ตอนที่ 82 ฉบับไม่สมบูรณ์

หยางเย่ปฏิเสธคำขอที่ให้เขาเป็นผู้ตั้งกฎของกลุ่มดาบเทวะสวรรค์ เขาไม่ทราบวิธีจัดการบริหารใด ดังนั้นจึงปฏิเสธ แต่ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเป็นรองหัวหน้ากลุ่ม อันที่จริงชิงเสวียเสนอให้หยางเย่เป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่เขาไม่ต้องการ

หยางเย่เข้าใจในความคิดของชิงเสวีย นางต้องการให้เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มเพราะจะได้ผูกแน่นกันอย่างสมบูรณ์ เพราะกลุ่มดาบเทวะสวรรค์ต้องการใครสักคนที่สามารถต่อกรกับศิษย์นอกคนอื่นได้ เขาทราบถึงหน้าที่นี้ดี แต่ในความคิดของหยางเย่ การเป็นหัวหน้ากลุ่มก็เหมือนเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง

เขาต้องการเชื่อมความสัมพันธ์และหากองกำลังที่สามารถพึ่งพาได้ในอนาคต แต่เขาไม่เคยคิดจะใช้กลุ่มดาบเทวะสวรรค์นี้เข้าปะทะกับราชวังบุปผาโดยตรง เพราะมันเกินกำลังพวกเขาอย่างมาก และทราบถึงความสามารถของตนเองดี หากหยางเย่รับหน้าที่ดูแลจัดการกลุ่ม ความโกลาหลจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ในอีกด้านหนึ่ง การจัดการดูแลคนในกลุ่มนี้ มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับชิงเสวียที่มาจากตระกูลใหญ่

ดังนั้นหยางเย่จึงปฏิเสธตำเหน่งหัวหน้ากลุ่มและมอบให้ชิงเสวีย ในความคิดหยางเย่ มันเพียงพอแล้วที่จะมีความสัมพันธ์กับคนในสำนักเช่นนี้ เพราะในอนาคตเขาต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อแข็งแกร่งขึ้นอีก!

หลังจากเอ่ยคำร่ำลากับชิงเสวียและคนอื่น หยางเย่ได้มาถึงหุบเขาวายุเหมันต์อีกครั้ง จากนั้นได้เริ่มบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาดาบ

ตั้งแต่ได้รับวิชาล้ำลึกต่าง ๆ มา หยางเย่แทบไม่มีเวลาศึกษาอย่างลึกซึ้ง เพราะทั้งการทดสอบศิษย์นอกและเหตุการณ์อื่นอีกมากมาย ดังนั้นนอกจากวิชาดาบพื้นฐาน เขาเรียนรู้วิชาอื่นแค่ระดับต้นเท่านั้น ดังนั้นหยางเย่จึงตัดสินใจฝึกฝนอย่างหนักในวิชาดาบที่เหลือ เพื่อจะบรรลุระดับขั้นสูงของพวกมัน

ยิ่งตอนนี้เขาไม่มีเวลาเหลือมาก เพราะกำหนดทดสอบของศิษย์ในสำนักจะใช้เวลาไม่เกินยี่สิบวัน และต้องประลองกับหลิวชิงอวี่ในลานประลองเป็นตาย อันที่จริงหยางเย่ลืมตัวการหลักอย่างหลิวชิงอวี่ไปครู่หนึ่ง ตั้งแต่ที่หลิวชิงอวี่กลับมายังสำนักดาบราชัน หยางเย่ก็ไม่สามารถสังหารเขาได้อีก ยิ่งกว่านั้นยังไม่มั่นใจพอว่าจะสามารถจัดการได้ เพราะอัจฉริยะของศิษย์นอกนั้นหาได้ไร้ฝีมือไม่!

แม้กระทั่งตอนเผชิญหน้ากับจางเหวิน หยางเย่ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ถึงแม้จะรู้สึกว่าจางเหวินและหลิวชิงอวี่ไม่ได้ร้ายกาจเท่าผู้รับใช้แห่งดาบที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ แต่ก็ยังไม่ทราบไพ่ตายของพวกเขา และแน่นอนว่าทั้งสองไม่เข้าสู้โดยตรงแบบผู้รับใช้แห่งดาบแน่!

ดังนั้นหยางเย่จึงตัดสินใจใช้เวลาทั้งหมดฝึกฝนวิชาดาบอย่างหนัก โดยเฉพาะวิชาดาบกระชากสวรรค์ และปฏิกิริยาโต้กลับ (เปลี่ยนดึงสวรรค์เป็นกระชากสวรรค์นะครับผู้อ่าน) เขาตั้งใจจะรวมวิชาทั้งสองนี้และฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ! สำหรับวิชาควบคุมดาบ มันไม่ต่างกับหีบดาบล้ำค่าเท่าไหร่ เพราะมันคือไพ่ตายของหยางเย่ และเขาตั้งใจจะใช้มันในตอนที่ลำบากเท่านั้น

หยางเย่นำดาบออกมาก่อนจะเดินไปยังต้นไม้โลหะที่กว้างเท่ารอบแขนคนห้าคน จากนั้นเขาปิดตาลงก่อนจะเริ่มทบทวนจุดสำคัญของวิชาดาบกระชากสวรรค์

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ดวงตาหยางเย่ได้เปิดขึ้น

ชิ้ง!

เขาชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว!

แครก!

ต้นเปลือกโลหะตรงหน้าหยางเย่ล้มลงทำให้ใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วอากาศ

หยางเย่รู้สึกดีใจเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า มันเป็นผลจากการเคลื่อนไหว และการที่สังเกตเห็นว่าจุดไหนควรเสริมกำลังเพิ่ม จากการศึกษาวิชาดาบกระชากสวรรค์ หยางเย่ได้เรียนรู้แรงปะทะที่รุนแรงอย่างที่ต้องการ แต่ความเร็วของเขายังไม่เพียงพอ เพราะตามอ้างอิงจากวิชาดาบกระชากสวรรค์ เขาจะต้องทำได้โดยปราศจากเสียงแว่วดังของการชักดาบ

‘ชักดาบโดยปราศจากเสียง? ต้องรวดเร็วเพียงใดถึงจะทำได้ล่ะ?’

แต่เดิมหยางเย่คิดว่าปฏิกิริยาโต้กลับที่ได้คิดค้นนั้นเร็วมากแล้ว แต่เมื่อเห็นคำอธิบายของวิชานี้ เขารู้สึกว่าปฏิกิริยาโต้กลับยังไม่รวดเร็วพอ และมันต้องถูกปรับปรุงอีก!

ในช่วงเวลานี้ นอกจากการกิน หยางเย่ใช้เวลาไปกับการบ่มเพาะพลัง เวลาของเขาถูกจัดเรียงในลักษณะนี้ ในยามเช้าเขาจะฝึกฝนปฏิกิริยาโต้กลับและวิชากระชากสวรรค์อย่างหนัก ยามบ่ายเขาจะเริ่มฝึกฝนวิชาควบคุมดาบและฝึกฝนก้าววายุตอนกลางคืน ในเวลาสิบสองชั่วยาม เขาพักผ่อนเพียงสองชั่วยามเท่านั้น และใช้สิบชั่วยามเพื่อฝึกฝน

หลังจากฝึกฝนอย่างหนัก หยางเย่สามารถเพิ่มอานุภาพของวิชาดาบกระชากสวรรค์ได้ดีขึ้นหลังจากสิบวันผ่านไป เสียงที่ออกมาจากการชักดาบเริ่มเบาขึ้นทุกที แต่ปลอกดาบกลับถูกทำลาย ในอีกด้านหนึ่ง วิชาควบคุมดาบของเขาขยายขอบเขตได้ถึงหกเมตร เขาสามารถควบคุมดาบในระยะหกเมตรด้วยกระบวนท่าพื้นฐาน

ยิ่งกว่านั้น หยางเย่ยังพบปัญหาบางอย่าง ความยากลำบากของการควบคุมดาบจริงกับปราณดาบนั้นแตกต่างกันราวสวรรค์กับนรก เขาสามารถควบคุมปราณดาบได้ดั่งใจคิด แต่เมื่อลองควบคุมดาบจริง มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกสับสน

แต่ก็สามารถเข้าใจได้ในทันที มันเป็นเพราะปราณดาบไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ดังนั้นจึงง่ายในการควบคุม แต่ดาบจริงกลับต่างกัน พวกมันสร้างมาจากวัตถุและมีน้ำหนัก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หยางเย่เลิกฝึกปราณดาบชั่วคราว เพราะพลังทำลายของปราณดาบนั้นไม่รุนแรงเท่าดาบจริง และปราณดาบก็ไม่สามารถคงอยู่ในอากาศได้นานเท่าดาบจริง

แน่นอนว่าหยางเย่ไม่ได้ล้มเลิกที่จะใช้ปราณดาบ เพราะหากเขาควบคุมปราณดาบได้นับร้อยมันก็น่าสะพรึงพอกัน

สำหรับก้าววายุ เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ถ้าหยางเย่ใช้ก้าววายุตอนนี้ เขาจะสามารถสร้างภาพติดตาไว้ข้างหลังได้!

ทั้งก้าววายุและวิชาดาบกระชากสวรรค์จะมุ่งเน้นไปที่แรงปะทุ ดังนั้นเมื่อรวมปฏิกิริยาโต้กลับกับวิชาดาบกระชากสวรรค์เข้าด้วยการขณะใช้ก้าววายุ ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหยางเย่จะน่าสะพรึงอย่างมาก หยางเย่เชื่อว่าบรรดายอดฝีขั้นปราณสวรรค์ที่ประเมินเขาต่ำ พวกเขาสามารถถูกจัดการได้ด้วยการโจมตีเดียว

แน่นอนว่าบรรดายอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ไม่ได้ฝึกฝนและมีพลังที่หนักแน่นเหมือนผู้รับใช้แห่งดาบในหอคอย แม้จะอยู่ในสำนักใหญ่อย่างสำนักดาบราชัน ยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ก็ที่มีพลังปราณหนักแน่นทัดเทียมกับผู้รับใช้แห่งดาบนั้นหายากมาก

สรุปคือหยางเย่สามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมในเวลาสิบวัน

ในวันนี้ ขณะที่หยางเย่กำลังฝึกฝนวิชาดาบในหุบเขาวายุเหมันต์ ซูชิงฉือได้พาเสี่ยวเหยามาหาเขา

ทันทีที่เห็นหยางเย่ เสี่ยวเหยาได้วิ่งเข้าไปสวมกอดและเริ่มร้องไห้

ขณะที่กอดเสี่ยวเหยา หยางเย่รู้สึกน้ำตาคลอเช่นกัน เหตุการณ์สะเทือนใจได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา มันเป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับเด็กวัยเท่านี้ ในขณะเดียวกันหยางเย่ก็รู้สึกผิดด้วย เพราะหากเขามีพลังเพียงพอ มารดาก็คงไม่ถูกจับตัวไปแน่นอน

ทันทีที่นึกถึงราชวังบุปผา ประกายความเกลียดชังได้ปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่ เขาตั้งปณิธานไว้หนักแน่นว่าจะต้องให้ราชวังบุปผาจ่ายคืนอย่างแน่นอน!

ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง หยางเย่ดันเสี่ยวเหยาออกเล็กน้อย จากนั้นจึงปาดน้ำตาบนใบหน้านาง ไม่นานเปลือกตาหยางเย่กระตุกและกล่าวออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เสี่ยวเหยา เจ้าเป็นผู้ใช้พลังปราณแล้วหรือ?”

อันที่จริงหยางเย่สัมผัสได้ถึงพลังปราณล้ำลึกในตัวเสี่ยวเหยามาก่อนแล้ว

ทันใดนั้นซูชิงฉือได้กล่าวออกมา “มารดาของเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง พรสวรรค์ของเสี่ยวเหยาเยี่ยมยอดมาก ความเร็วในการบ่มเพาะพลังก็รวดเร็วเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นยังฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียร นางได้บรรลุขั้นปราณมนุษย์ระดับแรกเพียงเวลาสิบวันเท่านั้น”

หยางเย่รู้สึกยินดีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ขอบคุณท่านมาก!”

เขารู้สึกขอบคุณจากใจจริงต เป็นเพราะซูชิงฉือ จึงไม่มีผู้ใดในสำนักดาบราชันกล้ากลั่นแกล้งเสี่ยวเหยา ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของซูชิงฉือยังร้ายกาจมาก หากเสี่ยวเหยาฝึกฝนกับนาง ความเร็วในการบ่มเพาะพลังจะต้องเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไปแน่นอน

ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “ไม่ต้องถือสา ข้าก็ชอบนางเช่นกัน!”

หยางเย่ยิ้มและมองไปที่เสี่ยวเหยา “เสี่ยวเหยา เจ้าต้องฝึกให้หนักและอยู่ข้างพี่หญิงซูนะ เข้าใจหรือไม่?”

เสี่ยวเหยาพยักหน้า “พี่ใหญ่ ข้าจะฝึกให้หนัก เมื่อเสี่ยวเหยากลายเป็นยอดฝีมือ ข้าจะไปช่วยท่านแม่พร้อมกับพี่ใหญ่ และจัดการสั่งสอนพวกชั่วนั้นให้หมดเลย!”

ทันทีที่กล่าวจบ แววตานางเปล่งประกายเย็นเยือกออกมา เห็นได้ชัดว่านางชิงชังคนของราชวังบุปผาเช่นกัน

หยางเย่ลูบหัวเสี่ยวเหยาพร้อมรอยยิ้ม “ตกลง หลังจากเสี่ยวเหยาเป็นยอดฝีมือแล้ว เสี่ยวเหยาสามารถตามพี่ใหญ่ไปช่วยท่านแม่ได้! จากนั้นครอบครัวเราจะไม่แยกจากกันอีก!”

หลังจากสนทนากับเสี่ยวเหยาจบ หยางเย่กล่าวคำขอบคุณแก่ซูชิงฉืออีกครั้ง “ขอบคุณท่านอย่างมากที่ดูแลเสี่ยวเหยาให้!”

หากซูชิงฉือไม่รับดูแลเสี่ยวเหยาให้ หยางเย่ก็ไม่มีเวลาพอจะฝึกฝน หากเขาไม่มีเวลาฝึกฝนเพียงพอ แล้วจะเอาเวลาไหนไปช่วยมารดาได้?

คิ้วที่งดงามของซูชิงฉือขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินหยางเย่กล่าวคำขอบคุณ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าชอบเสี่ยวเหยาจริง ๆ ช่างเถอะ วิชาที่ข้าเห็นเจ้าฝึกนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง มันคือวิชาดาบกระชากสวรรค์ใช่หรือไม่?”

หยางเย่กล่าว “ก็ไม่ทั้งหมด ข้าอาศัยเพียงแรงปะทุจากการชักดาบเท่านั้น”

ซูชิงฉือพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่สงสัยเลย เพราะมันแตกต่างจากวิชาดาบกระชากสวรรค์ที่ข้ารู้จัก”

เมื่อกล่าวจบ นางมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าวิชาดาบกระชากสวรรค์ของสำนักดาบราชันนั้นยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์?”

“ไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์?” หยางเย่รู้สึกตกตะลึงในใจ