บทที่ 188 ถูกลากเข้าปัญหาใหญ่

ภาควิชาพิเศษนั้นเป็นที่รู้จักกันทั่วสำนักละอองหมอกว่ามีจำนวนศิษย์สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ทุกคนมีความสามารถที่หาได้ยาก ดังนั้นแต่ละคนจึงมีท่าทางเย่อหยิ่ง รับมือได้ยากยิ่ง คนอื่น ๆ จึงไม่กล้าล่วงเกินคนในภาควิชานั้นง่าย ๆ

คนจากภาควิชาพิเศษไม่ค่อยออกมาให้เห็นตัวนัก แล้วทำไมวันนี้จึงมีมาที่ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณได้ อีกทั้งผู้มาเยือนยังดูท่าทางไม่ได้มาดีเสียด้วย!

ชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างน่ามองเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม “ข้าแปลกใจนักว่าศิษย์น้องเล็กมีอะไรจึงมาที่ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณได้ เจ้ามาหาศิษย์คนโตของเราหรือ?”

ในฐานะอัจฉริยะประจำภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ ทั้งยังรั้งอันดับที่หกในศิษย์สายหลัก แม้หมิงจิ้งจะมีนิสัยเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็หน้าตาหล่อเหลา ดังนั้นศิษย์หญิงหลาย ๆ คนจึงมาที่ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ พยายามหาทางเข้าใกล้เข้าให้ได้ ขอเพียงมองสักแวบก็ยังดี

ดังนั้นเห็นเด็กสาวหน้าตางดงาม จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ ทุกคนจึงคิดไปว่านางคงเป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบหมิงจิ้ง

ชิงอวี่เหลือบมองชายหนุ่มด้วยสายตาหยามเหยียด เอ่ยเสียงรังเกียจขึ้น “ใครเป็นศิษย์น้องเจ้า?”

น้ำเสียงนางไม่เป็นมิตร ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายแข็งค้างไป แต่เขาก็ไม่โกรธ ใครใช้ให้นางมาจากภาควิชาพิเศษที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกินกันเล่า? ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามต่อเสียงสุภาพ “เช่นนั้นแม่นางน้อยต้องการอะไรจึงมาที่ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ?”

ชิงอวี่หัวเราะหยัน ปัดชายหนุ่มที่ขวางทางนางออก ท่าทางคล้ายกับสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ คราหนึ่ง ทว่าชายหนุ่มกลับกระเด็นไปกระแทกโต๊ะด้านข้าง ร้องเสียงเจ็บปวดออกมาทันที ซึ่งดูเหมือนสะโพกคงช้ำไปหมดแล้วเป็นแน่

ถูกนางปฏิบัติตนอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจคงความสุภาพไว้ได้อีก เอ่ยเสียงดังด้วยความโมโหขึ้น “ยัยเด็กนี่! รนหาที่ตายหรือ!?”

“ข้ารนหาที่ตายหรือไม่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมานั่งสงสัย แต่เจ้าควรรู้ไว้อย่างหนึ่ง ว่าเจ้านั่นล่ะที่อีกไม่นานจะต้องตาย”

พริบตาเดียวร่างบางก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายที่ยังคงก่นด่าไม่หยุดยกขึ้น นางเป็นแค่เด็กสาวท่าทางบอบบางแท้ ๆ แต่กลับใช้มือเดียวหิ้วคอชายหนุ่มยกขึ้นจากพื้นจนเท้าลอยได้

เขาถูกยกร่างขึ้นเช่นนั้น คอเสื้อรัดคอเขาแน่นจนเขาดิ้นไม่หยุด หายใจไม่ออกจนใบหน้าดูดีเริ่มเปลี่ยนสีราวกับสีเครื่องในหมู

คนที่เดิมทีคิดจะนั่งดูเฉย ๆ ต่างกระโดดผลุงขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านางมาหาเรื่องกัน อีกทั้งภายนอกนางดูคล้ายแจกันสวย ๆ อันหนึ่ง แต่ทั้งกำลังและอารมณ์ที่นางเผยให้เห็นอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่แจกันสวย ๆ แล้ว!

“แม่นาง มีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่? เจ้าปล่อยเขาก่อนเถอะ? เราคุยกันแบบสันติเถอะนะ” หญิงสาวหน้าตาดีน้ำเสียงน่าฟังพยายามเข้ามาบรรเทาสถานการณ์

ชิงอวี่จำเสียงนางได้

เป็นเสียงสตรีเพียงคนเดียวที่คุยเรื่องชิงเป่ยเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง

ไม่คิดเลยว่าในภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณจะมีคนเลวทรามน่ารังเกียจอยู่เช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คอยขัดขวางเสี่ยวเป่ยอย่างลับ ๆ มามากเท่าไรแล้ว เดิมทีนางเพียงแค่อยากให้หมิงจิ้งกับหมิงอีอีช่วยดูแลน้องชายตน แต่ไม่คิดเลยว่าจะทำให้คนกลุ่มนี้อิจฉาตาร้อนขึ้นมาได้

ชิงอวี่กวาดตามองคนภายในห้อง ไม่เห็นคนคุ้นตา เมื่อนึกถึงเรื่องที่พวกเขาเพิ่งพูดไป นางก็ย่นคิ้วถามขึ้น “ชิงเป่ยเล่า?”

ทุกคนจึงรู้ว่านางไม่ได้มาหาหมิงจิ้ง แต่มาหาเด็กหนุ่มที่พวกเขารำคาญสายตาคนนั้นต่างหาก

เมื่อพวกเขานึกถึงเรื่องที่พวกตนเพิ่งทำไป ต่างคนก็ต่างเงียบไปทันที

เมื่อไม่มีใครตอบ ชิงอวี่จึงลงแรงที่มือมากขึ้น จ้องชายหนุ่มที่เริ่มหายใจไม่ออกนิ่ง “ในเมื่อไม่มีใครตอบ ข้าก็คงต้องลงกับเจ้าแล้ว”

เมื่อเห็นว่าเด็กสาวจะหักคอเขาอยู่รอมร่อ ชายหนุ่มก็กลัวจนตัวสั่น ร้องเสียงติดอ่างออกมา “อย่าฆ่าข้าเลย….. อย่าฆ่าข้า….. ข้าบอกแล้ว! เมื่อคืน เราโยนเจ้าเด็กนั่นไปยังพื้นที่ต้องห้าม โยนเขาเข้าไปในป่าพิษ! แต่เราแค่อยากทำให้เขาตกใจสักนิดเท่านั้น เขาจะได้ยอมเอาโอกาสไปงานสานสัมพันธ์มอบให้เรา เรา….. เราไม่คิดว่าจะหาตัวเขาไม่เจอเช่นนี้! พวก….. พวกแมลงพิษกับอสูรวิญญาณในนั้นคงจะ…..”

พูดยังไม่ทันจบ เขาก็ถูกโยนโครมออกไปแล้ว กระเด็นฟาดโต๊ะที่ตั้งอยู่หลายตัวจนล้มคว่ำทั้งหมด เกือบจะกระเด็นไปโดนคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้ว

และเมื่อร่างกระแทกพื้นเสียงดัง เขาก็กระอักเลือดคำใหญ่ออกมา ดูน่าสมเพชเวทนานัก

ใบหน้างดงามของเด็กสาวส่อแววทะมึน “พวกเจ้าทุกคนภาวนาไว้เถอะว่าให้เขาปลอดภัย ไม่เช่นนั้นนับแต่นี้ไปก็ไม่ต้องมี ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณในสำนักละอองหมอกอีก”

พูดจบ ชิงอวี่ก็หมุนตัวจากไปโดยเร็ว

นางต้องรีบหาเสี่ยวเป่ยให้เร็วที่สุด สมัยยังเด็กเจ้าหนูนั่นกลัวหนูพวกแมลงเป็นที่สุด เป็นเพราะยัยแม่มดโม่หานเยียนเคยขังเขาไว้รวมกับพวกตัวน่ารังเกียจพวกนั้นสามวันเต็มตั้งแต่เขายังตัวเล็กนิดเดียว

เจ้าพวกนั้นทั้งคลานและปีนป่ายขึ้นทั่วตัวเขา กัดกินเนื้อหนังดูดเลือดเขาไม่หยุด นับแต่นั้นมา เขาก็เกลียดกลัวสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมาก กระทั่งคางคกหิมะพันปีเสี่ยวเสวี่ยหน้าตาหล่อเหลาเขาก็ยังกลัว กว่าจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลานานนัก

จนกระทั่งนางจากไปแล้ว คนอื่น ๆ จึงแตกตื่นขึ้นมาทันที “พวกเราทำอย่างไรดี!? หากเจ้าเด็กชิงเป่ย ตายไปจริง ๆ นางต้องกลับมาล้างแค้นพวกเราแน่!”

“เจ้าจะกลัวอะไร? ไม่ว่าคนจากภาควิชาพิเศษจะแกร่งเพียงไหน คิดหรือว่าจะสามารถกำจัดทั้งภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณได้? อย่าลืมสิว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเรา ศิษย์พี่หมิงจิ้งนั้นปกป้องพวกเรามาก ใครกล้ามารังแกพวกเรา ศิษย์พี่ย่อมไม่ปล่อยมันไว้”

“แต่….. แต่เราเป็นฝ่ายผิดก่อนนะ ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกไว้ว่าเขาจะไม่ยอมให้พวกเราทะเลาะกันเองเด็ดขาด แต่เรา…..”

“หากเจ้าไม่พูด พวกเราไม่บอก ใครจะรู้ได้? เจ้าเด็กนั่นอาจจะหนีออกไปหาความสนุกเองแล้วกลับมาไม่ได้ก็เป็นได้!”

—————————————

สถานที่ต้องห้ามของสำนักนั้นอันตรายนัก ดังนั้นจึงต้องมีคนคอยเฝ้าตลอดทั้งวัน เพื่อไม่พวกศิษย์ขี้สงสัยแอบเข้าไปภายในแล้วเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์

เจ้าพวกนั้นคงเสียเวลาคิดแผนไปนานมากกว่าจะลากชิงเป่ยเข้าไปที่นั่นได้ ช่วงเวลาเปลี่ยนกะเฝ้ายามของสถานที่ต้องห้ามก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม หากไม่ทำเวลาก็อาจถูกจับได้

ชิงอวี่ลอบเข้าไปได้เพราะสัญชาตญาณอันเฉียบคม ทว่ากลับโชคดีนัก เหยียบถูกกับดัก ศรอาบพิษร้ายแรงพุ่งเข้ามาหานางราวกับห่าฝน หากถูกศรเหล่านั้นเข้านางคงได้กลายร่างเป็นแม่นแน่ ๆ

เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ พวกคนเฝ้ายามย่อมรู้ตัว เมื่อเห็นว่าคนในกับดักเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งก็ตกตะลึงนัก

“แม่นางน้อยนั่นแอบเข้าไปได้อย่างไรกัน? แล้วยังเหยียบกับดักอีก!”

“พูดมากพอแล้ว รีบหาทางช่วยนางเถอะ ไปปิดกับดักเดี๋ยวนี้เลย!”

“สายไปแล้ว!”

ในตอนที่พวกเขากำลังหวาดกลัวอยู่นั่นเอง ก็เห็นว่าแม่นางน้อยในกับดักกลับหลับตาลงเสียอย่างนั้น

ร่างบางนางพลันเอี้ยวหลบศรเหี้ยมทั้งหลายอย่างรวดเร็ว เก่งกาจกว่าคนที่ลืมตาทั้งสองข้างมาก นางไม่ถูกศรสักดอก เสื้อผ้าก็ไม่เช่นกัน นางกอดอกหยุดศรเหล่านั้นไว้กลางอากาศ จากนั้นก็ซัดมันกลับไป พวกมันต่างกระเด็นไปปักบนต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบ

นางผ่านมันมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน

แม่นางประหลาดผู้นี้มาจากไหนกัน? มองดูแล้วมากสุดก็น่าจะอายุได้สิบหกปีเท่านั้น แต่กลับมีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ได้!

เมื่อความตกใจระลอกแรกผ่านไป คนทั้งหลายก็พากันออกมาจากที่ซ่อน

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคน ชิงอวี่ก็ลืมตาขึ้น เห็นคนมายืนอยู่ตรงหน้าหลายคน คนหนึ่งมีผมสีเงิน เป็นชายชราหน้าย่น อีกคนอายุราว ๆ สามสิบสี่สิบปี คนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มอายุน้อย ดูจะอ่อนกว่าชิงอวี่เสียอีก

ชายประหลาดสามคนปรากฏตัวขึ้น เป็นผลให้ชิงอวี่หรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ

“แม่นางน้อย เจ้ามาจากภาควิชาไหนกัน? ฝีมือฉกาจยิ่ง!” คนที่อ่อนที่สุดหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มดั่งตุ๊กตา เขายืนยิ้มตาหยีจ้องนางพลางเอ่ยถาม

ชิงอวี่ริมฝีปากกระตุก เขาอายุพอ ๆ กับซิงถง แต่กล้าเรียกนางว่าแม่นางน้อยอย่างนั้นหรือ?

ชายชราเองก็มีรอยยิ้มเจือเช่นกัน หน้าตาดูมีเมตตานัก “เด็กน้อย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าเข้ามาเล่นได้ รีบกลับไปที่ของเจ้าเถอะ!”

ทว่าใบหน้าชายอีกคนกลับเย็นชาราวกับฝาโลง ไร้อารมณ์ใดยามกล่าวขึ้นว่า “เจ้าโชคดีที่ยังไม่ตาย คนที่เข้ามาในสถานที่ต้องห้ามเหล่านี้ไม่เคยมีใครรอดออกไปได้มาก่อน”

ชิงอวี่ “…..” ทำไมสามคนนี้ มองอย่างไรก็ดูประหลาดนัก?

“พวกท่านทั้งหลาย ข้าไม่ได้อยากบุกรุกสถานที่ต้องห้ามเหล่านี้หรอก เพียงแต่ญาติของข้าถูกหลอกมายังสถานที่แห่งนี้ ข้าจึงต้องเข้าไปช่วยเขา ข้าอยากขอให้พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปด้านใน” ชิงอวี่ประสานมือไว้ตรงหน้า เอ่ยอธิบายเสียงสุภาพ

“อ้อ? จริงหรือ?” ชายชราลูบเคราตน ก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่ม “เมื่อคืนเจ้าเฝ้ายามแล้วแอบหลับหรือ?”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง “เป็นไปได้อย่างไร? ข้าไม่ได้ก้าวเท้าออกจากที่นี่เลยนะ แต่เมื่อคืนข้าหิวหน่อย ๆ พอดีมีไก่ฟ้าตัวหนึ่งบินออกมา ข้าก็เลยไปจับมันมาย่างกิน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ”

ชายชรารู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มถูกหลอก เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายเล็ดลอดเข้าไป ดังนั้นจึงตวัดตามองเขาแล้วพึมพำเสียงเบา “เจ้าก็เอาแต่กิน”

เด็กหนุ่มหน้าตาเศร้าสร้อยเป็นยิ่งนัก ข้ากินเนื้อไก่สักหน่อยมันผิดตรงไหนกัน?

ชายชราเอ่ยตักเตือนเสร็จแล้วก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร “แม่หนูน้อย ที่นี่มีกฎอยู่ ย่อมไม่อาจให้คนเข้าไปโดยง่าย นับแต่ก่อตั้งสำนักมา ผู้มากวิชาหลากหลายคนต่างเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่นักต่อนักเพราะความสงสัยในความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน เจ้ายังอยากจะเข้าไปอีกหรือ?”

ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ “อย่างไรข้าก็ต้องเข้าไป”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายชราเช่นข้าขออวยพรให้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน” ชายชราคลี่ยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ ถอยออกจากทางเข้าสถานที่ต้องห้าม

“ขอบคุณท่านมาก” ชิงอวี่ว่าพลางพยักหน้า แต่ก่อนจะได้ก้าวเท้าเข้าไป นางก็ชะงักฝีเท้า หันไปมองชายชราอีกครั้งหนึ่ง “สถานที่ต้องห้ามในสำนักละอองหมอกเหล่านี้เทียบกับรังอสูรแดนธาราขาวได้หรือไม่?”

ชายชราได้ยินก็ชะงักไป ไม่คิดว่าเด็กสาวจะถามขึ้นเช่นนี้ แต่ก็ยังตอบตามตรง “รังอสูรย่อมอันตรายกว่ามาก มันอยู่บนแดนที่สูงกว่าแดนมุกหยกนี่นะ”

ชิงอวี่พยักหน้ารับทราบ จากนั้นยกยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว”

นางพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปไม่หันกลับมาอีก

เมื่อครั้งนั้น นางหลงเข้าไปในแดนธาราขาวกว่าครึ่งปี ใช้เวลาอยู่ที่รังอสูรเกือบสามเดือน ตอนนั้นนางเพิ่งอายุได้สิบขวบปีเท่านั้น

ดังนั้นสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอกก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ห่วงก็เพียงเสี่ยวเป่ยถูกทิ้งไว้คนเดียวจะหวาดกลัวขนาดไหนก็เท่านั้น

ที่อีกด้านหนึ่ง หลังชิงอวี่เข้าสถานที่ต้องห้ามไปแล้ว ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณก็แอบไปแจ้งท่านเจ้าสำนักเหวินเหรินเชียนว่ามีศิษย์ภาควิชาพิเศษหาญกล้ามาสร้างปัญหาถึงภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ ทั้งยังแอบเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามอีกด้วย

บังเอิญนักที่ซู่หลีม่อและลั่วหลานจือเองก็อยู่ด้วย กำลังคุยเรื่องงานสานสัมพันธ์ที่จะมาถึงในอีกสองวันกับเหวินเหรินเชียนพอดี

เมื่อได้ยินคนมารายงานเช่นนี้ ซู่หลีม่อก็เลิกคิ้ว ดูท่าทางสนุกนัก “ศิษย์หญิงจากภาควิชาพิเศษหรือ?”