ตอนที่ 145 โครงกระดูกภายในชี่ยจวง

หมิงหลงชูเหรียญตราที่อยู่ในมือของเขาขึ้นมาทันทีและในตอนที่เขาใส่พลังแห่งจิตใจเข้าไปนั้น เหรียญตราเหรียญนี้ก็ปลดปล่อยพลังของมันออกมา แม้ว่าพื้นที่โดยรอบบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยพลังแห่งความตายแต่พลังพวกนั้นก็ถูกพลังของเหรียญตราเหรียญนี้สะกดเอาไว้ทันที

แม้แต่มู่อู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ต้องรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาด้วยเช่นกัน เขาถึงกับหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง

สีหน้าของฉงเจียอดูย่ําแย่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนี้เขารีบถอยออกไปให้มากที่สุด

แม้ว่าฉือเล่อและคนอื่นๆจะรู้สึกกดดันกับพลังที่เหรียญตราเหรียญนี้ปลดปล่อยออกมา แต่สีหน้าของพวกเขาก็ดูมีความสุขอย่างยิ่ง ในตอนนี้ไม่มีใครต้องตายแล้วแน่นอน

ชวี่หยางจ้องมองไปยังเหรียญตราที่อยู่ในมือของศัตรูด้วยสีหน้าที่ดูผิดหวังเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ก็ได้ วันนี้ถือว่าข้าเห็นแก่หน้าสํานักเหมาซานก็แล้วกัน”

ชวี่หยางเอ่ยชื่อของสํานักเหมาซานออกมา เรื่องที่จบลงในวันนี้ไม่ใช่เพราะนักพรตเต๋หมิงหลง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนของสํานักเหมาซาน

เหรียญตราเหรียญนี้ย่อมเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของสํานักเหมาซานสร้างขึ้นมาอย่างแน่นอนมันเป็นเหรียญตราที่มีเฉพาะคนของสํานักเหมาซานเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองยากที่จะทําเลียนแบบได้ ความจริงแล้วเหรียญตราเหรียญนี้ไร้ซึ่งพลังใดๆ ความสามารถเพียงอย่างเดียวของมันคือบีบอัดและปลดปล่อยพลังที่ผู้ใช้ใส่เข้าไปเท่านั้น

ถ้าหากชวี่หยางตั้งใจจะสังหารพวกเขาจริงๆ เหรียญตราเหรียญนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไร

“ขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของชวี่ยจวงอย่างยิ่ง เช่นนั้นพวกเราขอตัวลาก่อนขอรับ” ในตอนที่นักพรตเต๋าหมิงหลงพูดกับชวีหยางเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน

อีกทางด้านหนึ่งนั้นถือเล่อกําลังยืนประคองชิงชิงเอาไว้

หลังจากรอคอยให้ผู้มาเยือนทั้ง 5 คนออกไปจากที่นี่แล้วฉงเจียอีก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ท่านจะปล่อยให้พวกเขารอดไปได้จริงๆหรือ?”

” ทําไมล่ะ? หรือว่าท่านผู้เฒ่าฉงอยากจะสังหารผู้สืบทอดของสํานักเหมาซานคนนั้น?” ชวี่หยางพูดออกมาพร้อมกับจ้องมองมาที่ฉงเจียอี้

“ท่านล้อเล่นข้าเสียแล้ว ชายชราผู้นี้จะกล้าล่วงเกินสํานักเหมาซานได้อย่างไรกัน” ฉงเจียอี้ส่ายศีรษะทันที ความจริงแล้วอย่าว่าแต่สํานักเหมาซานแม้แต่นักพรตเต๋หมิงหลงคนนั้นเขาก็ไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน

“ในเมื่อท่านผู้เฒ่าฉงไม่กล้าล่วงเกินสํานักเหมาซาน เช่นนั้นข้าจะกล้าได้อย่างไรกัน?” ชวี่หยางยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา

“แม้ว่าสํานักเหมาซานจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถล่วงเกินได้ แต่คนอื่นๆก็ไม่ใช่คนของสํานักเหมาซาน ถ้าหากพวกเขารอดไปได้อาจจะเป็นปัญหาต่อท่านได้นะขอรับ” ฉงเจียอี้ตั้งใจพูดยั่วยุชวี่หยางโดยตรง ความจริงแล้วถ้าหากว่าเขาคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้ ชวี่หยางก็ย่อมคิดได้ด้วยเหมือนกัน

กลุ่มของผู้มาเยือนสามารถรู้ได้ว่าชวีหยางกําลังบาดเจ็บหนักอยู่เช่นนั้นต้องมีคนอื่นๆที่รู้เรื่องนี้ด้วยแน่นอน และทั้ง 5 คนนี้บุกเข้ามาที่ชวี่ยจวงในยามค่ําคืนแต่กลับรอดออกไปได้ทั้งหมด นี่มันหมายความว่ายังไง? นี่แสดงให้เห็นว่าชวี่หยางกําลังบาดเจ็บหนักจริงๆแม้แต่ผู้บุกรุกทั้ง 5 คน เขาก็ยังปล่อยให้หนีออกมาได้

ส่วนเรื่องที่ชวี่หยางจะเห็นแก่หน้าสํานักเหมาชานหรือไม่นั้นพวกเขาย่อมไม่สนใจอยู่ แล้วและพวกเขาก็ย่อมไม่อาจรับรู้เรื่องนี้ได้ พวกเขารู้เพียงว่ามีคนบุกเข้ามายังชวี่ยจวงในยามค่ำคืนและสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้

ถ้าเขาเรื่องนี้กระจายออกไป อีกไม่นานคงมีคนมากมายที่อยากเข้ามาท้าทายที่นี่แน่นอน

ชวี่หยางได้ล่วงเกินผู้คนมากมายมานานหลายสิบปีแล้วและศัตรูของเขาก็ไม่ได้ถือว่าน้อยเลย โดยปกติแล้วทุกๆคนต่างก็หวาดกลัวความแข็งแกร่งของเขาและไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาที่นี่ แต่ถ้าหากมีกลุ่มคนบุกเข้ามาที่นี่แล้วรอดกลับไปได้ทั้งหมด เช่นนั้นแล้วศัตรูคนอื่นๆของเขาก็พร้อมจะลองบุกเข้ามาที่นี้ด้วยเช่นกัน

ในยุทธภพแห่งนี้ไม่เคยขาดวีรบุรุษที่คอยเสแสร้งทําเป็นพิทักษ์ความยุติธรรมให้แก่คนอื่นๆและแสวงหาชื่อเสียงให้กับตนเอง แม้ว่าชวีหยางจะทรงพลังอย่างยิ่งแต่ก็มี หลายๆคนที่อยากจะมากําจัดเขาเพื่อชื่อเสียงอย่างแน่นอน

เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาที่นี่เลย? เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่งั้นหรือ? นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ชื่อเสียงของชวี่ยจวงแห่งนี้ไม่ได้ถือว่าน้อยเลย แต่เหตุผลก็คือชวี่หยาง ทําให้คนเหล่านั้นต้องหวาดกลัวด้วยความแข็งแกร่งของเขา คงไม่มีใครโง่พอที่จะเสียสละตนเองเพื่อเป็นผู้นําในการบุกเข้ามาทําลายที่นี้อย่างแน่นอน

แต่เรื่องบางอย่างเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมทําให้ท่าทีของคนอื่นๆเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

เรื่องนี้ฉงเจียอี่ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน

“สํานักเหมาซานไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะมองข้ามได้ แม้ว่าข้าจะปล่อยให้พวกเขาทุกคนรอดออกไปจากชี่ยจวงแห่งนี้แต่ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่เอาชีวิตพวกเขา” ชวี่หยางยิ้มอย่างเย็นชาขึ้นมาทันทีและเขาก็พูดจุดประสงค์ของตนเองออกมาอย่างชัดเจน..

ในตอนแรกชวี่หยางไม่ได้คิดจะปล่อยฉือเล่อและคนอื่นให้หนีไปได้อยู่แล้ว ส่วนนักพรตเต๋าที่เป็นผู้สืบทอดของสํานักเหมาซาน เขาอาจจะรอดออกจากที่นี่ไปได้แต่นั่นก็เฉพาะตัวเขาเองเท่านั้น ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วเขายังทําตัวน่ารําคาญเรียกร้องไม่จบไม่สิ้นชวี่หยางก็พร้อมจะสอนบทเรียนให้กับเขา เพราะเห็นแก่หน้าของสํานักเหมาซานหลังจากนี้แล้วไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้และทุกสิ่งทุกอย่างคงต้องโทษได้เพียงตัวเขาเองเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าฉงเจียอี้แสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมากนักและเพียงแค่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น

“แต่ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านผู้เฒ่าฉงเลย ไม้เท้าอันนี้ก็เหมาะกับท่านมาก” ทันใดนั้นชวีหยางก็จ้องมองมาที่ฉงเจียอี่ทันที

” คงทําให้ท่านหัวเราะเสียมากกว่า ข้ามีโอกาสได้รับไม้เท้าอันนี้มาเมื่อไม่นานมานี้ หนอนและแมลงที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ตายไปหมดแล้วข้าจึงต้องเอาไม้เท้าอันนี้ออกมาใช้เพื่อป้องกันตัวเองก่อน” ชายชราตอบกลับมา

ไม่ว่าชวี่หยางจะรู้สึกสงสัยมากเพียงใดแต่เขาก็ไม่ได้บีบคั้นเอาคําตอบอะไรมากนัก

และไม่ว่าชวีหยางจะฉลาดมากเพียงใดเขาคงไม่อาจคิดได้แน่นอนว่าไม้เท้าอันนี้คือสิ่งที่มู่อี้ มอบให้ชายชรา ฉงเจียอี้ได้กลายเป็นลูกสมุนของมู่อี้ไปแล้วตอนนี้และมีหน้าที่คอยจับตามองเขาเอาไว้

อย่างมากเขาก็คิดว่าก่อนหน้านี้ฉงเจียอีซ่อนตัวอยู่เป็นอย่างดี และไม้เท้าอันนี้เขาอาจจะได้มาอย่างบังเอิญจากกล่องสินค้าของขบวนรถม้า

ไม้เท้าอันนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ และมันกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับแรกเริ่มชวี่หยางเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้นและไม่มีความโลภที่อยากจะแย่งชิงใดๆ เพราะของสิ่งนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์สําหรับเขาเท่าไหร่ ให้ฉงเจียอี่ใช้งานคงจะมีประโยชน์มากที่สุด

ในตอนนี้แฝดผีแห่งเหอเจี้ยนทั้งสองคนเสียชีวิตไปแล้วและแม้แต่ศพของพวกเขาก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเหลือเพียงเปยหมิงเท่านั้นที่รอดมาได้ การที่เขาจะแย่งชิงอาวุธลูกสมุนของตนเองในตอนนี้ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี

“ครั้งนี้ข้าคงรบกวนท่านผู้เฒ่ามากแล้ว รางวัลที่ข้าเคยพูดเอาไว้ข้าจะตอบแทนท่านเป็น 2 เท่า เพื่อชดเชยกับหนอนแมลงที่ท่านผู้เฒ่าต้องสูญเสียไป” ชวี่หยางพูดออกมาตามตรง

” เช่นนั้นข้าก็ยินดีมาก” ฉงเจียอี้พยักหน้าทันที

“ไปกันเถอะ ไปดูเรื่องสนุกๆกัน” ชวี่หยางพูดออกมา เขาก้าวเดินออกไปทันทีพร้อมกับฉงเจียอู่และเปยหมิงที่ตามออกไป

หลังจากที่คนเหล่านี้เดินออกไปแล้วมู่อี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนลานกว้างแห่งนี้เงียบๆ สีหน้าของเขาเหมือนกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสํารวจชวี่ยจวงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเขาก็เดินเข้าไปในศูนย์กลางของเชวี่ยจวงต่อโดยไม่ลังเล

เพราะที่ฉงเจียอี้เคยพูดเอาไว้นั้น ศูนย์กลางของชวี่ยจวงมีความลับที่สําคัญที่สุดซ่อนอยู่ แม้แต่ฉงเจียอีก็ไม่เคยเข้าไปภายในนั้น ทุกๆครั้งที่เขาเข้ามาที่นี่ก็ต้องหยุดเอาไว้ที่หน้าลานกว้างแห่งนี้เท่านั้น

ตลอดทางที่เดินเข้าไปนั้นมู่อี้ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาและคอยหลบพวกผีดิบที่เดินผ่านไปมา เขาไม่กล้าให้ลมหายใจของตัวเองหลุดออกไปแม้แต่เพียงครั้งเดียวเพื่อไม่ให้ผีดิบเหล่านี้รู้ตัว

ไม่นานหลังจากนั้นมู่อี้ก็เดินมาถึงจุดศูนย์กลางของลานกว้างแห่งนี้และเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอะไรบางอย่างที่รุนแรงมาก ถ้าหากเป็นคนธรรมดาที่เข้ามาที่นี่แค่สัมผัสกับพลังนี้ก็ทําให้พวกเขาต้องบาดเจ็บได้แล้ว

มู่อี้ค่อยๆปลดปล่อยพลังแห่งจิตใจของตนเองออกมาช้าๆด้วยความระมัดระวังและเมื่อพบว่าไม่มีกับดักอยู่ที่นี่เขาก็ค่อยๆเดินผ่านกําแพงเข้าไป

แต่สิ่งที่มู่ได้เห็นตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็ทําให้เขารู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือหลุมขนาดใหญ่ที่เกือบจะครอบคลุมพื้นที่ของลานกว้างแห่งนี้ทั้งหมด หลุมขนาดใหญ่แห่งนี้ มีกําแพงล้อมรอบเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

แต่สิ่งที่สําคัญไม่ใช่กําแพงที่ล้อมรอบหรือหลุมขนาดใหญ่ แต่เป็นผีดิบที่เดินไปมารอบๆหลุมแห่งนี้

เพียงแค่เหลือบมองมู่ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ที่นี่มีผีดิบอย่างน้อย 100 ตัวและพวกมันอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น แทบจะเดินเบียดกันด้วยซ้ํา

แม้ว่ามู่อี้จะรู้ดีถึงความโหดเหี้ยมของชวีหยาง แต่เขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็นผีดิบจํานวน มากเช่นนี้

แน่นอนว่ามู่อี้ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไป เขาไม่คิดว่าผีดิบทุกๆตนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จะเป็นคนที่ชวีหยางสังหารด้วยตนเองทั้งหมด อาจจะมีบางส่วนที่ชวีหยางเป็นคนสังหารด้วยตนเองแต่ไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน พูดให้ชัดๆก็คือชวี่ยจวงแห่งนี้เป็นเหมือนสุสานแห่งหนึ่งในสายตาของคนธรรมดาและอาจจะมีหลายๆคนที่นําศพของญาติพี่น้องมาเก็บเอาไว้ในสุสานแห่งนี้

ในโลกทุกวันนี้มีคนตายไปเป็นจํานวนมากในแต่ละวันไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม ตราบใดที่ชวี่หยางต้องการเขาย่อมตามหาศพของมนุษย์มาเพิ่มให้กับเชวี่ยจวงแห่งนี้ได้ แต่คําถามก็คือเขาสะส มผีดิบจํานวนมากขนาดนี้เอาไว้เพื่ออะไรกัน?

หรือว่านี่คือหนึ่งในงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบ? หรือว่าเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาการสร้างผีดิบของเขา?

ในตอนที่ม่อี้รู้สึกสงสัยอยู่นั้น ทันใดนั้นหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างสีเทาร่างหนึ่งที่กําลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ขยับเท้าของเขาตามสัญชาตญาณแทบจะในทันทีและร่างกายของเขาก็สามารถหลบการโจมตีของร่างสีเทานั้นไปได้ ในขณะเดียวกันมู่อี้ก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของร่างสีเทาที่โจมตีเข้ามา

ร่างสีเทานั้นเป็นผีดิบตนหนึ่ง ที่มีสิ่งที่เหมือนกับรากไม้ชอนไชอยู่ทั่วร่างกายของมันและรากไม้พวกนั้นยังสามารถขยับไปมาได้เล็กน้อย รากไม้สีเทาเหล่านั้นดูเหมือนจะงอกออกมาจากร่างกายของมันทั่วทุกที่

เพียงแต่สีของรากไม้นั้นดูคล้ายคลึงกับสีของกระดูกมนุษย์ที่ถูกเก็บเอาไว้นานเป็นอย่างยิ่ง และในระหว่างที่กําลังสับสนอยู่นั้นมู่อี้ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่ดี

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักเช่นนี้ม่อี้ก็ไม่กล้าประมาทอีกต่อไป และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ยันต์ของตัวเองออกไปแต่เขาก็ชักมีดสั้นออกมาและแทงเข้าไปในร่างกายของร่างสีเทาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ามู่อี้จะโดดเด่นในด้านการใช้พลังจากยันต์มากที่สุด แต่การใช้ยันออกไปในตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากการตะโกนบอกชวี่หยางว่าเขาอยู่ที่นี่แน่นอน ดังนั้นก่อนที่จะเข้ามาที่นี่มู่อี้จึงได้เตรียมมีดสั้นเล่มหนึ่งเอาไว้

“ฉัวะ!”

มีดสั้นฟันผ่านร่างกายของผีดิบร่างสีเทาไปได้อย่างราบรื่น รากไม้สีเทาบนร่างกายของมันนั้น ถูกมีดสั้นฟันจนขาดและหล่นลงมาบนพื้น แต่หลังจากนั้นก็มีของเหลวสีขาวจํานวนมากที่ไหลออกมาจากบาดแผลทันที

“นี่มัน…” มู่อี้ไม่ได้คิดว่าผีดิบร่างสีเทาจะอ่อนแอเช่นนี้ ในขณะที่เขารู้สึกตกตะลึงอยู่นั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนมาจากใต้เท้าของตนเองเพราะการเคลื่อนไหวของผีดิบจํานวนมาก

“ไม่ดีแล้ว” มู่อี้คิดในใจทันที ก่อนหน้านี้เขาระวังตัวเป็นอย่างดีและไม่คิดว่าตนเองจะ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าตกตะลึงเช่นนี้

“กึก กึก!”

ทุกๆพื้นที่รอบๆตัวเขาในตอนนี้มีโครงกระดูกที่กําลังลุกขึ้นมาจากพื้นดินเป็นจำนวนมาก พวกมันรวมตัวกันจนกลายเป็นพื้นที่สีเทาขนาดใหญ่ ตอนนี้สายตาของพวกมันหันมามองที่มู่อี้ อย่างพร้อมเพียงกัน โครงกระดูกยังคงลุกขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆจนพื้นดินใต้เท้าของเขานั้นสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่ามู่อี้จะไม่คิดว่าโครงกระดูกเหล่านี้สามารถทําอะไรเขาได้ เพราะพวกมันเป็นเพียงโครงร่างในการสร้างผีดิบของชวีหยาง และชวี่หยางในตอนนี้ก็กําลังออกไปตามล่าลือเล่อและคนอื่นๆ แต่ มู่อี้ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นที่ชวี่ยจวงแห่งนี้ชวีหยางคงจะกลับมาที่นี่อย่างรวดเร็วทันที

เมื่อถึงตอนนั้นมู่อี้คงไม่อาจเผชิญหน้ากับกองทัพโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าเขาหรือชวีหยางได้แน่นอน

แม้ว่าจะมีฉงเจียอี้ที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างลับๆ แต่มู่อี้ก็ไม่อยากจะเสี่ยง ดังนั้นมู่อี้จึงทําได้เพียงถอยออกไปจากที่นี่ก่อน

แต่ในขณะที่มู่อี้กําลังจะถอยออกไปจากที่นี่นั้น ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ด้านหลังของเขาก็มีการเคลื่อนไหวทันทีและในเวลาเดียวกันนั้นความคิดบางอย่างก็เข้ามาในจิตใจของ มู่อี้จนเขาไม่สามารถสั่งให้ต้นไผ่หยุดเคลื่อนไหวได้เลย