บทที่ 190 พบราชันย์นักฆ่าอีกครั้ง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 190 พบราชันย์นักฆ่าอีกครั้ง

ใครจะคิดว่าพูดยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งเฮือก ชายร่างใหญ่พลันเดินทับกับดักที่ซ่อนอยู่ เกือบถูกซัดร่างกระเด็นไปแล้ว

น้ำเสียงทุ้มดูเข้มงวดของชายคนนั้นดังขึ้นตามมา “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม หากยังอยากรอดก็หุบปากไปเสีย”

ชิงเป่ยหุบปากฉับทันใด “…..”

อารมณ์ร้ายจริง ๆ ดูเหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่องเลย

หากไม่ใช่เพราะผงละลายกระดูกยังไม่สลายไปจนหมดละก็ เขาก็คงไม่ต้องทนทุกข์เช่นนี้ เขาคลื่นเหียนวิงเวียนแทบแย่จนราวกับร่างจะสลายแล้ว

แต่เจ้าพวกนั้นกล้าวางแผนร้ายใส่เขาเช่นนี้ หากออกไปได้ เขาจะจัดการเสียให้เข็ด เอาให้ร้องไห้หามารดาเลย คิดว่าเขาเป็นคนรังแกง่ายหรือ?

ชิงเป่ยกำลังคิดวางแผนแก้แค้นยามออกไปได้อยู่ ชายที่แบกเขาก็พลันหยุดฝีเท้า คนอื่น ๆ ก็หยุดไปเช่นกัน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นหรือ?

เป็นภาพที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง

แม้เขาจะไม่เคยเข้ามาในสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอกมาก่อน แต่เพราะความสามารถไม่เหมือนใครของเขา ยามถูกลอบโจมตีแล้วเอามาโยนทิ้งที่นี่จึงไม่ได้ตกใจมากนัก เพราะสภาพแวดล้อมอันตรายและสิ่งที่ซ่อนเร้นในความมืดต่างเป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นมาแล้ว

ตรงหน้าพวกเขาคือพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เป็นป่าโคลนหนาแน่น หากไม่ได้รู้มาล่วงหน้าเรื่องสภาพแวดล้อมของที่นี่แล้วละก็ กระทั่งยอดฝีมือก็อาจเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ได้ง่าย ๆ

พื้นที่ป่าโคลนครอบคลุมกว้างขวาง ไม่อาจใช้อะไรข้ามไปได้เลย กระทั่งขนนกชิ้นหนึ่งตกลงไปยังถูกมันดูด พื้นผิวมันไม่อาจรับน้ำหนักใดได้

อีกทั้งยังมีไอพิษลอยตัวอยู่เหนือบ่อโคลน มันไร้สีไร้กลิ่นใด หากสูดดมเข้าร่างก็จะตายภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา ดังนั้นการจะข้ามไปนั้นก็ยากพอ ๆ กับการขึ้นสวรรค์นั่นแล

ภายในสถานที่ต้องห้าม มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถข้ามป่าโคลนไปได้อย่างปลอดภัย นั่นคือผีเสื้อหนามวิญญาณคนตาย

ก็ตามชื่อของมัน มันเป็นสัญลักษณ์แทนความตาย มักปรากฏขึ้นในสถานที่ที่ชีวิตกำลังสูญสลาย หรือสถานที่ที่มีกลิ่นความตายรุนแรง ป่าโคลนอันตรายเหล่านี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่แห่งความตาย มีศพมากมายนับไม่ถ้วนถูกฝังดูดอยู่ภายใต้ เหมาะกับจะเป็นรังของผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายให้ใช้ชีวิตขยายพันธุ์ที่สุดก็ว่าได้

ผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายนั้นสีดำตลอดทั้งตัว เว้นเสียแต่ลวดลายรูปขนนกสีแดงเข้มบนปีกเท่านั้น

และตอนนั้นเอง เบื้องหน้าคือบ่อโคลนสุดลูกหูลูกตา กลับมีซากผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายนอนตายอยู่จนทั่ว ใช้คำว่านับหมื่นอาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำ

ใคร….. ใครกันสามารถสังหารผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายได้มากขนาดนี้? เพื่อจะข้ามป่าโคลนไปได้จึงสังหารมันจนศพกองพะเนิน จากมันใช้ศพพวกมันเป็นทางข้ามไปอีกฝั่งเช่นนี้

“ดูท่าจะมีคนมาถึงและข้ามไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มหน้าตางดงามดั่งสตรีเอ่ยเสียงหยันพลางหัวเราะ

“แม้ผีเสื้อหนามวิญญาณคนตาย จะเป็นอสูรระดับต่ำ แต่ก็อยู่เป็นฝูง หากมีใครกล้าทำให้มันโกรธ มันก็จะเข้าโจมตีเป็นฝูง กัดกินศัตรูจนเหลือเพียงกระดูก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ายั่วโมโหพวกแมลงเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นมันนัก อีกทั้งจะสังหารผีเสื้อหนามวิญญาณคนตาย หากเป็นฝีมือของคนกลุ่มใหญ่ข้าก็คงไม่เอ่ยถึง แต่ดูจากแผลบนร่างผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายพวกนี้แล้ว….. รอยเหมือนกันหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือคนคนเดียวกัน”

ชิงเป่ยประเมินสถานการณ์อย่างละเอียดด้วยการสังเกตผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายที่อยู่รอบป่าโคลน ครู่หนึ่งจึงค่อย ๆ เอ่ย “เป็นรอยดาบ คนคนนี้คงจะเชี่ยวชาญวิชาดาบ มีความว่องไวนัก สังหารในการซัดครั้งเดียว อีกทั้งยังเห็นว่าแผลดาบนั้นอยู่จุดเดียวกันหมด เห็นได้ชัดว่าแม่นยำมาก คิดว่านับตั้งแต่ที่ผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายสัมผัสถึงผู้บุกรุกกระทั่งมันตาย เวลายังผ่านไปไม่ถึงห้าชั่วลมหายใจด้วยซ้ำ คนที่เก่งกาจขั้นนี้ ในดินแดนมีไม่มากกว่าสามคนเป็นแน่”

ได้ยินคำเขาแล้ว คนทั้งกลุ่มก็มองเขาเปลี่ยนไปทันที

ชายร่างกำยำที่หิ้วเขามา ปกติจะดุร้ายกับเขาตลอด ครั้งนี้กลับไม่ตวาดโกรธเคืองใส่เขา แต่ถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหนู เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”

“ข้ามองก็รู้แล้ว!” ชิงเป่ยว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าก็พยายามถามท่านอยู่ ว่าพวกท่านกำลังหาอะไร ข้าอาจจะช่วยพวกท่านได้! ข้าเองก็มีประโยชน์อยู่นะ”

ท่ามกลางกลุ่มคนกว่าสิบ ร่างสูงของชายคนหนึ่งพลันเดินเข้ามา ดูอายุราวยี่สิบกว่า ๆ มีนัยน์ตาน่ามอง ทว่ากลับมีรอยแผลเป็นแนวนอนอยู่ที่หน้าผากข้างหนึ่งลากยาวไปจนถึงที่คิ้วด้านขวา ทำให้หน้าตาดูดุดันขึ้นไม่น้อย

เขาใช้คางพยักพเยิดให้ชายร่างกำยัง เป็นเชิงให้ปล่อยชิงเป่ยลง

เมื่อเท้าแตะพื้นแล้ว ชิงเป่ยก็ยืดเส้นยืดสายสักหน่อย รู้สึกดีนักที่ไม่ได้ถูกหิ้วไปมาราวกระสอบทรายอีก เขาไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเขาขังตนเองอยู่บนเก้าอี้เข็น ไม่ขยับกายแกล้งทำเป็นพิการมานานหลายปีได้อย่างไร เขาไม่คิดอยากถูกจำกัดการเคลื่อนไหวอีกต่อไปแล้ว

ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนหน้าพลันยกยิ้มขึ้น เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนไร้พิษภัย ทว่าน้ำเสียงกลับดูเป็นผู้ใหญ่แหบพร่าน้อย ๆ ต่างจากหน้าตาเขาอย่างสิ้นเชิง เป็นเสียงคล้ายชายหนุ่มที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน หากฟังแต่เสียงอย่างเดียวก็คงจะนึกว่าเขาเป็นชายวัยกลางคน อายุราวสี่สิบห้าสิบปีเป็นแน่

“น้องชายผู้นี้มีความรอบรู้ไม่น้อยเลย เจ้ามาสำนักละอองหมอก น่าจะคุ้นเคยกับสถานที่มากกว่าพวกเราสินะ”

ความหมายของเขาก็คือต้องการให้ชิงเป่ยเป็นคนนำทาง ไม่ว่าจะมีอันตรายใด คราวนี้เขาจะต้องเป็นคนเผชิญมันก่อน คล้ายเป็นเหยื่อทดลองก่อนคนอื่น

ชิงเป่ยยักไหล่ “ข้าเป็นศิษย์ใหม่ เพิ่งเข้ามาไม่ทันถึงปี ยังเดินทั่วสำนักใหญ่ไม่ทั่วด้วยซ้ำ สถานที่ต้องห้ามนี่ยิ่งไม่เคยเหยียบเข้ามา”

เมื่อเห็นว่าดวงตาอีกฝ่ายเริ่มเย็นเยียบลง ชิงเป่ยจึงคลี่ยิ้ม “แต่ถึงข้าจะไม่เคยมาสถานที่ต้องห้ามนี่มาก่อน ข้าก็ยังสามารถออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยได้”

ชายหนุ่มจึงพยักหน้ากล่าว “ข้ามองเจ้าไม่ผิด แต่พวกเราไม่ได้ต้องการเช่นนั้น มีของบางอย่างที่เราต้องนำออกมาจากที่นี่”

ชิงเป่ยเอ่ยต่อ “ข้าสงสัยนัก ขอถามได้หรือไม่ว่าพวกท่านคิดจะเอาอะไรไป?”

ชายคนนั้นหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะหันไปมองป่าโคลนที่มีซากผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายนอนเกลื่อน “เราค่อยเดินไปคุยไป มีคนมุ่งหน้าไปก่อนพวกเราแล้ว ซากผีเสื้อหนามวิญญาณคนตายคงอยู่ได้อีกราวสองเค่อเป็นอย่างมาก หากสายเกินไปก็คงข้ามไปไม่ได้แล้ว”

พูดจบเขาก็ดีดปลายเท้าเล็กน้อย ร่างสูงเหินข้ามป่าโคลนนำไป คนอื่น ๆ ก็เริ่มตามไปติด ๆ

คนพวกนี้หาอะไรอยู่กันแน่? สถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอกซ่อนอะไรไว้งั้นหรือ ถึงได้นำพาเอาจอมยุทธ์ฝีมือดีเช่นนี้เข้ามาได้?

ชิงเป่ยตาส่องประกายวาบหนึ่ง เขาคิดถึงสถานการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ หากคนพวกนี้คิดร้ายต่อสำนักละอองหมอก เขาย่อมต้องหยุดยั้งพวกเขาแน่

———————————————-

อีกฝั่งหนึ่ง ชิงอวี่เดินตามโร่วโร่วมานานแล้ว นางไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน แต่เจ้าตัวเล็กจู่ ๆ ก็หยุดเดินเสียอย่างนั้น

ชิงอวี่จึงเลิกคิ้วถาม “อะไรกัน? เสี่ยวเป่ยอยู่ในนี้หรือ?”

เจ้าตัวเล็กบนพื้นส่ายหัว ก่อนจะชายตากลมโตขึ้นมองนาง “ท่านแม่ เราเดินมากันนานแล้ว โร่วโร่วหิวจังเลย”

“เจ้ายังทำภารกิจไม่เสร็จ แต่กลับคิดเรื่องกินแล้วงั้นหรือ?” ชิงอวี่ว่า นัยน์ตาติดหยอกล้ออยู่เล็กน้อยยามมองเจ้าตัวเล็ก

โร่วโร่วยื่นขาหน้าออกไปคุ้ยดินเล็กน้อย ห้างสั้นกุดของมันส่ายดุ๊กดิ๊กซ้ายขวาอย่างน่ารักขณะพยายามต่อรอง “ท่านแม่ ข้ากินอิ่มเมื่อไหร่ ข้าก็จะมีแรงทำงานอย่างไรเล่า!”

ชิงอวี่จนใจกับเจ้าตัวตะกละน้อยนี่จริง ๆ มาพลาดโอกาสในจังหวะสำคัญเช่นนี้ นางกัดริมฝีปากคิดก่อนจะยอมแพ้ไป ใครใช้ให้มันน่ารักขนาดนี้กัน? ว่าอะไรไม่ลงจริง ๆ

“เอาล่ะ งั้นเจ้าก็เร่งมือ อยากกินอะไรก็ไปจับมาเลย”

แม้เจ้าตัวเล็กจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงง่าย แต่ก็เลือกกินมาก หากอะไรที่ไม่ใช่เนื้อก็ไม่กิน แต่มันก็ล่าเก่งนัก อย่าเห็นว่ามันเป็นเพียงเจ้าก้อนถ่านกลม ๆ เท่านั้น มันสามารถออกล่าอสูรวิญญาณที่ตัวใหญ่กว่ามันนับร้อยเท่าได้ไม่ยากเลย

อย่างที่คิด ไม่นานเจ้าก้อนถ่านก็กลับมาพร้อมกับลากกระต่ายหูยาวตัวหนึ่งมาด้วย

กระต่ายตัวนั้นตัวโชกเลือดแต่ยังไม่ตาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวัง ไม่อยากเชื่อว่าตนจะตกเป็นเหยื่อของเจ้าก้อนถ่านตัวนี้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด

โร่วโร่ววางร่างกระต่ายไปข้างกายชิงอวี่ กะพริบตามองนางราวกับอยากให้นางชม

ชิงอวี่หัวเราะพลางส่ายหน้า “ทำไมทำตัวเหมือนกับเจ้ายูนิคอร์นเลยเล่า? ชอบกินกระต่ายพอกันเลย”

โร่วโร่วเอียงคอไปข้างหนึ่ง ตอบไปตามตรง “จริง ๆ ข้าไม่ได้ชอบมากหรอก แต่มันจับง่าย ท่านแม่อยากให้ข้ารีบลงมือนี่นา”

เมื่อเจ้ากระต่ายที่กำลังนอนพะงาบ ๆ ได้ยินว่ามันจับง่ายก็โกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก เจ้าก้อนถ่านนี่นิสัยไม่ดี!

มันถูกจับมาแล้วเช่นนี้ ยังต้องมาถูกกระทำเหยียดหยามเช่นนี้อีกหรือ?

ชิงอวี่ไม่สนใจเจ้าเจ้าตัวเล็กอีก เดินไปทำความสะอาดตระเตรียมกระต่ายแทน นางยัดเครื่องเทศเข้าไปในเนื้อ ก่อนจะก่อกองไฟเตรียมย่างเนื้อ

ใบหน้าเจ้าตัวเล็กตั้งตารอคอยเป็นอย่างมาก มันนั่งมองกระต่ายตัวอ้วนฉ่ำน้ำถูกย่างอยู่บนไฟ ในใจตื่นเต้นนัก ราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมานาน ทั้งที่จริง ๆ แล้วก่อนออกมาจากมิติของชิงอวี่มันก็กินไปแล้วไม่น้อย

เมื่อเอาใจเจ้าตัวเล็กแล้ว ชิงอวี่ก็เงยหน้าขึ้นมองพื้นที่ พวกนางเดินมานานเท่าไหร่กันแล้วนะ? ทำไมยังไม่ออกไปจากเขตต้นไม้พวกนี้สักที? โร่วโร่วพึ่งพาได้จริงหรือไม่กันแน่…..

แต่ว่ากันว่าสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้อันตรายมาก เต็มไปด้วยกับดักทั่วทุกที่ไม่ใช่หรือ? ทำไมจึงเงียบงันมาตลอดทางเลยเล่า? ไม่เพียงไร้ร่องรอยอันตรายใด แต่นางไม่เห็นอสูรวิญญาณสักตัว มีก็แต่ตัวที่ถูกย่างอยู่นี่ล่ะ

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เนื้อที่ย่างส่งเสียงอย่างน่ากินน่าอร่อย พอย่างแล้วเนื้อก็กลายเป็นสีทองฉ่ำ ชิงอวี่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เงยหน้าขึ้นจ้องทางตรงหน้านิ่ง

นางได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ มาจากทิศนั้น มันกำลังเข้ามาใกล้ กลิ่นอายอ่านได้ยาก นับเป็นจอมยุทธ์ฝีมือเกินหยั่งที่เคล้ากลิ่นเลือดหนาแน่นอย่างที่นางไม่เคยพบมาก่อน

โร่วโร่วย่นจมูกยุกยิก กลิ่นเลือดแรงเช่นนี้ทำเอามันหมดความอยากกินของอร่อย บางครั้งการที่มีจมูกดีก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก

“ท่านแม่…..” เจ้าตัวเล็กร้องเตือน

ชิงอวี่ลูบหัวปลอบ “ไม่เป็นไร อาจแค่คนผ่านมา ไม่ได้คิดร้ายอะไรก็ได้”

ตลกแล้ว ผ่านมากระไรเล่า สถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอกช่างเป็นสถานที่มีชื่อเสียงเสียจริง เชื้อเชิญแขกที่ไม่ได้รับเชิญมามากมายเช่นนี้

ครู่หนึ่ง เจ้าของฝีเท้าก็ปรากฏตัวให้เห็น เขาสวมผ้าคลุมยาวสีหมึก ในแขนเหมือนหิ้วอะไรสักอย่างที่ห่อด้วยผ้าผืนยาว

ชุดที่เขาใส่ทำให้นึกถึงนักฆ่าหรือมือสังหาร แต่กระนั้นก็เห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจน เขาไม่กลัวว่าจะมีใครจำหน้าเขาได้เลยหรือ? อีกทั้งเขาหิ้วอะไรมาใหญ่โตเสียขนาดนั้น ชิงอวี่คิดว่าคงเป็นของจากในสถานที่ต้องห้ามเป็นแน่

ชิงอวี่มองชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่เมื่อเห็นเงาร่างนั้นชัด ๆ เข้า นางกลับชะงักไปในพลัน

ทำไม….. ถึงเป็นเขาได้?