นางล้อเล่นอยู่กับใคร? จะให้พวกเขาเอาชนะปีศาจที่มีทั้งพลังวิญญาณและพลังยุทธ์ขั้นสุดอย่างนางน่ะหรือ? แบบนี้มันยากกว่าการไม่สังหารคู่ต่อสู้ในการแข่งขันอีกไม่ใช่หรือไร!?

ใครจะกล้าท้าทายชิงอวี่กัน? หากต้องมาพ่ายแพ้ให้ศิษย์น้องเล็ก จะต้องอับอายขายขี้หน้าถึงเพียงไหน? พวกเขาต้องยอมรับไม่ได้เป็นแน่

สุดท้ายที่สองที่จึงถูกมอบให้ซิงถงและชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้น ซิงถงอยากไปเพราะอยากไปกับชิงอวี่ ส่วนชายหนุ่มหน้าหวานได้ไปเพราะมีพลังป้องกันสูงส่งไม่เหมือนคนอื่น ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

การตัดสินใจกินเวลาทั้งคาบเรียนตอนเช้าไป เมื่อผลออกมาแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายจากไป เหลือเพียงชิงอวี่เดินตามหลังลั่วหลานจืออยู่ห่าง ๆ

“อะไรกัน? เจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้าหรือ?” หลังจากเดินมาครู่หนึ่ง ลั่วหลานจือจึงหยุดฝีเท้า หันกลับมาถามนาง

ชิงอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง นิ่งไปนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านกับเฟิ่งเทียนเหิงรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วหรือ?”

ลั่วหลานจือได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่านางจะถามเช่นนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังตอบนาง “พวกข้าติดตามพี่ใหญ่มาหลายปี ข้ารู้จักเขาตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อย่างน้อยก็คงราว ๆ สิบปีได้แล้วกระมัง”

“แล้ว….. เขาไปไหนมาไหนไร้คนรู้ร่องรอย ไม่ค่อยกลับมายังสำนักละอองหมอกใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง เมื่อครั้งสำนักละอองหมอกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อสิบปีก่อน พี่ใหญ่รั้งอยู่ที่สำนักเพียงสามวัน หลังจากจบเรื่องราวแล้วก็จากไปทันที จะว่าไป ดูท่าว่าหลังจากเจ้าเข้ามา เขาก็รั้งอยู่ในสำนักนานที่สุดเลยนะ คนอื่น ๆ ยังบอกว่าพี่ใหญ่ปฏิบัติกับเจ้าแตกต่างจากคนอื่น ๆ ด้วย!” ลั่วหลานจือพูดติดตลก

ชิงอวี่ตาเป็นประกายวาบ “เช่นนั้น….. ข้าขอบังอาจถามท่านสักข้อ เวลาเขาคุยกับท่าน ท่านเคยสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่? เช่น….. จู่ ๆ ก็โกรธขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล แปลกไปจากตัวตนเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง”

สิ้นคำนาง นางก็เห็นใบหน้าประหลาดใจของอีกฝ่าย

ดูท่านางจะคาดไว้ไม่ผิด ชิงเทียนหลินบำเพ็ญวิชาต้องห้ามนั่นสำเร็จจริง ๆ ด้วย มันเป็นวิชาที่ทำให้เขาเข้ายึดร่างกายคนได้ อีกทั้งวิญญาณเก่าในร่างยังไม่หายไป และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนวิญญาณเก่าในร่างก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จะถูกกลืนกินจนหายไป

แต่ร่างที่ชิงเทียนหลินเลือกมานั้นคงจะมีพลังจิตแข็งกล้านัก ทำให้เขายังไม่อาจกลืนวิญญาณเดิมของเฟิ่งเทียนเหิงได้

วิชาเชิดหุ่นถูกผนึกสังเวยเลือดของนางอยู่ หากคิดจะปลดผนึกก็มีทางเดียว เขาต้องกลืนวิญญาณคนเป็น ๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มพลังตนเอง เมื่อพลังชั่วร้ายในร่างรวบรวมกันก็จะยิ่งแกร่งขึ้น ถึงตอนนั้นซัดพลังครั้งเดียวก็ปลดผนึกออกได้ไม่ยาก

ชิงเทียนหลินคงจะใช้วิธีนั้นเป็นแน่ วิญญาณคนเป็นมากมายคงต้องถูกเขากลืนกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อชาติก่อน เพื่อจะชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลและเพื่อครองสมบัติลับทั้งสอง เขาก็เข้าสู่ทางมาร บำเพ็ญวิชาต้องห้าม เกือบทำลายล้างทั้งตระกูล คืนนั้นโลหิตหลั่งไหลราวกับเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ชีวิตคนบริสุทธิ์นับร้อยต้องสิ้นไปทั้งอย่างนั้น

แม้เชาจะสิ้นสติ แต่อย่างไรก็ไม่คิดทำอันตรายนาง แต่นั่นก็เพราะเขายังต้องการสมบัติลับที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างนางต่างหาก

สิ่งต้องทำในตอนนี้คือต้องควานหาตัวเขาโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่อาจละทิ้งความรับผิดชอบ ด้วยเพราะบาปชั่วทั้งหลายที่เขาจะกระทำ ย่อมมีนางเป็นต้นเหตุ เพราะนางเป็นคนผนึกวิชาเชิดหุ่นของเขาไว้

—————————————

“นายท่าน มีคำเชิญมาจากน่านน้ำเสียนหลัว ราชาของพวกเขาเพิ่งจะมีโอรสยามอายุมากแล้ว จึงส่งคำเชิญมายังกลุ่มอิทธิพลทั้งหลายเพื่อมาเฉลิมฉลองในโอกาสอันดีนี้ขอรับ”

ชายคนหนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ในมือถือบัตรเชิญสีกรมท่าขึ้นเหนือหัว ท่าทางเคารพนบน้อมเป็นอย่างมาก

โหลวจวินเหยามองบัตรเชิญด้วยสายตาเกียจคร้าน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ปฏิเสธไป!”

ลูกน้องชุดคลุมดำชะงักไป “จะให้เหตุผลว่าอะไรดีขอรับ? แม้คนน่านน้ำเสียนหลัวจะเป็นขุมกำลังเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกล แต่ก็ไม่สมควรที่จะดูถูกมองเมินพวกเขาด้วยวันหนึ่งอาจต้องร่วมมือกันก็เป็นได้ กลุ่มอิทธิพลอื่นก็ส่งตัวแทนไปเพื่อรักษามารยาท หากแคว้นมารตอบคำเชิญต่างจากคนอื่น ๆ จะถูกคนอื่น ๆ มองเย้ยหยันได้นะขอรับ?”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกาย “แคว้นมารก็เป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายอยู่แล้ว ทำต่างจากคนอื่น ๆ จะได้ดูเย่อหยิ่งหน่อยไม่ดีหรือ?”

จากนั้นเขาก็หยุดไป ชายตามองราวกับหยามเหยียด “อีกทั้ง….. สีบัตรเชิญนั่นก็น่ารำคาญตานัก ขนาดการออกแบบยังดูไม่น่ามอง”

ชายชุดดำ “…..”

นายท่าน ท่านช่วยใส่ใจให้มากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?

นี่ท่านคิดปฏิเสธคำเชิญเพราะบัตรเชิญไม่น่ามองเพียงเท่านั้นน่ะหรือ??

ทั้งสีและรูปแบบของบัตรเชิญนี้มันเป็นตัวแทนของน่านน้ำเสียนหลัวนะขอรับ!?

แล้วนายท่านมาใส่ใจเรื่องหน้าตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร!? ใครกันที่บอกว่าภายในย่อมสำคัญกว่าภายนอก?!

ท่านออกไปเที่ยวเตร่ไม่เท่าไหร่ ทำไมจึงเปลี่ยนไปได้มากมายขนาดนี้เล่าขอรับ?

แต่แม้ในท้องจะอัดแน่นไปด้วยคำบ่นมากมาย เขาก็ยังทำตามคำสั่งแต่โดยดี ปฏิเสธคำเชิญของน่านน้ำเสียนหลัวไป

โหลวจวินเหยาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงครู่หนึ่ง มือเรียววางพักอยู่บนที่วางแขน เคาะบนหัวงูไร้ตาเบา ๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอีก

น้ำเสียงหยอกล้อพลันเอ่ยขึ้นตามเสียงเท้า “ท่านกลับมาได้ไม่นาน กลับมีคำเชิญถูกส่งมาไม่ขาดสาย ท่านนี่เป็นที่นิยมจริง ๆ”

โหลวจวินเหยาเวยหน้าขึ้น เห็นสวินลั่วกำลังก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้ามา ในมือมีบัตรเชิญที่ภายนอกเป็นสีม่วง ดูคุ้นตานัก รู้สึกขมับข้างหนึ่งเต้นตุบ ๆ ในใจพลันรู้สึกถึงลางร้าย

บ้าเอ๊ย….. ยัยแก่นั่นอีกแล้ว