ตอนที่ 85 ของวิเศษ!

มิงค์ม่วงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ร่างของสัตว์อสูรทมิฬตัวจ้อยนับยี่สิบตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยิน ดวงตาพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และร่างกายเกิดสั่นเทา

แม้กระทั่งหยางเย่และซูชิงฉือเองก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะเคยเห็นมาก่อนในอดีตแล้ว โดยเฉพาะซูชิงฉือ นางประหลาดใจอย่างแท้จริงที่หยางเย่สามารถปราบสัตว์อสูรทมิฬที่สายเลือดราชันได้!

ภายใต้คำสั่งของมิงค์ม่วง บรรดาสัตว์อสูรทมิฬตั้งใจฟังกันอย่างตั้งใจ และก่อตั้งเป็นรูปแบบสองแถว พวกมันเรียงแถวจากซ้ายไปขวา เริ่มจากตัวเตี้ยสุดไปยังตัวสูงสุด

เมื่อสังเกตเห็นว่าสหายตัวจ้อยโอ้อวดมากเกินไปจนลืมจุดประสงค์ หยางเย่เคาะหัวสหายตัวจ้อยด้วยความไม่พอใจพร้อมกล่าว “สหาย รีบเข้าเรื่องได้แล้ว!”

มิงค์ม่วงพยักหน้าก่อนจะเริ่มสื่อสารกับเหล่าสัตว์อสูรทมิฬ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สหายตัวจ้อยเงยหน้ามองหยางเย่ จากนั้นมันชี้กรงเล็บไปทางหุบเขาหมาป่าใต้

ซูชิงฉือและหยางเย่รู้สึกยินดีเมื่อเห็น จากนั้นหยางเย่ได้เอ่ยถาม “สหาย เจ้าบอกว่าพวกเขาอยู่ทางนั้นใช่หรือไม่?”

สหายตัวจ้อยชี้ไปที่เหล่าสัตว์อสูรทมิฬก่อนจะชี้ไปทางหุบเขาหมาป่าใต้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าเหล่าสัตว์อสูรทมิฬจะบอกว่าพวกสำนักภูตผีอยู่ที่นั่น

หยางเย่พยักหน้าก่อนจะมองไปที่ซูชิงฉือ ซูชิงฉือเองก็เข้าใจ นางสะบัดมือพร้อมเก็บสัตว์อสูรทมิฬกลับใส่ถุงก่อนจะพาหยางเย่พุ่งไปทางที่สหายตัวจ้อยชี้

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม จากการนำทางของพวกสัตว์อสูรทมิฬ ทั้งสองก็ได้มาถึงกำแพงหิน มันสูงประมาณสองถึงสามเมตรและกว้างกว่าสามสิบเมตร พื้นผิวของกำแพงหินปกคลุมไปด้วยพืชพรรณมากมาย เห็นได้ชัดว่ามันคงอยู่มานาน

ขณะมองไปยังกำแพงหินที่สหายตัวจ้อยชี้ หยางเย่ขมวดคิ้วพร้อมถาม “สหาย เจ้ามั่นใจว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นไม่ผิดพลาดนะ พวกสำนักภูตผีซ่อนอยู่ใต้นั้นใช่หรือไม่?” ขณะมองไปยังกำแพงหินที่ดูปกติ หยางเย่รู้สึกสับสนเล็กน้อย

สหายตัวจ้อยกะพริบตาปริบ จากนั้นมันถามบรรดาสัตว์อสูรทมิฬอีกครั้ง ไม่นาน สหายตัวจ้อยชี้ไปยังกำแพงหินอย่างมั่นใจ

หยางเย่และซูชิงฉือมองตากันก่อนจะพยักหน้า นางวางบรรดาสัตว์อสูรทมิฬไว้ที่พื้น

พวกมันไม่ได้คิดจะหนีหลังจากวางลง พวกมันมองไปที่มิงค์ม่วงอย่างหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่กล้าหนีถ้ามิงค์ม่วงไม่อนุญาต

ไม่นานมิงค์ม่วงพยักหน้า ทำให้เหล่าสัตว์อสูรทมิฬตัวจ้อยทั้งหลายกระโดดออกไป จากนั้นพวกมันวิ่งตรงไปยังกำแพงหิน เห็นเช่นนั้นหยางเย่และซูชิงฉือจึงรีบตามไป

เมื่อพวกเขามาถึงกำแพงหิน บรรดาสัตว์อสูรทมิฬตัวจ้อยต่างพากันเจาะเข้ารูเล็ก ๆ ตรงด้านล่างกำแพงหิน ทันใดนั้นเอง มิงค์ม่วงได้แตะที่หัวหยางเย่พร้อมชี้ไปทางกำแพงหิน

ขณะที่หยางเย่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ท่าทีซูชิงฉือเปลี่ยนไปทันที นางดึงหยางเย่ออกไปอย่างรวดเร็วและหายไปในชั่วพริบตา นางซ่อนตนเองและหยางเย่ใต้พุ่มไม้ห่างไปสามสิบเมตร

หลังจากที่ทั้งสองแอบไปซ่อนในพุ่มไม้ ทันใดนั้นเสียงแปลกประปลาดได้ดังออกมาจากกำแพงหิน ภายใต้การจ้องมองของทั้งคู่ ประตูหินได้ถูกเปิดออกมาช้า ๆ ร่างปริศนาสวมชุดคลุมสีดำสองร่างได้ปรากฏออกมาจากหลังกำแพงหิน

ร่างชุดดำดูเหมือนจะตรวจสอบรอบด้านอย่างระแวดระวัง พวกเขามองไปทั่ว เมื่อสังเกตว่าไม่มีผู้ใด ร่างชุดดำได้กล่าวขึ้น “เห่ยต้า ข้าบอกเจ้าแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนอยู่ที่นี่ มันคงจะเป็นสัตว์อสูรทมิฬบางตัวผ่านมาเท่านั้น แต่เจ้าก็ไม่เชื่อข้า ตอนนี้เชื่อแล้วหรือยัง?”

ชายนามเห่ยต้ากล่าว “มันเป็นการดีที่จะไม่ประมาท คนของสำนักดาบราชันได้เงียบหายไปเลย ผู้อาวุโสกล่าวว่าพวกสำนักดาบราชันกำลังวางแผนบางอย่างอยู่เช่นกัน”

ร่างชุดดำอีกคนกล่าว “ข้าว่าพวกมันหาพวกเราไม่เจอจึงยอมแพ้ไปแล้ว แต่เจ้าก็หาได้ผิดไม่ มันเป็นการดีที่จะไม่ประมาท มิเช่นนั้น ถ้าทุกคนทราบว่าที่ซ่อนถูกเผยเพราะพวกเราก็เตรียมตัวรอความตายได้เลย!”

เห่ยต้าพยักหน้า จากนั้นเขามองไปรอบด้านอีกครั้ง เมื่อยังสังเกตว่าไม่สิ่งใดผิดปกติ เขารีบกล่าว “ไปเถอะ รีบกลับเข้าไปกัน!”

หลังจากทั้งสองหันหลังกลับไป ซูชิงฉือรีบเข้าไปด้านหลังทั้งสองทันที มันดูเหมือนนางไม่ได้ทำสิ่งใด แต่ทั้งสองกลับร่วงลงไปกองกับพื้นเรียบร้อย

ฉากนี้ทำให้หยางเย่ที่ซ่อนตัวอยู่ถึงกับตกตะลึง เพราะเขาไม่คาดคิดว่าซูชิงฉือจะลงมือได้รวดเร็วปานนั้น ‘นางต้องรวดเร็วถึงเพียงใดถึงจะทำได้?’

หยางเย่ระงับอาการตกตะลึงไว้ในใจก่อนจะเดินไปไปหา หยางเย่มองไปยังศพทั้งสองพร้อมกล่าว “พวกเราควรจะทำอย่างไรกับทั้งสองนี้ดี?”

ซูชิงฉือกล่าว “สัตว์อสูรทมิฬจะเข้ามาจัดการพวกมันเอง ตอนนี้พวกเราเจอที่ซ่อนของสำนักภูตผีแล้ว เจ้าสามารถกลับสำนักดาบราชันได้!”

“แล้วท่านล่ะ?” หยางเย่ถามตามสัญชาตญาณ

ซูชิงฉือมองลึกไปข้างในประตูพร้อมกล่าว “ข้าจะเข้าไปสำรวจข้างใน พวกมันต้องกำลังวางแผนการใหญ่ในนั้นแน่”

หยางเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำ “พวกเราทราบแล้วว่าอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงไม่รอยอดฝีมือของสำนักมาถึงก่อนล่ะ? ตอนนี้มันอันตรายเกินไป!”

ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “ด้วยความแข็งแกร่งที่ข้ามี ถึงแม้จะไม่สามารถประมือกับพวกมันได้หมด ข้าก็สามารถเอาตัวรอดได้ ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังกระทำการอย่างระมัดระวัง ข้าสังหารคนของพวกมันไปสอง ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมันจะสังเกตเห็นหรือเปล่า จะเป็นอย่างไรถ้าพวกมันมีทางหนีอื่นอยู่ข้างใน? หากเป็นเช่นนั้นพวกเราก็แทบไม่ได้สิ่งใดกลับไป!”

เมื่อเขาเห็นซูชิงฉือมุ่งมั่นที่จะเข้าไป หยางเย่จึงกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย!

ซูชิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ย “เจ้ายังอ่อนแอเกินไป!”

มุมปากหยางเย่บิดเบี้ยว ‘บอกกันแบบอ้อม ๆ ไม่ได้เลยหรือไงนะ?’

หยางเย่ชี้ไปที่มิงค์ม่วงพร้อมกล่าว “ด้วยความสามารถของสหายข้า พวกเราจะหาพวกมันได้แน่นอนแม้พวกมันคิดจะหนีก็ตาม”

ซูชิงฉือมองไปที่มิงค์ม่วง นางลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า ด้วยความแข็งแกร่งของหยางเย่ตอนนี้ นางเกรงว่าเขาจะเป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น แต่มิงค์ม่วงลึกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นางยังคงจำเหตุการณ์ตอนนกรัตติกาลได้

หลังจากผ่านทางเข้า พวกเขาสังเกตว่าถ้ำนี้เป็นทางเดินยาว ทางเดินในนี้กว้างขวางมาก ยิ่งกว่านั้นมันนไม่ได้แบนราบลงแต่กลับขยายใหญ่ขึ้น

มีหินน้อยใหญ่มากมายในถ้ำจนไม่สามารถเห็นทางเดินข้างหน้าได้ ข้างในนี้แม้กระทั่งแสงอาทิตย์ก็ไม่สามารถส่องเข้ามา ทุกอย่างภายในทางเดินสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะมีหินแสงจันทร์วางอยู่ทุกสามเมตรตลอด!

หยางเย่และซูชิงฉือจ้องหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะเผยท่าทีเคร่งขรึม

หลังจากทั้งสองมาถึงล่างสุด ทั้งสองเดินลงไปตามบันไดหินจนมาถึงสุดทาง พวกเขาเริ่มเดินตามทางเข้าไปต่อ ระหว่างทาง พวกเขาเผชิญหน้ากับพวกชุดคลุมดำ แต่ก็ถูกจัดการโดยซูชิงฉืออย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินมาได้หนึ่งชั่วยาม ซูชิงฉือหยุดเดิน ใบหน้านางเต็มไปด้วยท่าทีเย็นเยือก

“เกิดอะไรขึ้น?” หยางเย่กระซิบถาม

ซูชิงฉือมองไปในทางที่ยาวตรงไปจนสุดก่อนจะกล่าว “ทางนั้นตรงไปยังสำนักดาบราชัน!”

เปลือกตาหยางเย่บิดเบี้ยวเมื่อได้ยินพร้อมคิดในใจ ‘ซูชิงฉือคิดได้ถูกต้อง พวกสำนักภูตผีได้วางแผนการบางอย่างกับสำนักดาบราชัน!’

“มีบางอย่างกำลังมา!” ซูชิงฉิงดึงมือหยางเย่ก่อนจะหายตัวไป ทางเดินเป็นทางตรงยาว มันไม่มีเหลี่ยมมุมใด ดังนั้นทั้งสองจึงได้ซ่อนตัวอยู่บนสุดของทางเดิน หยางเย่ไม่มีความสามารถที่จะลอยอยู่บนอากาศโดยปราศจากวัตถุช่วย แต่ซูชิงฉือสามารถทำได้!

ไม่นานร่างชุดดำได้ปรากฏตัว เมื่อร่างชุดดำได้วิ่งผ่านทั้งสองไป เขาหยุดพร้อมเอ่ย “หือ? เหตุใดเราถึงได้กลิ่นคนแปลกหน้า?” เขามักจะติดต่อกับยอดฝีมือที่มือกลิ่นคาวเลือด ดังนั้นเขาจึงมีสัมผัสที่ไวต่อคนแปลกหน้า

เวลานี้ ซูชิงฉือเริ่มลงมือ ประกายดาบได้ตัดศีรษะชายชุดดำกระเด็นทันที

หยางเย่ได้ลงมาหลังจากนางลงมือพร้อมกล่าว “ดูเหมือนก่อนหน้านี้ท่านไม่คิดจะสังหารเขาใช่หรือไม่?”

ซูชิงฉือพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าว “เขาอยู่ขั้นปราณราชัน ดังนั้นจิตวิญญาณจึงถูกจารึกไว้ในป้ายวิญญาณที่สำนักภูตผี หากพวกเราสังหารเขา ป้ายจิตวิญญาณจะแตกออกทันที กล่าวคือ ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม ยอดฝีมือสำนักภูตผีจะต้องมาที่นี่แน่นอน พวกเราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า”

หยางเย่กล่าวด้วยเสียงเบา “ชิงฉือ เจ้าเคยบอกว่ามียอดฝีมือที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับหัตถ์โลหิตอยู่แถวนี้ หากพวกเราถูกเผยตัว สถานการณ์จะต้องเลวร้ายเป็นแน่!” หยางเย่หาได้กลัวความตายไม่ แต่เขาไม่ต้องการตายอย่างไร้เหตุผล

ซูชิงฉือกล่าว “อย่ากังวลไปเลย ข้าแจ้งให้ยอดฝีมือสำนักดาบราชันทราบตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาแล้ว หากไม่ผิดพลาด กองกำลังเสริมของพวกเราคงกำลังถึงปากทางเข้าในตอนนี้”

เมื่อกล่าวจบ นางมองไปที่หยางเย่พร้อมเอ่ย “แต่เจ้าเองก็กล่าวได้ถูกต้อง มันค่อนข้างอันตรายที่เข้ามาพร้อมกับข้า เจ้าอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจงอยู่ที่นี่หรือตรงไปหายอดฝีมือของสำนักดาบราชันเสีย” ทันทีที่กล่าวจบ ซูชิงฉือไม่สนใจหยางเย่อีก ร่างของนางพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ขณะที่มองไปตามทาง หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะหันกลับไปหาบรรดายอดฝีมือของสำนักดาบราชัน ซูชิงฉือกล่าวถูกต้อง ความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอในตอนนี้ ถึงแม้ซูชิงฉือจะซื่อตรงไปหน่อย แต่นางก็ได้คิดผิดไม่

ถ้าเขายังตามซูชิงฉือเข้าไป และถูกพบตัว เขาจะกลายเป็นภาระในทันที!

มันเป็นความจริงที่เขาไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ หยางเย่ทำได้เพียงไม่พอใจตนเอง

หยางเย่ต้องการที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อต้องการให้ซูชิงฉือพาไปโดยไม่ต้องกังวล ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ต้องการให้ซูชิงฉือมาปกป้อง แต่เป็นเขาที่ต้องการปกป้องนาง ทั้งหมดมันทำได้แค่นึกคิดเท่านั้น เพราะความจริงเขายังอ่อนแอในตอนนี้

‘ความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก! เราต้องฝึกให้หนักกว่านี้!’ หยางเย่บ่นพึมพำกับตนเองขณะมองไปยังเส้นทาง

ขณะที่หยางเย่กำลังจะหันไป มิงค์ม่วงบนไหลได้ชี้กรงเล็บในเส้นทางที่หยางเย่มอง ราวกับว่ามันต้องการให้หยางเย่ไปตามเส้นทางนั้น

“ทำไมงั้นหรือ?” หยางเย่เอ่ยถามเมื่อเห็นสหายตัวจ้อยบอกให้ตามซูชิงฉือไป

สหายตัวจ้อยขยับกรงเล็บอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานก่อนที่หยางเย่จะเข้าใจ ทันใดนั้นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที “เจ้าบอกว่ามีบางอย่างที่น่าสะพรึงอยู่ที่นั่นสินะ และมันค่อนข้างอันตราย แต่ก็มีของวิเศษข้างงั้นหรือ?”

สหายตัวจ้อยพยักหน้า สิ่งนี้ค่อนข้างขัดแย้งกัน เพราะมันต้องการสมบัติ แต่ก็ยังอันตราย สหายตัวจ้อยไม่เกรงกลัวอันตราย เพราะมันสามารถหนีได้ตลอดเวลา และไม่มีผู้ใดสามารถจับมันได้ แต่หยางเย่ไม่สามารถทำได้!

เมื่อยังเห็นสหายตัวจ้อยพยายามส่งสัญญาณ หยางเย่ไม่ลังเลอีกพร้อมพุ่งไปยังทางที่ซูชิงฉือเข้าไป