ตอนที่ 83 ช่วยเหลือ!

ซูชิงฉือพยักหน้าพร้อมกล่าว “วิชากระชากสวรรค์คือวิชาขั้นสีดำระดับสูงที่ผู้อาวุโสของสำนักคิดค้น เนื่องจากมีเพียงสองกระบวนท่า และพลังทำลายยังร้ายกาจ มันจึงเป็นที่ชื่นชอบของศิษย์มากมายในสำนักดาบราชัน กล่าวได้ว่ามันเป็นวิชาที่โด่งดังมาในตอนนั้น”

หยางเย่ตกตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดว่าวิชาดาบกระชากสวรรค์จะเป็นถึงขั้นสีดำระดับสูง หยางเย่รีบเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดวิชาดาบนี้ถึงถูกลดขั้นไปอยู่ขั้นสีเหลืองกันล่ะ ยิ่งกว่านั้นยังถูกเก็บไว้ลึกในศาลาเคล็ดวิชาอีก?

ดูเหมือนซูชิงฉือจะคิดบางอย่าง จากนั้นประกายเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตา นางเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “วิชาดาบกระชากสวรรค์ที่เจ้ากำลังฝึกฝนนั้นไม่ใช่ของจริงทั้งหมด เคล็ดวิชาที่แท้จริงมีสองกระบวนท่า คือตวัดและกระชาก กระบวนท่าที่แท้จริงคือการรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะแรงระเบิดจากการตวัดดาบรวมเข้ากับกระบวนท่าทีสอง วิชาดาบนี้สามารถทัดเทียบได้กับวิชาขั้นปฐพีได้เลย!”

หยางเย่พยักหน้าเห็นด้วย

ตั้งแต่ที่ได้เริ่มฝึกวิชา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป มันจึงดูเป็นวิชาที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันก็หาได้สำคัญเท่าไหร่ เพราะหยางเย่มีปฏิกิริยาโต้กลับที่ใช้ความสงบเพื่อยับยั้งกระบวนท่าศัตรู และโต้กลับด้วยการโจมตีเดียว ในอีกด้านหนึ่ง วิชาดาบกระชากสวรรค์จะมุ่งเน้นไปที่กระบวนท่าที่สองสำหรับโจมตี และเป็นฝ่ายรุก

บางทีกระบวนท่ากระชากอาจจะร้ายกาจกว่าปฏิกิริยาโต้กลับ แต่หยางเย่ก็ยังชื่นชอบในวิชาที่เขาคิดค้น อย่างไรก็ตาม หากเขากระจ่างในกระบวนท่ากระชากสวรรค์ เช่นนั้นมันจะต้องมีประโยชน์กับปฏิกิริยาโต้กลับแน่นอน

เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่จึงถาม “วิชาดั้งเดิมยังมีอยู่หรือไม่?”

ซูชิงฉือส่ายหัวพร้อมกล่าว “มันสูญหายไปแล้ว ผู้อาวุโสคนนั้นยังบันทึกวิชาไม่สำเร็จ เขาก็ถูกล้อมกรอบและถูกสังหารโดยสำนักภูตผี ดังนั้นวิชานี้จึงหายไปในไม่นาน อันที่จริงวิชาดาบกระชากสวรรค์ที่เจ้ากำลังฝึกนั้น ผู้อาวุโสได้บันทึกแค่กระบวนท่าแรกและมันคือการตวัดดาบที่เจ้ากำลังฝึกอยู่!”

หยางเยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่เขาก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก มันโชคดีหากเขาสามารถได้เรียนรู้ แต่หยางเย่ไม่คิดมากเกี่ยวกับมัน ยิ่งกว่านั้นเขาได้ฝึกกระบวนท่าแรกไปแล้ว มันก็เพียงพอที่จะผสมเข้ากับปฏิกิริยาโต้กลับ

ทันใดนั้นซูชิงฉือได้กล่าวด้วยเสียงเบา “หากเจ้าสามารถจับคนของสำนักภูตผีได้ จงสังหารมันเสียถ้าทำได้ เพราะพวกมันจะสังหารเจ้าหากเจ้าไม่ทำ ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าสังหารพวกมันได้ เจ้าจะได้รับคะแนนพิเศษด้วย!”

หยางเย่ตกตะลึงกับท่าทีของซูชิงฉือที่เย็นเยือก สตรีผู้นี้ชิงชังสำนักภูตผีโดยแท้จริง

เขายังจำวันคืนที่อยู่ใต้หุบเหวมรณะได้ สตรีผู้นี้คิดจะสังหารเขาเพียงเพราะจะใช้อาวุธของหัตถ์โลหิต ‘พวกเขาขัดแย้งกันมากเพียงใดนะ?’

ยิ่งกว่านั้นยังได้คะแนนพิเศษจากการสังหารคนของสำนักภูตผีด้วย มันหมายความอะไรกัน? มันหมายความว่าไม่เพียงแค่ซูชิงฉือที่เกลียดสำนักภูตผี แม้กระทั่งสำนักดาบราชันก็เกลียด มิเช่นนั้นมันไม่อาจเป็นไปได้ที่สำนักดาบราชันจะให้รางวัลเมื่อสังหารผู้อื่น!

“พี่หญิง สำนักภูตผีชั่วร้ายมากเลยหรือ?” ขณะนั้นเสี่ยวเหยาที่ยืนฟังบทสนทนาของทั้งคู่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเบา

หยางเย่ก็เอ่ยถามเช่นกัน “ชิงฉือ มีความขัดแย้งอะไรระหว่างสำนักเราและสำนักภูตผีงั้นหรือ?”

เมื่อยินได้ยินหยางเย่เรียกตนเองว่าชิงฉือ ท่านทีซูชิงฉือค่อนข้างไม่พอใจ แต่นางก็หาได้ติสิ่งใดไม่ นางมองไปทางหยางเย่พร้อมกล่าว “ความขัดแย้งนี้มีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำนักดาบราชันและสำนักภูตผีไม่ถูกจริตกันมาเกือบร้อยปี อย่าว่าแต่เมื่อก่อนเลย แค่ปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสบางส่วนและศิษย์อัจฉริยะของสำนักดาบราชันได้ถูกสำนักภูตผีสังหารสิ้น ยิ่งกว่านั้นมารดาข้าก็ตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือพวกมันเช่นกัน!”

เมื่อกล่าวจบ ท่าทีของนางดูโกรธเกรี้ยวอย่างมาก มันทำให้เสี่ยวเหยาขยับไปใกล้หยางเย่มากขึ้น

ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่ามารดาของซูชิงฉือจะถูกสังหารโดยสำนักภูตผี ไม่ต้องสงสัยว่านางเกลียดชังสำนักนี้มากเพียงใด

หยางเย่เองก็มีประสบการณ์คล้ายคลึงกับนาง เขาจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกนั้น เขารีบกล่าว “หากข้าได้เจอกับคนของสำนักภูตผีในอนาคต เช่นนั้นข้าจะสังหารพวกมันให้สิ้น!”

หยางเย่เป็นคนประเภทที่จะไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง หากคนอื่นไม่มาทำเขาก่อน แต่สำนักภูตผีเป็นข้อยกเว้น เพราะแม้เขาจะไม่ทำสิ่งใด พวกมันก็จะลงมืออย่างแน่นอน สำนักทั้งสองมีความขัดแย้งกันมาหลายชั่วอายุคน และทุกคนที่เข้าร่วมเป็นศิษย์สำนักดาบราชัน ผู้นั้นก็จะกลายเป็นศัตรูของสำนักภูตผีในทันที

ยิ่งกว่านั้นหยางเย่ก็ไม่ได้มีความประทับใจในสำนักภูตผีเท่าไหร่ เพราะเขาจำได้ดีว่าหัตถ์โลหิตกระทำเช่นไรกับเขา และคนของสำนักภูตผีที่ไล่ล่าจนต้องกระโดดลงไปใต้หุบเหว

เมื่อนางได้ยินหยางเย่ สายตาซูชิงฉือผันผวนเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “แม้สำนักภูตผีจะมีศิษย์ไม่มาก แต่ความแข็งแกร่งนั้นร้ายกาจนัก โดยเฉพาะวิชาแปลกประหลาดและวิชาต้องห้ามมากมายที่พวกมันมี หากเจ้าเจอคนของสำนักภูตผีเข้า เจ้าต้องระวังให้มาก และอย่าดื้อรั้นหากสู้ไม่ไหว!”

หยางเย่พยักหน้า “ข้าไม่ได้โง่ถึงขั้นไม่ทราบว่าใครที่ข้าสามารถสู้ด้วยได้!”

ซูชิงฉือลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “นอกจากพาเสี่ยวเหยามาหาเจ้าแล้ว ข้ายังมีเหตุผลอื่น ข้ามีบางอย่างที่ต้องให้เจ้าช่วย”

“ท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือ?” หยางเย่ประหลาดใจพร้อมเอ่ย “ท่านต้องการสิ่งใดล่ะ?”

ซูชิงฉือกล่าวต่อ “เจ้ายังจำวันที่เราหนีคนของสำนักภูตในเดือนก่อนได้หรือไม่?”

หยางเย่พยักหน้า “แน่นอนว่าข้าจำได้ ตอนนั้นท่านบอกว่ามียอดฝีมืออีกสองคนนอกจากหัตถ์โลหิต ความช่วยเหลือที่ท่านบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”

ซูชิงฉือพยักหน้าพร้อมกล่าว “พวกเราสงสัยว่าสำนักภูตผีกำลังวางแผนบางอย่างกับสำนักของเรา แต่กองกำลังที่เราส่งไปขุนเขาไม่สิ้นสุดวันนั้นไม่เจอเบาะแสใดเลย พวกเรามั่นใจว่าพวกมันเก็บหลักฐานอย่างดี และพวกมันซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาหมาป่าใต้ แต่ก็ไม่อาจหาได้ว่าพวกมันซ่อนที่ไหน!”

“ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?” หยางเย่เอ่ยถาม

ซูชิงฉือครุ่นชั่วครู่หนึ่ง “เจ้าสามารถสื่อสารกับบรรดาสัตว์อสูรได้ใช่หรือไม่?”

หยางเย่ชะงักก่อนจะถามด้วยท่าทึประหลาดใจ “ท่านอยาให้ข้าไปที่หุบเขาหมาป่าใต้เพื่อถามบรรดาสัตว์อสูรงั้นหรือ?”

ซูชิงฉือพยักหน้าพร้อมกล่าว “หากเจ้าสามารถสื่อสารกับสัตว์อสูรได้ มันก็คือสิ่งข้าตั้งใจ อย่ากังวลข้าไม่บอกผู้ใดเรื่องที่เจ้ามีหมาป่าใต้และมิงค์ม่วงลึกลับ ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือเท่านั้น ไม่มีใครทราบเรื่องอีก”

หยางเย่ถามสหายตัวจ้อย และเมื่อเห็นมันพยักหน้า เขาจึงรีบกล่าว “ข้าไม่สามารถสื่อสารกับสัตว์อสูรทมิฬได้ แต่สหายตัวจ้อยทำได้ แต่ท่านมั่นใจหรือว่ามันจะได้ผล?”

ซูชิงฉือกล่าว “ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะได้ผล แต่มันมีเพียงหนทางเดียวที่ข้าคิดได้ ถ้าสัตว์อสูรทมิฬไม่ทราบที่อยู่ของพวกมัน เช่นนั้นสำนักเราคงจะเพิ่มพื้นที่เพื่อค้นหา ถึงแม้มันจะเสียเปรียบ แต่สำนักดาบราชันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

หยางเย่กล่าว “ตกลง งั้นเราไปยังหุบเขาหมาป่าใต้กันเลยไหม?”

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน!” ซูชิงฉือกล่าว “เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ข้าต้องเตรียมตัวก่อน ข้าจะกลับมาหาเจ้าในอีกสามวันให้หลัง ตกลงหรือไม่?”

หยางเย่พยักหน้า “ตกลง!”

ซูชิงฉือพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นนางมองไปที่เสี่ยวพร้อมกล่าว “ไปกันเถอะ เจ้ายังฝึกฝนไม่เสร็จวันนี้ อย่าเสียเวลาอีกเลย!”

เสี่ยวเหยามองไปที่หยางเย่ด้วยแววตาไม่ค่อยเต็มใจ ถึงแม้ซูชิงฉือจะดีต่อนางมาก นางก็ต้องการออยู่ข้างพี่ใหญ่ เพราะนางรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา

เมื่อเห็นเสี่ยวเหยาเป็นเช่นนั้น หยางเย่รู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา เขาลูบหัวนางพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เด็กโง่ พี่ใหญ่อยู่ในสำนักดาบราชัน เจ้าก็อยู่ในนี้เช่นกัน เมื่อเจ้าฝึกกับพี่หญิงซูเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็มาหาพี่ใหญ่ได้ตลอดเวลา ตอนนี้กลับไปกับพี่หญิงก่อน เจ้าต้องเชื่อฟังพี่หญิงเข้าใจหรือไม่?”

เสี่ยวเหยาพยักหน้าก่อนจะกล่าว “พี่ใหญ่ ท่านดูแลตัวเองด้วยนะ เสี่ยวเหยาจะไปฝึกเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น เมื่อเสี่ยวเหยาแข็งแกร่งแล้ว ข้าจะไปช่วยท่านแม่พร้อมกับพี่ใหญ่ เสี่ยวเหยาจะฝึกฝนอย่างแข็งขัน!”

หยางเย่ลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน และสาบานในใจว่าจะไม่ให้เสี่ยวเหยาต้องได้รับบาดเจ็บไม่ว่ายังไง!

ซูชิงฉือจับมือเสี่ยวเหยา นางมองไปที่หยางเย่ก่อนจะสะบัดมือ ไม่นานนางได้จากไปพร้อมกับดาบหยก

หยางเย่มองแสงสว่างที่เส้นขอบฟ้าอยู่นาน จากนั้นเขาสูดหายใจลึกก่อนจะหันกลับไปยังต้นไม้โลหะอีกครั้งพร้อมเริ่มฝึกฝนวิชาดาบต่อ

หากเขาต้องการปกป้องเสี่ยวเหยาจากอันตราย เช่นนั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งเพียงพอ แต่ตอนนี้เขายังอ่อนแอ ถึงแม้ความแข็งแกร่งของหยางเย่จะทัดเทียมกับขั้นปราณสวรรค์ระดับแรก เขาก็ยังไม่อาจทัดเทียมกับซูชิงฉือหรือเฟิงอี้

ถึงแม้ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ แต่มันก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงต้องฝึกฝนให้หนักขึ้นไปอีก!