บทที่ 187 ข้าถือหางเจ้า
เห็นโหลวจวินเหยาทำหน้าราวกับจะต้องเผชิญหน้าศัตรูฝีมือฉกาจ สวินลั่วจึงอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ เขาก้าวเข้าไปยื่นบัตรเชิญให้ “สตรีที่อารามจันทร์กระจ่างส่งคำเชิญมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ข้าต้องสรรหาเหตุผลทั้งหลายมาบอกปัดไป ข้าว่านางต้องรู้ว่าท่านไม่อยู่ที่แคว้นมารแน่ นางส่งคำเชิญนี้มาเหมาะเจาะเช่นนี้ เกรงว่านางคงรู้ว่านายท่านกลับมาจริง ๆ แล้ว”
โหลวจวินเหยายกมือขึ้นเท้าคาง ใช้อีกมือพลิกบัตรเชิญอ่านคำ ใบหน้าไม่น่ามองเท่าไหร่
“หากข้าจะขอพูดนะ นายท่านไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องรักใคร่มานานหลายปี แม้นางจะอายุมากกว่าท่านไปสักหน่อย แต่นางก็เป็นโฉมงามที่หาตัวจับยาก ทำไมนายท่านไม่ยอมรับนางเสีย นางจะไม่ได้ต้องคอยมายั่วยุนายท่านเช่นนี้ไปจบไม่สิ้น” สวินลั่วเผยรอยยิ้ม นัยน์ตามีแววซุกซนชั่วร้าย
แม้โหลวจวินเหยาจะเป็นนายเหนือหัว แต่โดยส่วนตัวแล้วอีกฝ่ายกลับเข้าหาได้ง่ายมาก ยามพูดหยอกล้อเล่นหัวกันก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ปกติแล้วระหว่างพวกลูกน้องกับนายท่านก็ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากมายอยู่แล้ว
ได้ยินแล้ว โหลวจวินเหยาก็มองสวินลั่ว เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก “เกรงว่าหากยอมรับนางจริง ๆ ไม่ทันสองวันข้าคงถูกสูบวิญญาณจนกลายเป็นศพเดินได้ เจ้าเองก็คิดคำนวณมาดีกระมัง นี่เจ้าคิดจะขึ้นครองตำแหน่งแทนข้าหลังจากนั้นอยู่งั้นหรือ? หืม?”
สวินลั่วมุมปากกระตุก เขาเพียงหยอกเล่นเท่านั้น ทำไมอีกฝ่ายจึงคิดจริงจังเล่า…..
แล้วยังเรื่องชิงตำแหน่งอะไรนั่นอีก แม้เขาจะเคยมีความคิดนั้นจริง ๆ ก็คงไม่มีความกล้าจะทำหรอก! เพ้ย ๆ! เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยต่างหาก! เขาซื่อสัตย์ภักดีตลอดมา
โหลวจวินเหยาหัวเราะหยันออกมาแล้วเมินเขาไป ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นเอ่ยอีกครั้ง “หลิงชูที่แดนธาราขาวเป็นอย่างไร? มีข่าวหรือไม่?”
“พูดถึงเรื่องนี้ นับตั้งแต่ที่ท่านสั่งให้เขาไปแดนธาราขาว นี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนหนึ่งแล้ว แต่เรายังไม่ได้ข่าวหรือคำใดกลับมาเลย ช่างแปลกนัก”
สวินลั่วเลิกคิ้วเอ่ย “หรือเขาพบปัญหาอะไรงั้นหรือ? แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ด้วยพลังบำเพ็ญเขามี กระทั่งคนบนแดนเมฆาสวรรค์ยังสู้เขาได้ยาก เว้นเสียแต่โชคร้าย ไปเจอกับคนที่เก่งกว่าเข้า”
โหลวจวินเหยายกยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ก็คนที่เขาคิดไปหาข่าวเป็นตัวเจ้าปัญหาเลยไม่ใช่หรือ?
————————————
— ชนเผ่าหมาน —
นับตั้งแต่สตรีงามชุดแดงแอบเข้ามายังห้องต้องห้ามแห่งนั้น ใบหน้าของหัวหน้าเผ่าเหยียนจูก็ไม่เคยมีความเป็นมิตรประดับอยู่เลย แม้ปกติเขาจะเป็นคนหน้านิ่งอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นท่านหัวหน้าเผ่าระเบิดอารมณ์โดยพลันเช่นนี้มาก่อน ราวกับทุกคนติดเงินเขาเสียอย่างนั้น
ตอนนี้เหยียนจูก็กำลังระเบิดอารมณ์อีกครั้ง ทำให้คนกลุ่มใหญ่ไม่กล้าเข้าไปขอคำแนะนำ กลัวว่าจะถูกดุด่าครั้งใหญ่เข้า
“ช่างมันเถอะ! ถ้าจำเป็นข้าก็แค่ตายไปเสียเท่านั้น!” ชายหน้าประตูสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป
“หัวหน้าเผ่า…..” เขาค่อย ๆ เอ่ยคำอย่างระมัดระวังพลางเงยหน้าขึ้น เห็นคนที่นั่งอยู่ด้านในดูปกติดี ราวกับคลายความโกรธลงแล้ว จากนั้นจึงเอ่ยเสียงสุขุมต่อ “หัวหน้าเผ่า สตรีในห้องลับผู้นั้นบอกว่านางอยากได้ชุดใหม่สักชุดให้นายท่านม่อ….. นางจะช่วยอาบน้ำให้นายท่านม่อแล้วเปลี่ยนชุดให้ขอรับ”
ด้วยเรื่องนั้นเกิดขึ้นในชนเผ่าหมานมานานหลายปีแล้ว คนส่วนมากก็ถูกเปลี่ยนออกไปจนหมด เหลือเพียงไม่กี่คนที่รู้ตัวตนม่อจิ่งอวี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกเขาว่านายท่านม่อ
เหยียนจูนัยน์ตาลึกล้ำอ่านไม่ออก ไม่สามารถรู้อารมณ์เขาได้เลย “เจ้ามาถึงที่นี่เพราะนาง นี่เจ้ารับใช้ชนเผ่าหมานหรือนางกันแน่?”
แม้น้ำเสียงหัวหน้าเผ่าจะสงบนัก แต่ก็เน้นชัดทุกคำ เหยียนจูกำลังกล่าวโทษกับการกระทำเขาอยู่!
ชายหนุ่มตัวสั่นคุกเข่าลงทันที “หัวหน้าเผ่าโปรดระงับความโกรธ เป็นเพราะนางบอกว่านางเป็นภรรยาของนายท่านม่อ พวกข้าต้องเชื่อฟังคำนาง ไม่เช่นนั้นหากนายท่านม่อฟื้นขึ้นจะไม่อภัยให้พวกเรา ข้าจึงมิกล้าเมินคำนาง…..”
ทุกคนในชนเผ่าหมานรู้ดีว่าเหยียนจูให้ความสำคัญกับม่อจิ่งอวี้เพียงไหน กระทั่งไปตรวจดูเขาเองทุกสองสามวัน ทุกคนจึงไม่กล้าหละหลวมเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขา
เหยียนจูได้ยินแล้วก็หัวเราะหยัน “นางยังผิวหน้าหนาทนทานเช่นแต่ก่อนมิมีผิด”
เขาเคยบอกม่อจิ่งอวี้แล้วว่าอย่าเอานางมาให้ชีวิตต้องแปดเปื้อน สุดท้ายไม่เพียงไม่ฟัง ยังยอมมอบชีวิตให้นางเสียอีก นอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งมาร้อยปี แล้วนางหายหัวไปไหนเล่า เป็นอิสระไร้กังวลงั้นหรือ? แต่ตอนนี้นางกลับมาหาเขาแล้ว ไม่รู้จริง ๆ ว่าในใจนางมีแผนการอะไรอยู่
แล้วเจ้าม่อจิ่งอวี้นั่นก็ใจอ่อนเหลือเกิน แค่นางกระซิบคำหวานที่ข้างหูเข้าหน่อย เจ้านั่นก็ยอมมอบทุกอย่างให้นางแล้ว
คิดได้ดังนั้น เหยียนจูจึงลุกขึ้นเดินจากไป อยากจะรู้จริง ๆ ว่าสตรีผู้นั้นวางแผนอะไรไว้
ภายในห้องลับแห่งนั้น ชิงหลานเฟยยังคงจับมือผสานนิ้วกับเขาแน่น นัยน์ตาจ้องมองเขาเงียบเชียบ ไม่เคลื่อนกายแม้แต่นิด พริบตาเดียวร้อยปีก็ผ่านไป เขายังเป็นเช่นเหมือนแต่ก่อน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักนิด ดียิ่งนัก
นิ้วเรียวงามของนางไล้ไปตามใบหน้าชายหนุ่ม พึมพำเสียงแผ่วเบา “จิ่งอวี้ ท่านได้ยินเสียงข้าใช่หรือไม่? แต่ทำไมจึงไม่ลืมตามองข้าเล่า? ท่านโทษที่ข้าไม่เชื่อคำท่านเมื่อตอนนั้น คิดทำร้ายตนเองเพื่อช่วยท่านงั้นหรือ?”
“แต่ข้าจะมองท่านตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?”
ชิงหลานเฟยนัยน์ตาแดง พยายามฝืนกลั้นน้ำตาที่รื้นขอบ ใบหน้างามไร้ที่ติแต่งแต้มด้วยความโศกเศร้าเจือจาง
“ท่านดู ข้าอยู่ดีมีสุขอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ท่านเองก็รีบตื่นขึ้นมาได้แล้วกระมัง?”
ประตูห้องลับถูกเปิดออกอีกครั้ง ชิงหลานเฟยหรี่ตาลง เก็บความรู้สึกกลับมา กลายเป็นหญิงสาวที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเช่นเดิม
เหยียนจูมองหญิงสาวข้างเตียงน้ำแข็งนิ่ง จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “เขานอนอยู่เช่นนั้นมาร้อยปี ไม่ต้องพูดหรอกว่าจะฟื้นขึ้นหรือไม่ แต่ครั้งนั้นร่างกายเขาบาดเจ็บหนักเกินไป เป็นไปได้ว่าเส้นพลังในร่างอาจเสียหายไปหมดแล้ว ตอนนี้นอกจากใบหน้าหล่อเหลานั่น เขาก็ไม่มีอะไรให้เจ้าอีกแล้ว”
ชิงหลานเฟยมองเขาพลางยิ้มบาง “ท่านคิดจะพูดอะไร?”
“ตลอดเวลาที่เจ้าอยู่กับเขา รอบกายเขาเต็มไปด้วยอันตราย เขาไม่เคยบาดเจ็บมานานกว่าร้อยปีกลับต้องทนทุกข์เพราะเจ้า เจ้ายังต้องการอะไรจากเขาอีก? ยังคิดจะให้เขาเข้ามาพัวพัน ไม่ยอมปล่อยเขาไปอีกงั้นหรือ!?” เหยียนจูเอ่ยเสียงเย็น
“ระหว่างข้ากับเขาไม่มีคำว่าพัวพัน มีแต่ติดพันกันเพราะรัก ความสุขในชีวิตเป็นเรื่องที่สมควรจะสู้ฝ่าฟันด้วยกันอยู่แล้ว” ชิงหลานเฟยไม่โกรธ ยังเอ่ยต่อว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อข้านัก แต่ข้าไม่มีทางทอดทิ้งเขา ข้าจะเฝ้ามองเขาอยู่ที่นี่ รอจนกว่าเขาจะฟื้นคืนสติ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสัญญาไว้กับเขา”
ได้ยินคำพูดเด็ดเดี่ยวของนางแล้ว เหยียนจูรู้สึกกระวนกระวายไม่น้อย “สตรีเช่นเจ้า คิดหรือว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้? เจ้า…..”
“บางครั้งข้าก็เกลียดตนเองที่ไม่อาจแทนที่จิ่งอวี้ได้ ให้คนที่นอนอยู่เช่นนั้นเป็นข้าแทน” ชิงหลานเฟยพูดพลางยิ้มขื่น พลันยกมือขึ้นปิดหน้า น้ำเสียงเริ่มสะอื้น “ชีวิตเขามีค่านัก กระทั่งสละไปทั้งข้าและลูก ๆ สองคนของเรา เขายังต้องทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้”
“เจ้า….. พูดอะไรของเจ้า?” เหยียนจูถาม ประหลาดใจอยู่บ้าง
นางหมายความว่าอย่างไรว่าสละไปทั้งนางและลูก ๆ ทั้งสอง?
“ตอนนั้นข้าตั้งครรภ์อยู่ เป็นคู่แฝดหงส์มังกร” ทุกครั้งที่ชิงหลานเฟยพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในใจนางก็รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส เจ็บช้ำอย่างหาที่สุดไม่ได้ “ตอนข้าใช้วิชาต้องห้ามเพื่อช่วยชีวิตจิ่งอวี้ไว้ เด็กในครรภ์เองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย หลุดเข้าไปในห้วงมิติเวลา จนข้าไม่อาจตามหาพวกเขาได้อีก แก่นพลังชีวิตของข้าก็เสียหายหนัก ร่างวิญญาณถูกแยกออกจากกายเนื้อ ไม่อาจผสานกันได้อีก”
เป็นไปได้ยังไง…..
เหยียนจูส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบร่างนางทันที พบว่าร่างวิญญาณของนางไม่สมบูรณ์ อ่อนแอกว่าแต่ก่อนมาก ใจเขาอ่อนยวบลงในพลัน
สตรีผู้นี้….. ใช้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองและลูก ๆ เป็นการทดแทนวิชางั้นหรือ? นางต้องรักเขามากขนาดนี้จึงสามารถมอบทุกอย่างให้เขาได้โดยไม่ลังเลเช่นนี้?
เป็นตอนนั้นเองที่เขาละทุกอคติที่เคยมีต่อนาง ในเมื่อนางสละเพื่อจิ่งอวี้ถึงเพียงนี้ เขายังจะพูดอะไรได้อีก?
หากเขายังขวางคนทั้งสอง เขาก็คงไม่ใช่มนุษย์แล้ว
เหยียนจูส่ายหน้าถอนใจ เดินออกไปไม่เอ่ยคำ
ช่างเถอะ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวระหว่างเรื่องของสองคนนี้อีกแล้ว
——————————-
เพียงพริบตางานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่ก็มาถึง
วิธีที่มู่ไหลใช้บังคับช่วยเหลือถานหลินรั่วได้ผลดีนัก เขารับมือกับที่สูงได้ดีขึ้นมาก สามารถเข้าร่วมเป็นตัวแทนจากภาควิชานักปรุงยาได้แล้ว
ส่วนภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณนั้น คู่พี่น้องหมิงจิ้งและหมิงอีอีได้ไปคนละหนึ่งที่ อีกที่เป็นของชิงเป่ย อีกสองที่เป็นของศิษย์หญิงและชายที่มีพลังบำเพ็ญสูงส่งได้ไป
ภาควิชานักปรุงยาและภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ได้รับที่ทั้งหมดภาควิชาละสิบที่นั่ง แต่ละภาควิชามีศิษย์กว่าร้อยคน ดังนั้นจึงมีการแข่งขันกันเพื่อชิงเอาที่นั่งสูงมาก
งานสานสัมพันธ์กินระยะเวลายาวถึงสามวัน ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงต้องเตรียมชุดไปด้วย ชิงอวี่มีมิติส่วนตัวอยู่แล้ว ในนั้นเต็มไปด้วยของจำเป็นมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่ต้องตระเตรียมอะไรไปมากมายนัก
และเมื่อมีเวลาว่างเช่นนี้ นางจึงไปหาชิงเป่ยเสียหน่อย จะว่าไปแล้ว พวกนางเข้าสำนักมาได้สองเดือน แต่ด้วยอยู่กันคนละภาควิชา ชิงอวี่และชิงเป่ยจึงไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตากันนัก นอกจากคนใกล้ชิดแล้วก็ไม่มีใครรู้อีกว่าพวกนางเป็นแฝดกัน เห็นได้ชัดว่าคนทั้งคู่ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นอะไร
แต่นางไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เมื่อเดินผ่านห้องเรียนภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน เดิมทีนางไม่คิดอยากยุ่งเรื่องคนอื่น แต่เมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู นางจึงหยุดฝีเท้านิ่งฟัง
“ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กชิงเป่ยนั่นมีเบื้องหลังเช่นไร ผู้อาวุโสเหยียนชอบเขามาก หมิงจิ้งเองก็ดูแลเขาดีเป็นพิเศษ อีกทั้งยังให้โอกาสเข้าร่วมงานสานสัมพันธ์ เจ้าเด็กไม่รู้ความเช่นเขาที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานมีสิทธิ์อะไรจึงได้รับเกียรตินั้นกัน?”
“ข้าว่าเขาต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนมีอำนาจในสำนักเราแน่ คงมีการคุยกันไว้แล้วว่าให้เขามาเข้าร่วมสำนัก!”
“จะเป็นอื่นไปได้อีกหรือ? ฮึ่ม! เขาคิดว่าตนเองแน่ มีอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่คอยหนุนหลังเช่นนี้ จึงคิดว่าตนจะทำตัวเย่อหยิ่งได้งั้นหรือ? เด็กใหม่ที่ดูถูกคนอื่น ไม่รู้จักเคารพศิษย์พี่คนอื่น ๆ เราต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยแล้ว”
“ข้าว่าพวกเจ้าอย่าเลยเถิดเลยดีกว่า แม้เจ้าหนูนั่นจะดูเย็นชารักสันโดษ แต่อย่างน้อยก็หน้าตาดูดีใช้ได้ ข้าบอกไว้ก่อนว่าอย่าได้ทำหน้าหล่อเหลาของเขาเสียหายเป็นอันขาด!” เป็นเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวคนหนึ่ง น้ำเสียงนางส่อความนัยความอย่างไว้
เป็นชายหนุ่มอีกคนที่รับช่วงต่อ “อะไรกัน? เจ้าเองก็สนเขาหรือ? เจ้าเด็กนั่นเนื้อเนียนนุ่มนัก ดูดีกว่าศิษย์หญิงในสำนักของเราเป็นไหน ๆ! ฮ่า ๆ…..”
ปัง!
ประตูที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งถูกถีบเปิดออกจนกระแทกกำแพงเสียงดังลั่น ทำให้ทุกคนตกใจไม่น้อย
“ใครกัน!? รนหาที่ตายนัก!” คนหนึ่งตะโกนขึ้น
เด็กสาวร่างชะอ้อนยืนอยู่ด้านนอกประตู สวมชุดสำนักสีขาวมีลายเมฆ ผิวพรรณงดงามเนียนนุ่ม ใบหน้าเย้ายวนล่อใจราวกับเป็นปีศาจสาว นางเผยรอยยิ้มยาง ๆ ที่ยิ้มไปไม่ถึงนัยน์ตา
คนคนหนึ่งสังเกตเห็นทันทีว่าชุดที่นางใส่แตกต่างจากพวกเขา อดร้องเสียงประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ “นางมาจากภาควิชาพิเศษ!”