ตอนที่ 144 สํานักเหมาซาน

จากมุมมองของมู่อี้ในตอนนี้ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสังหารชวีหยางแน่นอน

ชวี่หยางคงไม่คิดว่าเขาจะหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วย รวมไปถึงฉงเจียอีที่ได้กลายมาเป็นลูกสมุนของตนเองแล้ว แต่ถ้าหากเขาลอบโจมตีไม่สําเร็จบางที่ก็อาจจะเป็นตัวเขาเองที่ต้องบาดเจ็บหนักจนถึงตายและฉงเจียอี้จะไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแน่นอน

แต่ถ้าหากชวีหยางตายไป หลี่เฉียจื่อจะมาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่? และชวีหยางเองก็มีความลับมากมาย ไม่มีใครรู้ว่าเขามีไพ่ตายที่ซ่อนเร้นอยู่อีกหรือไม่ ถ้าหากโดนอีกฝ่ายโจมตีสวนกลับมาคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสําหรับมู่อี้แน่นอน

ในขณะเดียวกันมู่อี้ก็อดคิดถึงคําพูดที่ฉงเจียอี้บอกเขาไม่ได้ ถ้าหากอยู่ข้างนอกชวี่หยางอาจจะเอาชนะเขาไม่ได้แต่ถ้าหากอยู่ในชวี่ยจวงเขาก็ไม่มีทางเอาชนะชวีหยางได้ด้วยเช่นกัน น่าจะมีความลับอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้

มู่อี้จ้องมองไปที่ผู้มาเยือนทั้ง 5 คนด้วยสีหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย ในเมื่อพวกเขากล้าบุกเข้ามาที่นี่ก็แสดงว่าพวกเขาก็ย่อมมั่นใจในตนเองเหมือนกัน

ในขณะที่คิดเช่นนี้ม่อี้ก็รอคอยให้ทั้งสองฝ่ายลงมือกันอย่างเต็มที่ เขาอยากจะเห็นว่าชวี่หยางได้ซ่อนอะไรไว้อีกบ้าง

เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของชวี่หยางสีหน้าของฉือเล่อก็เปลี่ยนไปทันที เขาไม่ใช่คนโง่ และย่อมรู้ดีว่าชวีหยางเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด หลังจากจ้องมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ข้างๆตนเองฉือเล่อก็ตัดสินใจลงมือก่อน

ท่าทีของชวี่หยางในตอนนี้ทําให้เขารู้สึกได้ถึงความวิกฤต ดังนั้นเขาจึงไม่รอให้ชวี่หยางได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงร่างกายได้สําเร็จและรีบชิงลงมือก่อนทันที

ในขณะที่เขาพุ่งเข้าไปโจมตีชวีหยางนั้น แสงสีเงินก็พุ่งออกไปจากแขนเสื้อของเขาตรงเข้าไปยังระหว่างคิ้วของชวีหยางทันที

ในตอนที่ใบมีดสีเงินกําลังบินออกไปอย่างรวดเร็วนั้นถือเล่อก็พุ่งตาม เข้าไปด้วยพลังทั้งหมดของเขา

หญิงสาวคนนั้นก็ตามหลังเขามาติดๆ นางถือกระบี่อ่อนเอาไว้ในมือนี่คืออาวุธที่หาได้ยากด้วย เช่นกัน นางไม่กล้าพูดว่าฝีมือกระบี่ของตนเองนั้นถึงขั้นตัดเหล็กได้ราวกับโคลนแต่นางก็มั่นใจในตนเองพอสมควร

ทันทีที่ดาบยาวในมือของฉือเล่อพุ่งออกไปนั้น ลมหายใจของชวีหยางก็ปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงและมีสายลมจํานวนมากที่พัดออกมาจากร่างกายของเขา แม้แต่ในมุมมองของมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าลมหายใจของชวีหยางในตอนนี้เริ่มขาดหายไป ฉือเล่อก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วย เช่นกัน

“ติ๊ง!”

ชวี่หยางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแต่ใบมีดที่พุ่งเข้ามาตรงที่ระหว่างคิ้วของเขาก็กระเด็นออกไปทันที และจากนั้นนิ้วมือของเขาก็สะบัดขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับใบมีดสีเงินที่ปรากฏอยู่ในมือของเขา

พลังของชวี่หยางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถือเล่อก็ไม่ได้มีท่าทีที่ดูหวาดกลัวแต่อย่างใดและยังคงพุ่งเข้ามาโจมตีด้วยพลังทั้งหมด

ดาบยาวในมือของเขาฟาดออกไปอย่างรุนแรงและทันใดนั้นมันก็มีแสงส่องประกายออกมาปกคลุมส่วนที่สําคัญบนร่างกายของชวีหยางเอาไว้

ชวี่หยางไม่ได้หลบการโจมตีที่เข้ามาและใช้มือของเขาคว้าดาบยาวเอาไว้ทันที

“ติ๊ง กึก แกร๊ก!”

หลังจากเสียงของโลหะที่ถูกบดขยี้ดังขึ้นมานั้นดาบยาวของฉือเล่อก็ถูกหักไปทันทีและชวี่หยางก็ก้าวออกมาข้างหน้าช้าๆ ฝ่ามือของเขาประทับลงตรงหัวใจของฉือเล่ออย่างรวดเร็ว ถ้าหากการโจมตีครั้งนี้โดนเป้าหมายด้วยพลังของชวี่หยางหัวใจของฉือเล่อคงแหลกเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน

โชคดีที่ในช่วงเวลาที่สําคัญนี้ถือเล่อบิดร่างกายของเขาได้อย่างทันท่วงทีและทําให้ฝ่ามือของชวี่หยางสัมผัสได้เพียงไหล่ซ้ายของเขาเท่านั้นและในเวลาเดียวกันหญิงสาวที่ตามหลังเขามาก็โจมตีออกไปทันที กระบี่อ่อนในมือของนางเล็งเข้าไปที่ดวงตาของชวีหยางอย่างรวดเร็ว

ชวีหยางเอียงศีรษะเล็กน้อยและกระบี่อ่อนของหญิงสาวคนนั้นก็พุ่งผ่านศีรษะของเขาไปทันที แต่ฝ่ามือของเขาก็ยังคงประทับลงมาบนร่างกายของฉือเล่อ

“ตู้ม!”

ฉือเล่อกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง เขาได้ยินเสียงกระดูกหักอย่างชัดเจนที่บริเวณหัวไหล่ของตนเอง แม้ว่ามันจะเป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงแต่ก็ยังดีที่ไม่โดนส่วนสําคัญในร่างกายของเขา

ชวี่หยางยังคงไล่ตามฉือเล่อออกไป แขนขวาของเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและคว้าไปที่กระบีอ่อนของหญิงสาวที่กําลังโจมตีเข้ามาอีกครั้ง กระบี่อ่อนเล่มนี้ฟันแขนเสื้อของเขาจนขาดแต่ไม่อาจสร้างรอยแผลบนแขนของเขาได้เลย

เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนี้นางก็ไม่สนใจกระบี่อ่อนในมือของตนเองอีกต่อไปและรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่านางจะรีบถอยออกมาแต่ก็ยังช้ากว่าชวี่หยาง มีเพียงเสียงของการกระแทกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นและจากนั้นร่างกายของหญิงสาวก็กระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดนางก็นอนตัวงอราวกับกุ้งอยู่ที่พื้น

ในเวลาเดียวกันชวีหยางก็ค่อยก้าวเท้าออกไปช้าๆ ในตอนนี้ลมหายใจของเขาเหมือนกับ การผสมผสานระหว่างชีวิตและความตายแต่มันเป็นการผสานกันอย่างลงตัวไม่มีความขัดแย้งใดๆ ร่างกายของเขามีคุณลักษณะของผีดิบทุกประการแต่มันกลับยืดหยุ่นและรวดเร็วกว่ามาก

นี่คือสิ่งที่ทําให้การสร้างผีดิบของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ

ศัตรูที่โจมตีสํานักคุ้มกันโม่หยวนก่อนหน้านี้ก็คือผีดิบที่เขาสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น

โดยเฉพาะเงาดํานั่น มันคือผีดิบจริงๆอย่างนั้นหรือ?

ความลับของชวี่หยางนั้น มู่อี้ได้ทราบจากปากฉงเจียมามากมายหลายเรื่องแต่เขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการหลอมสร้างผีดิบเลย เพราะความลับที่สําคัญที่สุดของชวี่หยางย่อมเป็นเรื่องนี้ แม้แต่ฉงเจียอี้เองก็ไม่ได้ทราบข้อมูลอะไรมากนัก

ความจริงแล้วตั้งแต่ชวี่หยางปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่ มู่อี้ก็จับตามองเขาอยู่ตลอด สิ่งที่ทําให้ม่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือมือข้างขวาของชวี่หยางเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ชวี่หยางต้องสูญเสียแขนขวาของตนเองไปและทําให้พลังของเขาหายไปอย่างเห็นได้ชัดจนต้องยอมแพ้และล่าถอยออกไป

แต่ในตอนนี้แขนข้างขวาของชวีหยางกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นไปได้ยังไงกัน?

มู่อี้ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร งอกกลับมาใหม่? หรือว่าแขนเทียม?

นี่คือความคิดของมู่เมื่อได้เห็นแขนขวาของชวี่หยางเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่แขนเทียมอย่างแน่นอนในตอนนี้แขนเสื้อของเขาถูกกระบี่อ่อนตัดออกไปแล้วและแขนขวาของเขาก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน มู่อี้ที่กําลังจับตามองอยู่นั้นรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

แขนขวาของชวีหยางนั้นมีสีเข้มขึ้น สีผิวของแขนข้างนี้แตกต่างจากสีผิวของเขาอยู่เล็กน้อย แต่มันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและราวกับว่าเขาไม่เคยสูญเสียแขนไปเลย

เป็นไปได้ไหมที่เขาจะสามารถสร้างแขนใหม่ให้กับตนเองได้? นี่คือสิ่งที่ม่อี้รู้สึกสงสัยมากที่สุดเพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสร้างผีดิบเลยดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าสภาพร่างกายที่แท้จริงของชวี่หยางนั้นเป็นเช่นไร ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่มู่อี้ไม่ได้โจมตีออกไป

“ชิงชิง!” ในตอนที่หญิงสาวกระเด็นออกไปนั้นถือเล่อก็ตะโกนออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าชิงชิงคือชื่อของหญิงสาวคนนี้

“แค่กแค่ก ไม่ต้องห่วงข้า เจ้ารีบหนีไปเถอะ” ชิงชิงพยายามยืนขึ้นมาและส่ายศีรษะให้กับฉือเล่อทันที ในตอนนี้นางเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วว่าตนเองไม่อาจทําอะไรได้ แม้ว่าพวกเขาจะพาคนที่แข็งแกร่งมาที่นี่ด้วยแต่นั่นก็ไม่ใช่นาง

ถ้าหากนักพรตเต๋ต้องการจะสังหารเปยหมิงอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสักพัก ไม่ต้องพูดถึงชวี่หยางที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเลย

ส่วนชายอีก 2 คนในตอนนี้กลับถูกฉงเจียอี้โจมตีจนไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย นี่เป็นไปตามที่ มู่อี้คิดเอาไว้ไม่ว่าพวกเขาจะปิดบังพลังของตนเองเอาไว้มากเพียงใดแต่ถ้าหากพวกเขามีเพียงแค่ 5 คนก็คงต้องพ่ายแพ้และตายอยู่ที่นี่แน่นอน หนทางรอดนั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะหนีออกไปจากที่นี้ได้สําเร็จหรือต่อรองอะไรได้หรือไม่

“ไม่ พวกเรามาด้วยกันถ้าหากจะตายก็ต้องตายพร้อมกัน” ฉือเล่อพูดออกมาอย่างหนักแน่น แม้ว่าดาบยาวของเขาจะหักไปแล้วและแขนข้างหนึ่งของเขาก็ไม่สามารถใช้การได้อีก แต่แขนขวาของเขาก็ยังคงใช้การได้และเขาก็ยังมีเคล็ดวิชามีดบินของตนเองอยู่

“พวกเจ้าอยากจะตายมากนักหรือไง? ทําไมมันง่ายดายเช่นนี้” ชวี่หยางแสยะยิ้มออกมาจากนั้นเขาก็ยกแขนขวาของตนเองขึ้นมาทันที ในสายตาของเขากลุ่มคนเหล่านี้คือวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างผีดิบ ซึ่งในตอนที่เขาต่อสู้กับมู่อี้นั้นเขาต้องสูญเสียผีดิบของตนเองไปเป็นจํานวนมากและ ยังไม่สามารถหามาทดแทนได้

“โปรดหยุดมือเถอะขอรับ!”

ในตอนนี้นักพรตเต๋ที่กําลังต่อสู้กับเปยหมิงก็พูดขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็เปล่งแสงสีขาวออกมาและฝ่ามือของเขาก็ประทับลงไปบนหน้าอกของเปยหมิงทันที่ทําให้เปยหมิงกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็วแม้ว่านางจะยืนขึ้นมาได้อีกครั้งก็ตาม

แม้ว่านักพรตเต๋าจะทําให้เปยหมิงกระเด็นออกไปได้ แต่ร่างกายของเขามีอาการสั่นเล็กน้อยใบหน้าก็ดูขาวซีด เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บไม่น้อยเลย

จากนั้นเขาก็หันไปมองชวีหยางทันที

” ท่านผู้เป็นเจ้าของชวี่ยจวง ครั้งนี้พวกเราถือว่าได้ทําผิดพลาดไปแล้ว ขอให้ท่านอภัยให้พวกเราได้หรือไม่ขอรับ?” นักพรตเด็จ้องมองมาที่ชวีหยางและพูดออกไปตามตรง

“อภัยให้พวกเจ้างั้นหรือ? ฮ่าฮ่า พวกเจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าคือคนที่ชั่วร้ายที่ได้สังหารคนบริสุทธิ์ไปมากมาย ก่อนหน้านี้พวกเจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าจะใช้ชีวิตข้าสังเวยผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น? ตอนนี้มาขอให้ข้าไว้ชีวิตพวกเขางั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยให้เจ้ารอดออกไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น?” ชวี่หยางนั่งมองมาที่นักพรตเต๋าพร้อมกับพูดเยาะเย้ย

“ผู้มีพระคุณของข้าทั้งสองท่านนี้ยังเด็กเกินไปและถ้าหากท่านปล่อยพวกเขาไปในวันนี้ข้าสัญญาได้เลยว่าพวกเขาจะต้องตอบแทนเชวี่ยจวงอย่างเหมาะสมแน่นอนขอรับ เปลี่ยนความโกรธ แค้นที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ให้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราไม่ดีกว่าหรือขอรับ?” นักพรตเต๋าพูดออกมาอีกครั้ง

“เจ้าโลกสวยเกินไปแล้ว พวกเจ้าทุกคนต้องตายอยู่ที่นี่ในวันนี้!” ชวี่หยางปฏิเสธกลับมาทันที

“ข้าน้อยเป็นนักพรตเต๋าที่เดินทางลงมาจากภูเขา ท่านอาจารย์ได้สั่งเอาไว้ว่าให้ข้าใช้พลังอย่างเหมาะสม ห้ามรังแกคนอื่น แต่ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ข้าน้อยคงหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้เสียแล้ว” นักพรตเต๋พูดขึ้นมาทันที

“รังแกคนอื่นงั้นหรือ? ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าความสามารถของเจ้าเพียงพอที่จะรังแกคนอื่นได้หรือไม่” แม้ว่าชวี่หยางพูดจาดูถูกออกมาแต่สีหน้าของเขาก็ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด

” ข้าน้อยเป็นนักพรตเต๋ามีนามว่า หมิงหลง เป็นผู้สืบทอดคนที่ 51 ของสํานักเหมาซาน ไม่รู้ว่าตําแหน่งของข้าเพียงพอที่จะต่อรองกับท่านผู้เป็นเจ้าของเชวี่ยจวงได้หรือไม่ขอรับ?” นักพรตเต๋าก็แนะนําตัวเองออกมาช้าๆ

“สํานักเหมาซานยังคงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้งั้นหรือ?”

มู่อี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็สังเกตเห็นได้ว่าสีหน้าของชวี่หยางได้เปลี่ยนไปเช่นกัน แม้แต่สีหน้าของฉงเจียอีก็ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย เขาสามารถใช้ประโยชน์จากการที่ทุกๆคนกําลังพูดคุยกันอยู่ฉวยโอกาสสังหารชายทั้งสองคนนี้แต่เขากลับไม่ทําและถอยกลับมาพร้อมกับไม้เท้าตน

“ใช่ขอรับ!” หมิงหลงตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม ความจริงแล้วตั้งแต่เริ่มต้นสีหน้าของเขาไม่ได้มีความตื่นตระหนกเลยสักนิด ท่าทีของเขาดูถ่อมตัวอยู่เสมอ และเขาก็ทําตัวสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าเขาย่อมมั่นใจในตัวเองด้วยเช่นกัน

มู่อี้รู้จักเพียงแค่ชื่อของสํานักเหมาซานเท่านั้น ในตอนที่เขาออกเดินทางไปพร้อมกับท่านปูเขาเคยได้ยินผู้คนที่พูดถึงเรื่องนี้ มันถือได้ว่าเป็นสํานักเที่มีชื่อเสียงโด่งดังและพูดได้เลยว่าสํานักเหมาซานแห่งนี้มีชื่อเสียงมากที่สุดในด้านการสะกดวิญญาณและการกําจัดสิ่งที่ชั่วร้าย

นี่คือครั้งแรกที่มู่อี้ได้พบกับนักพรตเต๋ของสํานักเต่ําแห่งนี้ตัวเป็นๆ

เพียงแต่ว่าท่าทีของนักพรตเต๋คนนี้ทําให้มู่อี้รู้สึกไม่ชอบเลยจริงๆ เพราะท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้นราวกับว่าเขาอยู่เหนือทุกๆคนในโลกใบนี้และตนเองเป็นเทพที่ก้าวลงมาบนโลกมนุษย์ เขาคิดว่าสํานักเหมาซานคือดินแดนเทพเซียนในตํานานหรือไง?

แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ม่อี้ได้ยินชื่อของสํานักเหมาซานอย่างจริงจังและคิดว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แต่ดูจากสีหน้าของชวี่หยางและฉงเจียอี้แล้วมู่อี้ก็รู้ได้ทันทีว่าชื่อของสํานักเหมาซานแห่งนี้ดูเหมือนจะสําคัญอย่างยิ่ง

“อะไรกัน? พี่หมิงหลง ท่าน…” แม้แต่ถือเล่อก็รู้สึกประหลาดใจ ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนักพรตเต๋าผู้นี้

“เจ้ามีหลักฐานหรือเปล่า?” ชวี่หยางจ้องมองไปที่อีกฝ่ายราวกับว่าอยากจะทราบข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น

“แน่นอนว่ามีขอรับ!” หมิงหลงตอบกลับมา จากนั้นเขาก็นําเหรียญตราเหรียญหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของตัวเองทันที เหรียญตราเหรียญนี้มีสีดําเข้มและมีอักษร 2 ตัวที่แกะสลักเอาไว้บนนั้นอ่านได้ว่าสํานักเหมาซาน!

ขณะเดียวกันทันทีที่เขานําเหรียญตราเหรียญนี้ออกมา เขาก็ส่งพลังแห่งจิตใจของตัวเอง เข้าไปข้างในทันทีทันใดนั้นเหรียญตราก็สว่างขึ้นมา พลังแห่งความตายที่แพร่กระจายอยู่รอบๆบริเวณนี้ก็ถูกสะกดเอาไว้ทันที