ตอนที่ 143 เฝ้ามอง

มู่อี้เฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเงียบๆและเริ่มรู้สึกสงสารทั้ง 5 คนขึ้นมาทันที ถ้าหากไม่มีคนอื่น ที่เข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาคงต้องกลายเป็นหนึ่งในผีดิบที่เดินไปมาในลานกว้างแห่งนี้อย่างแน่นอน

แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าชวีหยางหายเป็นปกติรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน แต่แม้ว่าชวีหยางจะไม่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เพียงแค่เปยหมิงก็พอที่จะสังหารทุกๆคนแล้วโดยที่ทั้ง 5 คนไม่มีโอกาสหนีไปไหนได้เลย

ชวี่หยางยังคงยืนนิ่งอยู่ในตอนนี้ ฉงเจียอี่ถือไม้เท้าในมือของเขาและดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อยจนดูราวกับว่าเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ผ่านมาที่นี่เท่านั้น ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ที่ถูกพบเจอตัวคือมู่อี้ จนเขารู้สึกตื่นตระหนกและคิดหาทางช่วยเหลือมู่อี้มากมาย แต่ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เขาได้เห็นในตอนนี้จะเป็นกลุ่มผู้มาเยือน 5 คนที่เขาก็ไม่รู้ว่าคือใคร

ฉงเจียอี้คิดว่าทั้ง 5 คนนี้คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยและเขาเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะช่วยเหลือคนเหล่านี้เลย แต่เขากําลังคิดว่าตัวเองจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่ดี เพราะไม่ว่าอย่างไรชื่อเสียงของเขาก็อยู่ในด้านที่ไม่ดีอยู่แล้วไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เข้าร่วมกับชวีหยางและแฝดผีแห่งเหอเจี้ยน

แม้กระทั่งตอนนี้ฉงเจียอี้ก็ไม่ได้คิดว่าเขาได้เปลี่ยนไปเป็นคนดีแล้ว เขาก็แค่มีเจ้านายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเท่านั้นและมู่อี้ก็ไม่เคยบีบบังคับว่าเขาต้องใช้ชีวิตอย่างไร

ไม้เท้าที่มู่อี้บอกว่ามันไร้ประโยชน์อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ เมื่อรวมกับรูปลักษณ์ของเขามันทําให้เขาดูเหมือนกับชายชราธรรมดาคนหนึ่งมากขึ้นไปอีก

และชวีหยางก็อาจจะทราบถึงความพิเศษของไม้เท้าอันนี้แล้วก็เป็นได้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ชั่วร้ายแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนที่ละโมบโลภมากเสมอไป แต่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าของสมบัติชิ้นนั้นด้วยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดไม้เท้าอันนี้ก็เป็นเพียงอาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มเท่านั้น การที่เขาสังหารฉงเจียอี้และแย่งชิงมันมาคงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก และถ้าหากเรื่องนี้กระจายออกไปคงไม่มีใครอยากจะเข้าร่วมกับชวีหยางแน่นอนในอนาคต

ดังนั้นแม้จะเป็นคนที่ชั่วร้ายคนหนึ่ง แต่ชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่สําคัญ

แน่นอนว่าถ้าหากไม้เท้าอันนี้คืออาวุธวิญญาณที่แท้จริง เขาย่อมไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองอีกต่อไปและพร้อมที่จะแย่งชิงมันมา ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่ามันมีค่ามากแค่ไหน

“เจ้าจงใจปล่อยข่าวลวงเพื่อหลอกพวกข้างั้นหรือ?” หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ถือเล่อก็ตะโกนออกมาพร้อมกับจ้องมองมาที่ชวี่หยาง

สีหน้าของคนที่อยู่รอบๆตัวเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

เดิมที่พวกเขาคิดว่าตนเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าหากว่าพวกเขาสามารถสังหารชวีหยางและทําลายชวี่ยจวงไปได้พวกเขาก็จะได้ชื่อเสียงและเงินทองมากมาย แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะพาตัวเองเข้ามาตายในกับดัก

ถ้าหากพวกเขารู้ว่าชวีหยางไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย คงไม่กล้าบุกเข้ามาที่นี่อย่างแน่นอน

“นั่นก็เพราะตัวเจ้าเองไม่ใช่หรือ?” สีหน้าของชวี่หยางแสดงความดูถูกเหยียดหยามออกมามากยิ่งขึ้นและเขาขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับคนกลุ่มนี้จึงโบกมือของตนเองออกไปทันที และหลังจากนั้นผีดิบมากมายที่อยู่ในลานกว้างแห่งนี้ก็ถาโถมเข้ามาหาทั้ง 5 คนนี้ทันที

ในตอนนี้ทั้ง 5 คนดูหวาดกลัวอย่างยิ่ง พวกเขาไม่มีความคิดที่จะเอาชนะศัตรูอีกต่อไปและคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากที่นี่เท่านั้น

แต่แม้ว่าพวกเขาจะถือว่าเป็นมือใหม่ในยุทธภพแห่งนี้ พวกเขาก็รู้ดีว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่ตัวเองจะรอดไปได้และการหนีไปทั้งแบบนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน

“ชวี่หยาง ท่านพ่อของข้าคือประมุขของเมืองลั่วหยาง ถ้าหากเจ้ากล้าทําร้ายข้าแม้แต่ปลายเส้นผม กองทัพของท่านพ่อข้าจะบุกมาที่ชวี่ยจวงแห่งนี้แน่นอน” ผีดิบจํานวน มากกําลังล้อมรอบฉือเล่อและคนอื่นๆเอาไว้ในตอนที่ชายหนุ่มกําลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดนั้นหญิงสาวที่อยู่ข้างๆก็ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งและใบหน้าเล็กๆของนางก็เริ่มซีดขาวและร่างกายของนางก็มีอาการสันเล็กน้อย

แม้ว่าจะแอบเฝ้ามองอยู่แต่ม่อี้ก็อดส่ายศีรษะขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินคําพูดของหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวผู้โง่เขลาคนนั้นคิดจริงๆหรอว่าชื่อเสียงของบิดาของนางจะทําให้ชวี่หยางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้? แค่การดํารงอยู่ของชวี่ยจวงก็มากพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าพวกเขาไม่เคยหวาดกลัวผู้ใด ถ้าหากความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่มีอยู่จริงเช่นนั้นชวี่ยจวงก็คงถูกทําลายไปนานแล้ว

และกองทัพของเมืองลั่วหยางเห็นได้ชัดว่าไม่เคยอยู่ในสายตาของชวี่หยางเลย

หลังจากได้ฟังคําพูดของหญิงสาวชวีหยางก็ยิ้มอย่างเย็นชาขึ้นมาทันที “บุตรสาวของประมุขเมืองลั่วหยางงั้นหรือ? แม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตรสาวของฮ่องเต้ เจ้าก็ไม่มีทางรอดจากที่นี่ไปได้แน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หญิงสาวก็แสดงสีหน้าที่สิ้นหวังออกมาทันที “ข้าขอท้าประลองกับเจ้า!”

“ท่านใจเย็นก่อนเถอะ!”

โชคดีที่ถือเล่อยังไม่ได้เสียสติไปในตอนนี้ กลับกันในช่วงเวลาที่วิกฤตเช่นนี้เขากลับดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง เขาคว้าเอาไว้ที่แขนของหญิงสาวคนนั้นและตะโกนออกมาทันทีพร้อมกับมืออีกข้างหนึ่งที่ ทําสัญญาณให้หญิงสาวคนนั้นเงียบก่อน ท่าทีของเขาในตอนนี้แตกต่างจากตอนแรกไปอย่างสิ้นเชิงราวกับคนละคน

นักพรตเต๋ที่อยู่ข้างๆเขาก็เริ่มลงมือแล้ว แส้หางม้าที่อยู่ในมือของนักพรตเตผู้นี้ก็เริ่มโบกสะบัดขึ้นมาทันที

มีคํากล่าวเอาไว้ว่าในยุทธภพแห่งนี้ผู้ใดที่ใช้แส้หางม้าเป็นอาวุธย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

แม้ว่าคํากล่าวเช่นนี้อาจจะเกินจริงไปบ้างแต่ผู้ที่กล้าใช้แส้หางม้าเป็นอาวุธย่อมไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ความจริงแล้วมู่อี้ก็รู้สึกสนใจในตัวนักพรตเต๋ผู้นี้ด้วยเช่นกัน เพราะระดับพลังของอีกฝ่ายก็อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ ดูจากช่วงอายุของเขาดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้วยเช่นกัน

ไม่รู้ว่านักพรตเต๋ผู้นี้ศึกษาวิชาของลัทธิเต๋มาจากที่ใด

ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยพูดออกมาสักคําและทําตัวให้ดูไร้ซึ่งพลังมากที่สุดแต่ไม่ว่ายังไงมู่อี้หรือชวีหยางก็ไม่มีทางละความสนใจไปจากเขาได้อย่างแน่นอน นักพรตเต๋าที่อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจไม่ใช่คนที่จะพบเจอได้ง่ายๆ

ในตอนที่ชวีหยางได้เห็นนักพรตเต๋คนนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงนึกถึงมู่อี้ขึ้นมาและมู่อี้ก็แต่งตัวเหมือนกับนักพรตเต๋คนนี้เพียงแต่ว่ามู่อี้อายุน้อยกว่าเท่านั้น เขานึกถึงความเจ็บปวดและความสูญเสียที่ได้รับจากมู่อี้ สายลมที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรงเริ่มเบาลงไปแล้วแต่จิตใจของเขากับร้อนรุ่มมากยิ่งขึ้นและคอยจับตามองนักพรตเต๋คนนี้อย่างใกล้ชิด

การปล่อยให้ฝูงผีดิบรุมโจมตีทั้ง 5 คนนี้ บางทีอาจจะเป็นการทดสอบของชวี่หยาง

ในตอนนี้นักพรตเต๋คนนี้เริ่มลงมือแล้ว แส้หางม้าที่อยู่ในมือของเขาสะบัดเบาๆ และทันใดนั้นก็มีเส้นไหมสีขาวพุ่งออกไปและพัวพันร่างของผีดิบที่กําลังล้อมรอบเข้ามาทันที

“พรึ่บ!”

ทันใดนั้นนักพรตเต๋ก็ขยับมือเป็นท่าทางที่แปลกประหลาดและเส้นไหมสีขาวของแส้หางม้าก็เหมือนจะกลายเป็นใบมีดที่แหลมคม ต่อจากนั้นร่างกายของผีดิบที่โดนเส้นไหมพัวพันร่างกายอยู่ก็ขาดออกเป็นชิ้นๆทันที

เมื่อเห็นเช่นนี้ดวงตาของมู่อี้ก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย นักพรตเต๋คนนี้ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือคนหนึ่งแต่การที่เขาสามารถสังหารผีดิบพวกนี้ได้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก ในทางกลับกันวิกฤตการณ์ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ในเวลาเดียวกันเปยหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆชวีหยางก็เริ่มลงมือแล้ว ร่างกายของนางพุ่งเข้าไปหานักพรตเต๋าคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้มือขวาของนางยังคงได้รับบาดเจ็บและเล็บของนาง ก็หักไปครึ่งหนึ่ง แต่ในตอนนี้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว

“ย่าห์!”

ในเวลาเดียวกันเมื่อเปยหมิงพุ่งตัวไปนั้น ถือเล่อที่ดึงรั้งร่างกายของหญิงสาวเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ปล่อยมือของเขาทันทีและแสงสีเงินก็พุ่งเข้าไปโจมตีเปยหมิงอย่างรวดเร็ว

“ติ๊ง”

เปยหมิงยกมือของนางขึ้นมารับแสงสีเงินที่พุ่งเข้ามา จนท้ายที่สุดแสงสีเงินนั้นก็เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของมัน มันคือใบมีดเล็กๆที่เบาและบางราวกับใบหลิวและพลังที่แฝงมาในใบมีดนี้ก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนแอเลย…

“ตายซะ!”

ทันใดนั้นหญิงสาวคนก่อนหน้านี้ก็ตะโกนออกมาทันที นางสะบัดมือขวาออกไปพร้อมกับผ้าไหมสีขาวที่พุ่งออกไปจากแขนเสื้อของนาง นางพุ่งเข้าไปหาเปยหมิงทันทีพร้อมกับเสียงโลหะปะทะกันที่ดังขึ้นมา

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วถ้าหากมู่อี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาควรควักดวงตาของตนเองออกมาจะดีกว่า

เห็นได้ชัดว่าการแสดงก่อนหน้านี้ของผู้ที่มาเยือนกลุ่มนี้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง พวกเขาเสแสร้งปกปิดพลังที่แท้จริงของตนเองจนแม้แต่มู่อี้ก็ไม่อาจรับรู้ได้และดูเหมือนไม่ใช่แค่ม่อี้เท่านั้นแต่ชวี่หยางก็โดนพวกเขาหลอกด้วยเช่นกัน

เขาคิดว่าผู้มาเยือนทั้ง 5 คนนี้จะเป็นเพียงแค่มือใหม่เท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามากจนหลอกให้พวกเขาหลงเชื่อได้

น่ากลัวว่าพวกเขาหลอกชวี่หยางมาตั้งแต่แรกเริ่มและรอคอยจังหวะเพื่อจะได้โจมตีอย่างกะทันหัน

ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นออกไปปะทะกับเปยหมิงนั้น ชายอีก 2 คนที่เหลือก็สังหารแมลงที่มาลอบโจมตีพวกเขาและตรงเข้าไปหาฉงเจียอี้ทันที แม้ว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองคนนั้นจะไม่ได้มากนักแต่ดูจากประสบการณ์แล้วคงผ่านการต่อสู้มาไม่น้อยเลย

เมื่อเห็นเช่นนี้ฉงเจียอี้ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันทีแต่ไม้เท้าในมือของเขาก็ยังฟาดเข้าไปหาชายทั้งสองคนที่กําลังตรงเข้ามาในตอนนี้เขาไม่ปิดบังพลังของตนเองอีกต่อไปและรับมือกับชายทั้งสองคนด้วยพลังทั้งหมด

ส่วนฉือเล่อนั้น เขาชักดาบยาวที่เป็นประกายของตัวเองออกมาทันทีและกระโดดเข้าไปหาชวี่หยาง

แม้ว่าดาบในมือของเขาจะไม่ได้ดูเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายหรือทรงพลังเท่ากับดาบของชิวเยวี่ยยาง แต่มันก็รวดเร็วพอจนเกิดเป็นภาพติดตาบนอากาศและพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบนั้นก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน

สีหน้าของชวีหยางก็เปลี่ยนไปทันที เขาจ้องมองมาที่ฉือเล่อที่กําลังพุ่งเข้ามาหาตนเองจากนั้นก็ยื่นมือขวาของตนเองออกไป มือขวาของเขาจากที่เป็นผิวหนังมนุษย์ปกติมัน เริ่มกลายเป็นสีเขียวและมีกรงเล็บขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน

“ติ๊ง ติ๊ง”

ดาบยาวปะทะเข้ากับฝ่ามือของชวี่หยาง จนเสียงของโลหะที่กระทบกันและประกายไฟปรากฏออกมาให้เห็น จากนั้นถือเล่อก็กระเด็นออกไปทันทีและชวีหยางก็ถอยกลับไปเล็กน้อยฉือเล่อลุกขึ้นมาและพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง

ฉือเล่อกระโดดหมุนตัวกลางอากาศ แสงสีเงิน 2 เส้นพุ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็วและตรงเข้าไปหาชวีหยาง

ชวี่หยางสะบัดมือขวาของเขาเพื่อป้องกันแสงสีเงินทั้ง 2 เส้นที่กําลังพุ่งเข้ามาหาทันที แต่หลังจากนั้นถือเล่อก็เข้ามาประชิดตัวของเขาอย่างรวดเร็ว

“เป็นไปตามที่ข้าคิดเอาไว้จริงๆ เจ้าของชวี่ยี่จวงคงไม่ใช่คนอ่อนแอ” ฉือเล่อพูดเบาๆกับชวี่หยาง ในตอนนี้ท่าทีของเขาไม่มีการเสแสร้งใดๆอีกต่อไป เขาดูสงบนิ่งและไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้จะตกอยู่ในอันตราย

มู่อี้ยังคงจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาสนใจคือเล่อเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่ถือเล่อเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงหญิงสาวที่กําลังปะทะอยู่กับเปยหมิงในตอนนี้ด้วยเช่นกัน

แต่แม้ว่าเขาจะรู้สึกประหลาดใจกับพลังของคนเหล่านี้ แต่ถ้าหากว่าพวกเขามีความสามารถแค่เท่านี้จริงๆเช่นนั้นก็ยากแล้วที่พวกเขาจะเอาชีวิตรอดออกไปจากชี่ยจวง

เพราะความน่ากลัวที่แท้จริงของชวีหยางยังไม่แสดงออกมาเลยด้วยซ้ำ ส่วนหญิงสาวคนนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเปยหมิงเลย หลังจากปะทะกันหลายกระบวนท่านางย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน

โชคดีที่ในช่วงเวลาที่วิกฤติเช่นนี้นักพรตเต๋คนนั้นก็สะบัดแส้หางม้าในมือของเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เปยหมิงก็กระเด็นออกไปทันที

“ข้าจะจัดการกับผีดิบตนนี้เอง เจ้าไปช่วยเหลือเสี่ยวเล่อ” นักพรตเต๋พูดกับหญิงสาวคนนั้นทันทีและแส้หางม้าที่อยู่ในมือของเขาก็ยังคงสะบัดอยู่ตลอดเวลา เปยหมิงพยายามต่อต้านพลังของเขาในตอนนี้

เปยหมิงมีความเร็วที่โดดเด่นและมีกรงเล็บที่แหลมคมแต่ในตอนนี้นางกลับเข้าใกล้นักพรตเต๋าคนนี้ไม่ได้เลย ความเร็วของนางถูกแส้หางม้าในมือของเขาหยุดเอาไว้และยากที่นางจะได้แสดง พลังของตนเองออกมา

เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนี้ นางก็รีบเข้าไปหาฉือเล่อที่กําลังปะทะกับชวีหยางอยู่ในตอนนี้

“หึ วันนี้คือวันตายของพวกเจ้าแน่นอน” ชวี่หยางจ้องมองมาที่ทั้งสองคนและพูดออกมาอย่างเย็นชา

”เช่นนั้นก็ดี ชวี่หยาง จิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความชั่วร้าย วันนี้ข้าจะใช้ศีรษะของเจ้าเพื่อสังเวยต่อผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเสียชีวิตไปเพราะเจ้า” หญิงสาวคนนั้นจ้องมองมาที่ชวีหยางด้วยสายตารังเกียจ

“คิดว่าเจ้าจะทําได้งั้นหรือ?” สีหน้าของชวี่หยางดูชั่วร้ายมากยิ่งขึ้นและในเวลาเดียวกันลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน มู่อี้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของเขาเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะเคยเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของชวีหยางมาแล้วแต่ในตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วขึ้นมา