บทที่ 189 เสี่ยวเป่ยผู้คลื่นเหียนอยากอาเจียน

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 189 เสี่ยวเป่ยผู้คลื่นเหียนอยากอาเจียน

ซู่หลีม่อเพียงถามไปอย่างนั้น กำลังคิดว่าเจ้าเด็กคนไหนในภาควิชาพิเศษที่ช่วงนี้ว่างจัด จนต้องออกมาเล่นสนุกกับภาควิชาอื่นเช่นนี้

ทว่าคนส่งข่าวกลับตอบว่า “นางมาถึงก็ทำร้ายศิษย์ของภาควิชาเรา ทั้งยังบุกเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามด้วยขอรับ”

ครั้งนี้ กระทั่งเหวินเหรินเชียนยังอดถามขึ้นไม่ได้ “หน้าตานางเป็นอย่างไร?”

“งดงามมากขอรับ หน้าตาเหมือนปีศาจสาวยั่วเสน่ห์ นางบอกว่านางมาหาชิงเป่ยของภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณเรา”

พริบตาที่คำออกจากปาก แม้เหวินเหรินเชียนจะไร้ปฏิกิริยาใด ทว่าซู่หลีม่อกลับตอบสนองทันที เขารู้จักเจ้าเด็กชิงเป่ยนั่น ส่วนเด็กสาวที่มักอยู่กับเจ้าเด็กนั่นก็คงมีแต่ชิงอวี่

เขาแย่แล้วสิ พี่ใหญ่บอกให้ดูแลชิงอวี่ดี ๆ แล้วนางกลับบ้าคลั่ง บุกรุกเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามได้อย่างไรกัน? เขาก็กำลังนึกอยู่ว่าใครกันหนอที่เย่อหยิ่งจองหอง กล้าแหกกฎสำนัก กระทำการอุกอาจเช่นนี้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนาง!

ใบหน้าหล่อเหลาของซู่หลีม่อเคร่งขรึมขึ้นทันใด “มีใครทำอะไรชิงเป่ยหรือไม่?”

เด็กสาวไม่ใช่คนที่ล่วงเกินคนอื่นโดยไร้เหตุ นางเข้าสำนักมาก็นานแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่านางพยายามเก็บตัวเงียบเชียบขนาดไหน

เขาพูดจบ เจ้าคนส่งข่าวก็อ้ำอึ้งไม่ยอมกล่าว สุดท้ายก็รู้ว่าเรื่องราวร้ายแรง ไม่กล้าปิดบังความจริง เอ่ยเสียงสั่นออกมา “เมื่อคืน เราบังคับให้ชิงเป่ยกินผงละลายกระดูก แล้วเอาเขาไปทิ้งไว้ในป่าพิษ…..”

เขาพูดไม่ทันจบ ซู่หลีม่อก็ส่งลูกเตะออกไปแล้ว ส่งร่างชายผู้นั้นกระเด็นไปไกล จากนั้นคำรามลั่นขึ้น “พวกเจ้านี่เก่งกล้าสามารถจริง ๆ เลยกระมัง!? ทั้งตัวเจ้ายังเป็นศิษย์สายหลักเอง! พวกเจ้าทำให้เจ้าสำนักสำนักละอองหมอกทั้งหลายนับแต่ตอนนี้ไล่ไปจนถึงคนก่อน ๆ อับอายขายขี้หน้านัก! นี่เจ้ากล้าใช้วิธีต่ำช้ากับศิษย์ร่วมสำนักงั้นหรือ!? หากเก่งกล้าสามารถถึงขั้นนั้นทำไมเจ้าไปออกไปใช้วิธีเช่นนี้กับสำนักอื่น ๆ เล่า? หากเจ้าทำ สำนักละอองหมอกอาจได้ครองทั่วทั้งแดนมุกหยกก็เป็นไปได้!”

ถูกดุด่าเช่นนี้เขาจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

ทว่าซู่หลีม่อยังไม่พอใจ ชี้นิ้วไปยังคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่พื้น “นับแต่ที่เจ้าทิ้งคนไร้ทางสู้ที่ถูกป้อนผงละลายกระดูกไว้ที่นั่น นั่นไม่เรียกว่าแกล้งแล้ว นี่มันเรียกว่าพยายามสังหารคน! พวกเจ้าแต่ละคนทำไมถึงโหดเหี้ยมทารุณถึงเพียงนี้กัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าล่วงเกินใครไว้? นางเป็นอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุที่เฟิ่งเทียนเหิงสู้อุตส่าห์ดึงตัวเข้ามาอย่างยากลำบาก หากนางโกรธขึ้นมาแล้วไปสำนักไร้สิ้นสุดหรือหุบเขาไร้กังวลแทนละก็ เจ้าจะนับว่าเป็นคนที่นำความพินาศมาให้สำนักละอองหมอก!”

ว่ากล่าวเสร็จแล้ว ซู่หลีม่อจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปเอ่ยความ “เราคงต้องเลื่อนการคุยเรื่องงานสานสัมพันธ์ออกไปก่อน เราจะปล่อยให้ชิงอวี่เป็นอะไรไปไม่ได้ ต้องหาทั้งสองคนให้พบก่อนงานสานสัมพันธ์ในอีกสองวันจะมาถึงนะขอรับ”

เหวินเหรินเชียนเงียบไปนาน พลันเอ่ยปากขึ้น “เด็กสาวคนนี้มีตัวตนอะไรกันแน่ เจ้าถึงได้โกรธเช่นนี้?”

ในเมื่อพวกเขาเป็นคนของเฟิ่งเทียนเหิง เฟิ่งเทียนเหิงคงสั่งอะไรไว้เป็นแน่

แต่เขาไม่อาจเข้าใจว่าทำไมคนลึกลับเกินหยั่งอย่างเฟิ่งเทียนเหิงถึงมาคลุกคลีกับเด็กสาวอัจฉริยะที่จู่ ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้คนนี้ได้

ลั่วหลานจือหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบเหวินเหรินเชียนที่กำลังฉงน “จริง ๆ แล้วข้าก็สงสัยเหมือนกับท่านเจ้าสำนักนั่นล่ะ แม่นางผู้นั้นมีตัวตนเช่นไรกันแน่? เหตุใดจึงให้ความสำคัญนางนัก? พี่ใหญ่เอาแต่ย้ำว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้นางปลอดภัยไว้เสมอ หากนางได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิด พวกเรามีปัญหากับเขาแน่”

เหวินเหรินเชียนได้ยินแล้วก็ชะงักไป

ซู่หลีม่อและคนอื่น ๆ ติดตามเฟิ่งเทียนเหิงมามากกว่าสิบปี ดังนั้นความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดา แต่เขากลับให้ความสำคัญกับเด็กสาวเหนือคนอื่น ๆ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่น่าตะลึงไม่ใช่น้อย

————————————–

หลังจากชิงอวี่เข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม ในใจก็พลันว่างเปล่าไปชั่วขณะ

อืมมม….. นางรีบร้อนเข้ามาจนลืมอะไรไปหรือไม่? ป่าพิษแห่งนี้….. มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่? เมื่อครู่นางน่าจะถามคนทั้งสามไว้

ตอนที่กำลังนึกเศร้าอยู่นั่นเอง ที่ไหล่ก็รู้สึกหนัก ๆ รู้สึกได้ถึงขนนุ่มที่สัมผัสแก้ม พลันได้ยินน้ำเสียงเขินอายที่ข้างหู “ท่านแม่…”

เสียงร้องนั้นลากคำท้ายยาวเสียงหวาน ฟังแล้วจั๊กจี้นัก ได้ยินแล้วใจเกือบละลาย

ชิงอวี่หันไปมองเจ้าก้อนถ่านบนหัวไหล่ เห็นนัยน์ตากลมโตสีน้ำเงินจ้องกลับมาอย่างน่ารัก นางคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้น “โร่วโร่ว เจ้าออกมาทำไม?”

เจ้าตัวเล็กเหยียดอุ้งเท้านุ่มมาแตะแก้มนาง ไม่ได้ตอบทันที สักพักมันจึงตอบเสียง “ในเมื่อเจ้างูทองจอมดื้อรั้นนั่นหนีออกจากบ้านไปแล้ว ท่านแม่ก็คงจะเหงา แต่โร่วโร่วจะคอยอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่แทนเอง”

ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็ใจอ่อนยวบ อุ้มเจ้าก้อนถ่านไว้ในอ้อมแขนแล้วลูบหัวมันเบา ๆ “เขาเพียงอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย คิดอะไรยังไม่กระจ่างนัก ไม่ได้หนีออกจากบ้านหรอก เมื่อคิดตกแล้วเขาจะกลับมาเอง โร่วโร่วมีเหตุผลมากจริง ๆ ไม่เสียทีที่ท่านแม่รักเจ้านัก”

นัยน์ตาเจ้าอสูรน้อยพลันพร่ามัว เต็มไปด้วยความยินดีปรีดาสะเทิ้นอาย “อืม! โร่วโร่วเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟังท่านแม่ที่สุด~”

ยามเจ้าตัวเล็กเชื่อฟังดีเช่นนี้ เห็นแล้วตัวจะละลายตายไปกับความน่ารัก กระทั่งชิงอวี่ยังเกินจะต้านทาน อุ้มมันมาจูบจนมันเขินไปหมดทั้งตัว หลบเข้าไปในแขนเสื้อข้างหนึ่งของนางไม่ยอมออกมา

อารมณ์เศร้านางพลันจางหาย ชิงอวี่เหลือบมองรอบกาย มีพุ่มไม้เตี้ย ๆ อยู่เต็มไปหมดจนไม่เห็นทางเดิน อีกทั้งนางเข้ามาแล้วยังหลงทิศหลงทาง ไม่รู้ว่าจะไปต่อทางไหนดี

“ท่านแม่ ท่านจะไปที่ไหนหรือ? โร่วโร่วนำทางให้ท่านแม่ได้นะ” เจ้าก้อนถ่านน้อยโผล่หัวออกมาจากแขนเสื้อนาง เอ่ยเสียงอ่อนขึ้น

ชิงอวี่ตาเป็นประกาย นางลืมไปได้อย่างไรกัน!?

นางเจอโร่วโร่วในหุบเขาพญายมไม่ใช่หรือไร? สถานที่คดเคี้ยวราวเขาวงกตเช่นนั้น? ตอนนั้นนางหาทางกลับไปหาเสี่ยวเป่ยและคนอื่น ๆ ไม่เจอ ที่กลับไปได้ก็เพราะได้เจ้าตัวเล็กคอยนำทางให้นั่นเอง

ดังนั้นเจ้าตัวเล็กนี่คงจะเก่งกาจเรื่องแกะรอยมากเป็นแน่!

ชิงอวี่กอดเจ้าตัวเล็กแล้วพรมจูบทั่วร่างมันอีกครา ทำเอาเจ้าตัวเล็กมึนงงไปหมด นางเอ่ยเสียงอ่อนขึ้น “โร่วโร่วเป็นดาวนำโชคของท่านแม่จริงเชียว ชีวิตท่านน้าของเจ้าคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว นับเป็นภารกิจสำคัญยิ่งนัก!”

โร่วโร่วกระพริบดวงตากลมโตแล้วพยักหน้ารับอย่างใสซื่อ “โร่วโร่วจะช่วยท่านแม่ตามหาท่านน้าอย่างสุดความสามารถ”

โอ๊ย ถึงมันจะไม่ชอบท่านน้าที่คอยตื๊อจะเล่นกับมันอยู่ตลอด แต่เห็นว่าเขาแอบเอาขนมมาให้ทุกครั้งหรอกนะ จะช่วยสักครั้งก็แล้วกัน!

ร่างตุ้ยนุ้ยกระโดดลงจากไหล่ชิงอวี่ก่อนเดินนำทางไป จมูกน้อย ๆ ดมไปจนทั่ว ดูเหมือนรู้หน้าที่เป็นอย่างดี ชิงอวี่เลิกคิ้วมองยิ้ม ๆ ก่อนเอ่ยถาม “โร่วโร่ว ทำไมเจ้าทำตัวเหมือนสุนัขเลย เจ้าแกะรอยคนจากกลิ่นเหมือนกันหรือ?”

หากเป็นแต่ก่อน เจ้าตัวเล็กคงโวยวายไปแล้ว ทว่าครั้งนี้มันกลับนิ่งไปแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านแม่ บนดินมีร่องรอยท่านน้า มีกลิ่นเลือดแรงมาก”

รอยยิ้มมุมปากชิงอวี่แข็งค้างไป “เลือดเสี่ยวเป่ยหรือ?”

เด็กสาวที่ยังคลี่ยิ้มอบอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในพริบตา

โร่วโร่วรีบอธิบายทันที “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล เหมือนจะไม่ใช่เลือดท่านน้าหรอก แต่เป็นเลือดของอสูรกับมนุษย์คนอื่น ๆ ดูเหมือนจะเพิ่งมีการฆ่าสังหารกันมา คนหลายคนมาตายที่นี่…..”

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว “ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอก จะมีคนอื่นอยู่ได้อย่างไร? จากที่เจ้าว่ามา เหมือนจะมีจำนวนมากเสียด้วย? แม้สามคนข้างนอกนั่นจะประหลาดพิลึกไปสักหน่อย แต่กลิ่นอายก็เข้มข้น เป็นจอมยุทธ์มีฝีมือ ไม่เหมือนพวกศิษย์สายหลักขี้โม้ขี้อวดพวกนั้น จะมีใครผ่านคนเฝ้ายามทั้งสามนั่นมาได้กัน?”

เจ้าตัวเล็กมีความสามารถจริง ๆ ชิงอวี่ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่มันดูเหลือเชื่อมากก็เท่านั้น

โร่วโร่วย่นจมูกกล่าวเสียงเล็ก “ท่านแม่ ไม่ว่าคนข้างนอกนั่นจะเก่งขนาดไหน แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาด้านในเล่า?”

“เจ้าจะบอกว่าพวกที่แอบเข้ามามีพลังบำเพ็ญสูงกว่าคนประหลาดทั้งสามนั่นหรือ?”

“ไม่รู้ว่าท่านแม่รู้จักวิชาลับหรือไม่ เมื่อร่ำเรียนแล้วจะสามารถปกปิดร่างกาย ปิดกั้นกลิ่นอายได้ แม้จะเดินผ่านหน้าก็ไม่อาจเห็น แต่วิชานี้มีจุดอ่อน ก็คือห้ามบาดเจ็บหรือหลั่งโลหิตเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นวิชาจะสลาย คนมีใครในกลุ่มได้รับบาดเจ็บแล้วถูกพบตัวเข้า ทำให้ถูกพวกอสูรในนี้ล้อมโจมตี” โร่วโร่วอธิบาย

ชิงอวี่รู้สึกหนังตากระตุก ลางสังหรณ์ไม่ดีเท่าไรนัก อดยกมือขึ้นนวดขมับไม่ได้ “คนพวกนั้นอยู่หรือตายข้าไม่สน ข้าอยากรู้เพียงว่าเสี่ยวเป่ยอยู่ที่ไหน ยังอยู่ดีมีสุขหรือไม่ก็เท่านั้น”

โร่วโร่วกระพริบตากลมโต มองหน้านางด้วยความกังวล “ท่านแม่ เรื่องที่ข้าพูดคือเรื่องท่านน้า ท่านน้าสบายดี แต่ตอนนี้อยู่กับพวกคนที่ถูกอสูรไล่ล่า ไม่ได้เผชิญอันตรายใหญ่หลวงหรอก”

ลางสังหรณ์นางแม่นยำจริง เสี่ยวเป่ยถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับพวกเขาจนได้

“ตรวจหาทิศทางของเขาแล้วนำทางไปโดยเร็วเถอะ!” ชิงอวี่รีบบอกเจ้าตัวเล็ก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นหรือไม่จึงมีคนกลุ่มใหญ่รุกล้ำเข้ามายังสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอก หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ว่าจะมีเจตนาอะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจ นั่นคือสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ซุกซ่อนความลับใดไว้เป็นแน่

โร่วโร่วพยักหน้าตอบ “ได้เลยท่านแม่”

ที่อีกฟากหนึ่งของสถานที่ต้องห้าม ชิงเป่ยกำลังถูกหิ้วร่างราวกระสอบทราย พาดอยู่บนร่างของชายร่างกำยำดั่งวัวคนหนึ่ง

เขากำลังพุ่งตัวอย่างรีบเร่ง ส่งผลให้ทุกสิ่งอย่างในท้องพากันปั่นป่วนไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะรู้สึกคลื่นเหียนเท่าใดก็ไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมาอีกแล้ว

ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดขาวอย่างน่ากลัว น้ำเสียงยามร้องบอกอ่อนแรงนัก “เอ่อ พี่ชาย ท่านวางข้าลงเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่หนี ท่านแบกข้าไว้เช่นนี้มันทรมานข้านัก…..”

“หุบปาก เจ้าพูดอีกจ้าจะโยนเจ้าให้อสูรนั่นกิน!” ชายร่างใหญ่ไม่หยุดฝีเท้า ตอบกลับเสียงไม่เป็นมิตร

ชิงเป่ยหุบปากเงียบทันที ในเมื่อใช้เหตุผลไม่ได้ก็เก็บแรงไว้ดีกว่า

เขาเหลือบมองชายกว่าสิบคนที่อยู่โดยรอบ กำลังพุ่งตัวไปเป็นกลุ่ม เริ่มใคร่ครวญข้อมูลที่มี คนพวกนี้….. เป็นใครกันหนอ?

สามารถแอบเข้ามายังสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอกได้โดยไม่ถูกพบเช่นนี้ อีกทั้งยามประมือกับพวกอสูรเช่นนั้น ทำเอาเขาตกใจนัก

อสูรนับร้อยพุ่งเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง คนพวกนี้มากสุดก็มีเพียงสามสิบคน กระทั่งสู้กันดุเดือดเลือดพล่านเช่นนั้นแล้วก็ยังเอาชนะอสูรทั้งหมดไปได้ ทั้งยังเหลือคนกว่าสิบคนที่ไร้รอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่าฝีมือสูงส่งขนาดไหน

ชิงเป่ยอดสงสัยไม่ได้ว่าคนมากฝีมือพวกนี้คิดอะไรจึงมาที่นี่ได้

“ท่านกำลัง….. ตามหาของบางอย่างอยู่หรือ?”