ตอนที่ 198 ไม่ใช่เบบี๋
ตอนเที่ยงของวันศุกร์ บ้านตระกูลตี้ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
เพราะตี้อู๋เปียนเชิญครอบครัวของอธิการบดีเจียงเฉากับครอบครัวของศิษย์พี่ใหญ่ของมู่เถาเยามากินข้าว
อาจารย์อาเล็กเคยเจอคนครอบครัวอวิ๋น แต่กู่ย่ายังไม่เคยเจอ แค่เคยเห็นคุณนายอวิ๋นในหน้าจอทีวีเท่านั้น
มู่เถาเยาแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน
“ป้าสะใภ้ใหญ่คะ นี่อาสะใภ้ของหนูชื่อกู่ย่าค่ะ นี่พี่สะใภ้ชื่อหลี่อวี้เสวี่ยค่ะ”
“ฉันรู้จักคณะดนตรีโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกคุณค่ะ! ถ้าไม่ติดว่าลูกๆ กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็อยากไปดูการตระเวนแสดงคอนเสิร์ตของพวกคุณค่ะ”
กู่ย่าอมยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฟิงเหมียนของเราก็ต้องสอบเหมือนกันค่ะ แต่ฉันไม่เคยยุ่งเรื่องเรียนของลูกเลย ฉันดูบกพร่องต่อหน้าที่มากเลยนะคะเมื่อเทียบกับคุณนายอวิ๋น”
เจียงเฟิงเหมียนได้ยินแม่พูดพอดี จึงตะโกนแสดงความไม่เห็นด้วย “แม่คะ พ่อกับพี่เยาเยาช่วยดูเรื่องเรียนของหนูค่ะ แม่ก็แค่ต้องไปทำงานพอดี ไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่เสียหน่อย”
ป้าสะใภ้อวิ๋นยิ้มกว้างพลางพูด “ดูสิคะ เสี่ยวเหมียนปกป้องแม่ขนาดไหน! มิน่าถึงพูดกันว่าลูกสาวเปรียบเหมือนเสื้อกันหนาว!”
กู่ย่าเหลือบมองลูกสาว ดวงตามีรอยยิ้มลึกซึ้ง
หลี่อวี้เสวี่ยถลึงตาใส่เฉิงอันนั่วที่อยู่ข้างๆ
พอพูดถึงเรื่องลูก กู่ย่า ป้าสะใภ้อวิ๋น และหลี่อวี้เสวี่ยก็คุยได้ไม่รู้จบ
ไม่ว่าจะไปประสบความสำเร็จข้างนอกขนาดไหน แต่คนที่เป็นแม่คนแล้วย่อมมีจุดที่เหมือนกันแบบนี้
มู่เถาเยาถูกตี้อู๋เปียนลากเข้ามุมในเวลานี้
“มีอะไรเหรอ”
ตี้อู๋เปียนมองอาจารย์อาเล็กที่กำลังคุยอยู่กับเฉิงหราน ลุงใหญ่ น้าเล็กแล้วพูดขึ้น “ซาลาเปาน้อย คนของฉันส่งข่าวมาแล้ว อาสะใภ้เล็กของหมอลู่น่าสงสัยมากเลยล่ะ เป็นตัวบงการของแก็งค์ค้ามนุษย์ แต่ถูกจับตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว ตอนนี้ป่วยตายไปแล้ว”
“อืม อาเล็กของหมอลู่ล่ะ”
ข่าวที่เธอได้มาก็พอกัน
แววตาของตี้อู๋เปียนขรึมลง “ยังไม่มีข่าวคราว”
มู่เถาเยาเงียบไปชั่วขณะแล้วพูดขึ้น “ตี้อู๋เปียน เทียบกับคลังข้อมูลเถอะ”
“อืม งั้นยังต้องตามหาต่อไหม”
“ไม่ต้องแล้ว ตัวการของเรื่องได้รับโทษและตายไปแล้ว ตามหาต่อก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก”
“ซาลาเปาน้อย คนที่ไปทางตะวันตกบอกว่า ถึงแม้อาเล็กของหมอลู่จะไม่เอาไหนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนเลว แม้จะไม่ได้ดีต่อลูกของพวกพี่ชายนัก แต่ก็ไม่ได้ทำไม่ดีด้วย อืม ฉันสืบคดีนั้นดูแล้ว สงสัยอยู่เรื่อง คนที่แจ้งจับแก็งค์ค้ามนุษย์อาจเป็นเขา”
มู่เถาเยาหรี่ตา
“ซาลาเปาน้อย อาเล็กของหมอลู่ก็คงอยากตามหาหลานชายเหมือนกัน แต่กลับหาไม่เจอมาตลอด คงรู้สึกผิดเลยไม่ได้กลับไปอีก ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ฉันว่าเขาไม่รู้หรอกว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ของตัวเองตายไปหมดแล้ว”
มู่เถาเยาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รู้สึกผิดแล้วยังไง คนที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้ไม่ใช่เขาเหรอ”
“…ซาลาเปาน้อย เธอ…เริ่มพาลแล้วนะ…”
แต่อาเล็กของหมอลู่ไม่รู้จักดูคนให้ดีจนทำให้ครอบครัวของพี่ชายเดือดร้อน เรื่องนี้ก็ไม่อาจให้อภัยจริงๆ
มู่เถาเยาย่อมต้องโกรธอยู่แล้ว
ตี้อู๋เปียนก็คิดแค่ว่าเธอโกรธแทนอาจารย์อาเล็กของตัวเอง
“ตี้อู๋เปียน เรียกคนของนายกลับมา เขาไม่คู่ควรให้คนไปตามหา”
ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ต่อไปก็ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ลู่และอาจารย์อาเล็กของเธอแล้ว
“ได้ ซาลาเปาน้อย งั้นฉันจะช่วยเธอเทียบกับคลังข้อมูลให้”
“อืม”
“ไม่นานก็ได้ผลสรุป รอหมอลู่ออกจากเขตป่าชั้นในมาก็มาเจอกันได้แล้ว”
มู่เถาเยาถามด้วยความตกใจเล็กน้อย “ตี้อู๋เปียน คุณเชื่อเหรอว่าอาจารย์อาเล็กของฉันเป็นพี่ชายของหมอลู่”
คนแบบเขาไม่ได้เชื่อหลักฐานมากกว่าเหรอ
“ฉันเชื่อ แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่หลักฐานหลายอย่างก็บ่งชี้ที่ผลลัพธ์นี้”
หลักๆ คือเธอเชื่อเขาก็เลยเชื่อ
“ไว้เสี่ยวเหมียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จฉันจะพูดกับอาจารย์อาเล็ก”
มู่เถาเยาอดยิ้มไม่ได้ น้ำเสียงดีใจมาก
ตี้อู๋เปียนเหม่อมองใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เถาเยา จากนั้นเขาก็ยิ้มตาม
“ซาลาเปาน้อย ฉันก็ช่วยเธอคัดลอกหนังสือได้เหมือนกันนะ”
“ไม่ได้ สุขภาพคุณไม่ดี จะเหน็ดเหนื่อยไม่ได้”
“ฉันว่าดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างคัดลอกหนังสือก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร ฉันคัดวันละไม่กี่หน้า ไม่โลภ”
“ตอนนี้คุณยังต้องสอนหนังสือพวกพ่อบ้านจง ให้ทำมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ตี้อู๋เปียน “… อยู่ๆ ก็ไม่อยากเป็นอาจารย์แล้วสิ…”
“งั้นเดี๋ยวพวกเราต้องเอาหนังสือโบราณกลับไปด้วยใช่ไหม”
“ยังไม่เอา พวกเขายังคัดลอกไม่เสร็จ ไว้สุดสัปดาห์หน้าพวกอาจารย์มาค่อยเอากลับไป”
“อ้อ ซาลาเปาน้อย…”
“…พี่สาวๆ…” เจ้าถุงลมน้อยตะโกนเรียกพลางวิ่งเตาะแตะเข้ามาหา
กอดขาตามความเคยชิน
ตี้อู๋เปียนแอบไม่พอใจที่อยู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะ
มู่เถาเยาก้มหน้า เอามือลูบหัวเด็กน้อย “มีอะไรเหรอจ๊ะอันเหยี่ย”
“ปู่ทวดกับย่าทวดให้มาเรียกพี่สาวกับอาเล็กไปกินข้าว”
“ได้เลย งั้นพวกเราไปกินข้าวกันนะ” มู่เถาเยาอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
“ซาลาเปาน้อย อันเหยี่ยโตขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องอุ้มบ่อยๆ หรอก”
เจ้าถุงลมน้อยยื่นมือสั้นๆ ของตัวเองมาพลิกไปพลิกมาดูอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “อาเล็ก อันเหยี่ยยังไม่โตเลยนะ อันเหยี่ยเป็นเบบี๋ไม่ใช่เหรอ”
“ตี้อันเหยี่ย ไม่รู้จักอายเลยนะ! เราน่ะสามขวบแล้ว ยังจะเป็นเบบี๋ได้ยังไง! เดินไม่ได้พูดไม่เป็นต่างหากถึงเรียกเบบี๋”
มู่เถาเยา “…”
เจ้าถุงลมน้อยกอดคอมู่เถาเยาด้วยความเสียใจ
เขายังอยากเป็นเบบี๋นี่นา ไม่อยากโตเลยสักนิด เพราะเขาอยากให้พี่สาวอุ้มบ่อยๆ!
มู่เถาเยาลูบหลังเด็กน้อยพลางพูดปลอบ “อันเหยี่ยยังเด็ก ไม่ต้องรีบโตหรอกเนอะ”
ในชาติก่อนที่อายุสิบห้าก็แต่งงานได้แล้ว เด็กสามขวบยังถือว่าเด็กมาก แล้วนับประสาอะไรกับเด็กผู้ชายในชาตินี้ที่อายุยี่สิบสองเพิ่งจะถึงวัยแต่งงานตามกฎหมาย เด็กสามขวบจะไม่ใช่เบบี๋ได้ยังไง
ตี้อู๋เปียน “…”
ทำไมซาลาเปาน้อยชอบขัดเขาอยู่เรื่อย
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” มู่เถาเยาอุ้มเจ้าถุงลมน้อยหันตัวเดินกลับ
ตี้อู๋เปียนรีบเดินตาม
ป้าสะใภ้ใหญ่อวิ๋นยิ้มพลางพูด “อู๋เปียนกับเสี่ยวเยาเยาดูเข้ากันได้ดีนะ มีการแอบไปคุยตรงมุมด้วย”
ย่าตี้ก็ยิ้ม “เด็กสองคนนี้เข้ากันได้ดี คุยกันได้ทุกเรื่อง”
กู่ย่าพยักหน้า “เป็นเพราะพวกเขาความรู้กว้างขวาง ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะแยะได้ยังไงใช่ไหมคะ” อย่างไรเสียนิสัยของทั้งสองคนก็ค่อนข้างเฉยชา
เธอไม่รู้ว่าตี้อู๋เปียนเป็นอย่างไร แต่รู้จักนิสัยของมู่เถาเยาดี
ถ้าเข้ากันได้ดีก็แสดงว่านิสัยของทั้งสองคนพอกันในหลายๆ เรื่อง
หลี่อวี้เสวี่ยเริ่มอวย “เสี่ยวเยาเยาของพวกเราเป็นเด็กรอบรู้ ไม่ว่าจะเรื่องดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษยศาสตร์ หยินหยาง การพยากรณ์…”
มู่เถาเยา “…”
พี่สะใภ้ ชมเกินไปแล้ว!
เธอสนใจเรื่องดาราศาสตร์ภูมิศาสตร์จริง แต่หยินหยาง การพยากรณ์อะไรพวกนั้นแทบไม่เคยแตะเลยจริงๆ นะ
แต่คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครคัดค้านคำพูดของหลี่อวี้เสวี่ย แม้แต่สองฝาแฝดตระกูลอวิ๋นที่เพิ่งรู้จักมู่เถาเยาก็ยังฟังเพลิดเพลิน
หลี่อวี้เสวี่ยชมอยู่นานกว่าจะหยุด มู่เถาเยารีบพูดขึ้น “ปู่ตี้ย่าตี้คะ พวกเรากินข้าวก่อนดีกว่าค่ะ กินเสร็จก็เก็บของกลับ บ้านตระกูลอวิ๋นค่อนข้างไกล ต้องรีบเดินทางหน่อย”
“เก็บของเสร็จหมดแล้ว กินข้าวเสร็จก็ออกได้เลย”
“อืม บ้านตระกูลอวิ๋นอยู่เจียงตู อยู่ไกลจากเย่ว์ตูมาก รีบกลับไปจะดีกว่า”
“ไม่รีบครับ เหยาเหยากับเสี่ยวเหยายังมีเวลาพักอีกสองวัน” สีหน้าเคร่งขรึมของลุงใหญ่อวิ๋นค่อยๆ ผ่อนคลายลง
มู่เถาเยายิ้ม “ค่ะ ต่อให้ไม่รีบ แต่ตอนนี้พวกเด็กๆ คงหิวกันแล้ว”
พวกผู้ใหญ่ “…”
พวกเด็กๆ เหรอ
หนูก็ด้วยไม่ใช่เหรอ