ตอนที่ 84 สภาวะจิตสายน้ำ

สามวันต่อมา ซูชิงฉือได้กลับมาที่หุบเขาวายุเหมันต์ นางยังไม่ได้เผยตัว และแอบดูหยางเย่จากระยะไกลขณะที่เขากำลังฝึกฝนวิชาดาบ

ขณะที่มอง ซูชิงฉือเผยท่าทีประหลาดใจออกมา นางไม่ได้ประหลาดใจในความเร็วหรือกำลังของกระบวนท่าของหยางเย่ ถึงแม้การชักดาบของหยางเย่จะเร็วแรละรุนแรง มันก็หาได้สำคัญต่อนางไม่ นางประหลาดใจเพราะหยางเย่สามารถเข้าสู่สภาวะจิตสายน้ำ

สภานะจิตสายน้ำมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีสมาธิมากเกินไปกับสิ่งที่ทำอยู่สิ่งเดียว การกระทำหรือทุกอย่างของผู้อื่นไม่สามารถดึงดูดความสนใจของสภาวะนี้ได้

สภาวะนี้เข้าถึงได้ยากมาก นางทราบดีว่ามันยากเพียงใดในการเข้าสู่สภาวะนี้ในอดีต ข้อกำหนดในการเข้าสู่สภาวะนี้ยากเย็นกว่าจะทำได้ ผู้นั้นต้องมีสมาธิที่ไร้ซึ่งความคิดว้าวุ่นในจิตใจ และต้องมีโชคระดับหนึ่งในการเข้าสู่สภาวะนี้

แน่นอนว่าประโยชน์ของสภาวะนี้ชัดเจนมาก นั่นคือผู้ที่เข้าสู่สภาวะนี้จะได้ผลลัพธ์สองเท่าไม่ว่าทำอะไรก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้หยางเย่ฝึกวิชาดาบกระชากสวรรค์ ภายใต้สภาวะนี้ ผลของการฝึกจะเพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า บางทียังสามารถเข้าใจเคล็ดลับบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดทำได้

ซูชิงฉือไม่คาดคิดว่าหยางเย่จะสามารถเข้าสู่สภาวะนี้ได้ เพราะแม้กระทั่งนางก็สามารถทำได้เพียงสองครั้งในชีวิตเท่านั้น!

พรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมเกินไป หรือว่ามีโชคมากเกิน ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นข่าวดีของสำนักดาบราชัน

เพราะรุ่นของหยางเย่ต้องการใครสักคนเป็นผู้นำ หากยังไม่มีใครสักคนที่สามารถเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์ในปีนี้ได้ เช่นนั้นความน่าอายของสำนักที่ไม่มียอดฝีมือคงแพร่สะพัดไปทั่ว เวลานั้น สำนักคงไม่อาจปฏิเสธได้จริง

เมื่อนึกถึงอนาคตของสำนักดาบราชัน ซูชิงฉือแสดงท่าทีกังวลออกมา เวลาผ่านไปชั่วครู่ นางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปที่หยางเย่อย่างใจจดใจจ่อ

ถ้าหยางเย่สามารถเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ได้ บางทีอาจจะยังมีโอกาส แต่มันก็มีความหวังเพียงเล้กน้อย แม้หยางเย่จะมีพลังปราณห้าธาตุทองคำ

ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมทดสอบเทียบอันดับสวรรค์จะไม่เข้าใจว่ามันน่าสะพรึงเพียงใดในนั้น

เวลานี้ มีเพียงซูชิงฉือที่ทราบว่าหยางเย่สามารถเข้าสู่สภาวะจิตสายน้ำได้ แน่นอนว่าหยางเย่เองก็ไม่ทราบ

สามวันหลังจากซูชิงฉือจากไปพร้อมกับเสี่ยวเหยา หยางเย่เริ่มฝึกอย่างหนักอีกครั้ง แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดแรงกระตุ้นบางอย่างขึ้นในการฝึกชักและตวัดดาบ เพื่อไม่ให้สูญสิ้นแรงกระตุ้นนี้ หยางเย่หยุดกินอาหารเหมือนปกติ และลืมทุกสิ่งอย่างขณะฝึกฝนอย่างหนัก

กล่าวคือหยางเย่อยู่ในสภาวะนี้มาสามวันสามคืนแล้ว

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงบ่าย ความเร็วของหยางเย่เร็วขึ้นทุกขณะ มันเร็วจนเขาสามารถเห็นประกายแสงเย็นยะเยือกในอากาศ และเสียงจากการชักดาบก็เบาลงทุกที เวลานี้ถึงมันจะยังมีเสียงหลงเหลือเพียงเล็กน้อย มันก็ยากที่จะได้ยินหากไม่ตั้งใจฟังอย่างดี

ซูชิงฉือที่กำลังมองหยางเย่ตลอดทั้งเช้า นางตกตะลึงมากขึ้นตลอดเวลา กระบวนท่านี้ของหยางเย่หาได้ทำให้นางประหลาดใจไม่ แต่มันเป็นเพราะพลังและขอบเขตการฝึกของเขา หากหยางเย่อยู่ขั้นพลังเดียวกัน นางจะสามารถต้านทานความเร็วจากดาบนี้ได้หรือไม่!

หากนางลองเทียบพลังไปอยู่ขั้นปราณสวรรค์ขั้นแรก มันเป็นเรื่องยากมากที่จะสกัดการโจมตีนี้ เพราะนางทราบดีว่าหยางเย่ใช้เพียงพลังทางกายภาพเท่านั้นในการฝึก และเขายังไม่ได้ใส่พลังปราณล้ำลึกเข้าไป

‘หากหยางเย่ใช้พลังปราณล้ำลึก จากนั้นเพิ่มพลังปราณทองคำเข้าไป เช่นนั้นมันจะน่าสะพรึงเพียงใดกันนะ?’

ปั้ง!

ต้นไม้โลหะตรงหน้าถูกโค่นเป็นสองซีก

เวลานี้หยางเย่เปิดตากว้าง จากนั้นเขาหันไปมองรอบด้าน เมื่อสังเกตเห็นว่าต้นไม้โลหะมากมายถูกโค่นลงรอบกาย เขาทำได้เพียงฝืนหัวเราะ เขาเพิ่งได้สติจากการฝึกฝนมาสามวันสามคืน

เวลานี้ซูชิงฉือปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าหยางเย่ จากนั้นนางมองไปรอบด้าน รอยตัดของต้นไม้เปลือกโลหะในระยะไกลยังไม่เสถียรนัก แต่รอยตัดในระยะใกล้กลับเรียบเนียนราวกับแก้ว

ซูชิงฉือทำได้เพียงสับสนเล็กน้อย เมื่อนางเห็นรอยตัดที่เรียบเนียนนี้ เพราะนางสงสัยว่ามันจะร้ายกาจเพียงใดหากเพิ่มพลังปราณเข้าไปด้วย!

หยางเย่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นซูชิงฉือ เช่นเคย ซูชิงฉือสวมชุดคลุมสีขาว ผมที่ยาวของนางมัดด้วยโบอยู่ด้านหลังพร้อมกับร่างที่ลอยอยู่บนพื้นเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นชุดคลุมนางยังรัดแน่นจนแนบเนื้อเนื่องจากแรงลมรอบด้าน มันทำให้เผยเห็นรูปร่างทรงเสน่ห์ของนาง

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองใต้หุบเหวมรณะ ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในใจหยางเย่ เขาไม่ได้พึงพอใจหรือภาคภูมิใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะนางเองไม่ได้เต็มใจ และก็ทราบดีว่าเขาไม่คู่ควรกับสตรีผู้นี้ เนื่องด้วยสถานะและความแข็งแกร่งของนางนั้นอยู่สูงกว่าหยางเย่มาก

มันไม่ใช่ความรู้สึกต่ำต้อย แต่เป็นเพราะหยางเย่ทราบถึงความเป็นจริงในโลกนี้ นอกจาครอบครัวที่เขารัก ความสัมพันธ์และความรักที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งเป็นพื้นฐาน มันเป็นเรื่องยากเขาที่จะมี

เมื่อผู้หนึ่งขาดความแข็งแกร่ง แม้กระทั่งครอบครัวผู้นั้นอาจจะดูถูกกลับได้

เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่ระงับความรู้สึกทั้งหมดไว้พร้อมกล่าว “ขออภัยที่ทำให้ท่านรอ!”

ซูชิงฉือถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินหยางเย่ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าหยางเย่มองนางยังไง นางหาได้ชอบการจ้องมองเช่นนั้นไม่ แต่โชคดีที่หยางเย่กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของนาง คงยากที่ทั้งสองจะไปด้วยกันต่อ

ซูชิงฉือสะบัดมือทำให้ดาบหยกได้ปรากฎตรงหน้า ร่างของนางขึ้นไปอยู่บนดาบหยกก่อนจะมองไปยังหยางเย่ “ไปกันเถอะ!”

หยางเย่พยักหน้าก่อนจะกระโดดขึ้นไปอยู่ด้านหลังนาง หลังจากขึ้นไปอยู่ด้านหลัง กลิ่นหอมเบา ๆ ของนางทำให้หยางเย่มึนงง แต่เขาก็รีบฟื้นสติจากสิ่งนี้ เขาไม่ต้องการทำให้สตรีผู้นี้ดูถูกเขาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ซูชิงฉือสะบัดมือเล็กน้อยทำให้ดาบหยกพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า หยางเย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังซูชิงฉือเซไปมาจนเกือบจะตกจากดาบ โชคดีที่เขารีบคว้าเอวของซูชิงฉือไว้

ซูชิงฉือแสดงท่าทีไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อยเมื่อหยางเย่จับเอว แต่ก็หาได้หยุดเขาไม่ นางกลับเพิ่มความเร็วขึ้นอีก

ในเวลาไม่นาน ทั้งสองได้มาถึงเขตแดนระหว่างป่าอสรพิษและหุบเขาหมาป่าใต้ ซูชิงฉือได้เก็บดาบและมองไปที่หยางเย่พร้อมส่งสัญญาให้เริ่มแผน

หยางเย่พยักหน้าพร้อมเรียกมิงค์ม่วงออกมา เวลานี้เจ้ามิงค์ม่วงเพิ่งตื่นจากการนอน ดวงตากลมโตของมันค่อนของดูง่วงอยู่เล็กน้อย มันถูตาที่ง่วงนอนก่อนจะมองไปที่ซูชิงฉือ จากนั้นได้กระโดดไปอยู่ตรงไหล่หยางเย่ มันใช้หัวเล็กจ้อยคลอเคลียหน้าหยางเย่ก่อนจะขอกลับไปนอนต่อ!

หยางเย่อุ้มมิงค์ม่วงไว้ในมือพร้อมกล่าว “สหาย ช่วยข้าสักหน่อยแล้วค่อยกลับไปนอนได้หรือไม่?”

มิงค์ม่วงฝืนมองไปที่หยางเย่ สายตานั้นทำให้สันหลังเขาเย็นเยือกขึ้นมา เพราะหยางเย่ทราบดีว่าสหายตัวจ้อยทำตัวเหมือนมนุษย์เกินไป

“แค่ช่วยข้านิดเดียว จากนั้นเจ้าสามารถกลับไปนอนได้อย่างเต็มที่ ตกลงหรือไม่?” หยางเย่ยังขอความช่วยเหลือ

ถึงแม้สหายตัวจ้อยจะไม่ค่อยพอใจที่หยางเย่มารบกวนการนอน มันก็ยังคงพยักหน้า และแสดงท่าทีจะช่วยเหลือ

เมื่อเห็นสหายตัวจ้อยตกลง หยางเย่รีบบอกเหตุผลที่ซูชิงฉือต้องการให้ช่วย

ไม่นาน สหายตัวจ้อยขยับกรงเล็บไปมาราวกับว่าแสดงท่าทีอะไรบางอย่างให้หยางเย่ทราบ

หยางเย่ค่อนข้างปวดหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาพยายามใช้ความคิดในใจ ‘คงจะดีหากสหายสามารถสนทนากับเราได้’

ไม่นานหยางเย่ก็สามารถเข้าใจในที่สุด เขามองไปที่ซูชิงฉือพร้อมกล่าว “สหายบอกข้าว่าพวกเราต้องจับสัตว์อสูรทมิฬระดับต่ำยิ่งตัวเล็กยิ่งดี”

ซูชิงฉือมองไปที่สหายตัวจ้อยก่อนจะหันไปทางหุบเขาหมาป่าใต้

หลังจากผ่านไปสามสิบนาที ซูชิงฉือได้กลับมา นางมีถุงขนาดใหญ่อยู่ในมือ ซูชิงฉือเดินไปยังมิงค์ม่วง จากนั้นได้เปิดถุงออก

มีสัตว์อสูรทมิฬตัวเล็กนับยี่สิบตัวข้างในนั้น สัตว์อสูรทมิฬตัวเล็กอย่างมาก ขนาดใหญ่สุดพอ ๆ กับตัวปลา และเล็กสุดประมาณหัวนิ้วโป้ง หลังจากเปิดกระเป๋า สัตว์อสูรทมิฬตัวเล็กจ้อยข้างในตื่นตระหนก และพวกมันทำท่าจะหนีเมื่อเห็นมิงค์ม่วงแสดงพลัง