ตอนที่ 203 หน้าตาอยู่หนใด

” เจ้า เจ้าไม่โง่นี่นา?” ฉินจิ่วเกอรับไม่ได้ ไอคิวและไหวพริบของเจ้าหมอนี่ ไฉนจู่ๆ พลันพุ่งทะยานขึ้นปานนี้ ถึงกับสามารถวางแผนตลบหลังตนเองได้

ภูมิปฏิภาณของพวกตัวร้าย ไม่ใช่ว่าต้องกระจอกๆ หรอกหรือ?

เฉียนหยุนยามนี้ถือไพ่เหนือกว่า ต้องรู้สึกตัวพองเหมือนคางคกขึ้นวอ ริมฝีปากแสยะยิ้มยากหุบลงได้ “เจ้าสิโง่ ข้าไม่โง่ ดูไม่ออกเหรอ ข้าจงใจล่อซื้อเจ้า?”

ฉินจิ่วเกอตะลึงตาลาน ตะลึงตาลานอย่างแท้จริง ตอนนี้มันเข้าใจแล้ว ที่ว่าสติปัญญาพวกตัวร้ายไม่สู้สุนัขล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ไม่ต่างจากเรื่องของเจ้าหญิงพบพานเจ้าชายขี่ม้าขาว ล้วนเป็นนิทานหลอกเด็ก ไม่จริงทั้งสิ้น

แท้จริงแล้วพวกตัวร้ายไอคิวสูงต่างหาก อีคิวก็ไม่น้อยอีกด้วย จัดการหลอกลวงมันจนต้องเปลืองสตางค์เพิ่มขึ้นหลายแสนศิลาวิญญาณ ฉินจิ่วเกอหน้ามืดแล้ว มันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉียนหยุนจะฉลาดกว่าที่มันคิดถึงขั้นนี้

นายพรานเฝ้าล่าห่านสุดท้ายถูกจิกตาบอด สุภาพบุรุษฉินผู้พ่ายแพ้ยามนี้บันดาลโทสะมหาศาล

“เจ้า ท่านย่าเจ้าเถอะ!” ฉินจิ่วเกอถกแขนเสื้อ สร้างความแตกตื่นแก่เฉียนหยุนทะลึ่งลุกจากเก้าอี้ ล่าถอยไปไกลหลายก้าว

พอเห็นว่าซ่งเล่อเข้ามาห้ามฉินจิ่วเกอแล้ว เฉียนหยุนค่อยสะกดความหวาดกลัวลงไป อดกลั้นเหงื่อเย็นที่หลั่งโซมหน้าไว้ “เลิกสร้างเรื่องวุ่นวายได้แล้ว เอาเวลาไปคิดหาทางหาเงินมาจ่ายเถอะ”

ฉินจิ่วเกอพยายามสะกดเพลิงพิโรธในอกลงอย่างสุดความสามารถ เชิดหน้าขึ้นสูงชัน “เจ้า คอยดู แม่น้ำบรรพตล้วนมีวันบรรจบ พวกเราคอยดูไปเถอะ”

“เฮอะ ข้าหรือจะกลัวเจ้า ข้าเฉียนหยุน ไม่หวั่นความยากลำบาก สัตย์ซื่อจริงใจทั้งยังเปิดเผยใจกว้าง วิธีการต่ำช้าที่เจ้าใช้ ไร้เดียงสา ช่างไร้เดียงสานัก”

“แค่กแค่ก”

ฉินจิ่วเกอมองดูศิษย์น้องรองที่ปิดตาสงบจิตอยู่ หากมิใช่ตนเองมีพระเอกหนุนหลังอยู่ จากสภาพการณ์เมื่อครู่ มันคงคิดว่าตนเองอยู่ฝ่ายตัวร้ายเป็นแน่ ส่วนเฉียนหยุนคือฝั่งคุณธรรมที่กำลังดัดหลังตัวชั่วร้ายซวยหมื่นปีอยู่

“เจ้า เจ้ามันคนชั่ว!” ฉินจิ่วเกอกุมศีรษะที่เจ็บปวดสาหัส ชี้นิ้วกล่าวโทษอีกฝ่าย

เฉียนหยุนไม่เอ่ยอันใด นิ่งสงบไร้เรื่องราวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แยแสคนอื่นๆ ในที่ประชุม

“พี่ฉิน ใจเย็นก่อน!” ซ่งเล่อช่วยเรียกสติ

ฉินจิ่วเกอประกายน้ำตาคลอเคล้าที่หางตา ราวกับบุรุษอกหักจากหญิงคนรักท่ามกลางแผ่นดินเหน็บหนาวของหิมะน้ำแข็ง จิตใจแหลกสลายยับเยิน “พี่ซ่ง ข้าเจ็บปวดนัก”

จวบจนล่วงเข้าสู่ยามค่ำ วุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน การประมูลก็เข้าสู่ช่วงท้าย ผู้ชมต่างแยกย้าย ภายในห้อง เฉียนหยุนยังไม่ไปไหน ทำตาเล็กตาน้อยมองดูฉินจิ่วเกออย่างแย้มยิ้ม

ค่ำคืนวันพรุ่งนี้ จะเป็นวันจันทร์เต็มดวง เมื่อคลื่นสัตว์อสูรมาถึง จะอับจนปัญญาถึงเพียงไหน!

งานประมูลจบลง เหมียนเหล่าสะสางเรื่องราวแล้วเสร็จ เตะโด่งขยะเกลื่อนพื้นเดินออกนอกห้องประมูล บนมือถือก้อนแร่สีดำที่มีมูลค่าร่วมหกแสนศิลาวิญญาณ

เฉียนหยุนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอวดเบ่ง เหล่าสมุนที่ด้านหลังกำลังขวัญเต็มเปี่ยม สองมือวางบนเข่า สองเท้าแยกออก

เหมียนเหล่าเลิกคิ้วขาวโพลน มือกะน้ำหนักของก้อนแร่ ขยะชิ้นนี้ ถึงกับมีเจ้าคนโง่อยากได้ เหมียนเหล่าทบทวน นี่สมควรเป็นการค้าที่นับแต่มันประกอบกิจการเป็นต้นมา น่าฉลองที่สุดแล้ว

“มา ชำระบัญชีซะ” เหมียนเหล่ายื่นมือออก ส่งก้อนแร่ออกไปอย่างมั่นคง

ยามในในห้องประชุมนั่งแบ่งออกเป็นสองฝั่งชัดแจ้ง ด้านซ้ายของเหมียนเหล่าคือฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อ ทางขวาคือเฉียนหยุน รังสีความเป็นศัตรูระหว่างทั้งสองฝ่ายราวน้ำกับไฟ ทั้งยังมีประกายสายฟ้าและพายุคั่นกลาง

“อา อาวุโสเหมียน ก้อนแร่ เอ๊ย สมบัติชิ้นนี้เป็นคุณชายเฉียนหยุนประมูลไว้ ท่านก็ห่อให้ดีแล้วมอบแก่มันเถอะ”

ฉินจิ่วเกองัดลูกไม้ไร้ยางอายออกมา ยึดถือหลักการความไร้ยางอายไว้อย่างเหนียวแน่น ชี้มือไปยังเฉิยนหยุนด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“หา”

เหมียนเหล่ามองดูเจ้าโง่นั่นพยายามผลักไสก้อนแร่ออกจากตัว

เฉียนหยุนที่กำลังมองดูเรื่องสนุกสนานของฉินจิ่วเกอต้องสะดุ้งขึ้นราวแมวถูกเหยียบหาง ขนพองขึ้นทันที “เจ้าพูดอะไรเพ้อเจ้อ หน้าไม่อาย ก้อนแร่นี้เป็นเจ้าประมูลได้ต่างหาก”

“สมบัติ” เหมียนเหล่ากล่าวแก้

“เอ๋?” เฉียนหยุนอ้าปากค้าง

“นี่ไม่ใช่ก้อนแร่ไร้สาระ แต่เป็นสมบัติ สมบัติจากยุคบรรพกาล!” เหมียนเหล่ากล่าวเน้นหนัก เฉียนหยุนพูดไม่เก่ง ต้องอึดอัดน้ำท่วมปาก

มันส่งเสียงอึกอักสองสามคำ มันเป็นคนซื่อ ต้องชี้นิ้วไปยังฉินจิ่วเกอที่ยิ้มจนหน้าแห้ง “ท่านผู้เฒ่า ของของท่าน เป็นเจ้าหมอนั่นที่ประมูลไปต่างหาก”

“หา?”

“ไม่ใช่!” ฉินจิ่วเกอยืนขึ้นอย่างเคร่งขรึม ใช้เท้าลอบสะกิดซ่งเล่อ “ซ่งเล่อ เจ้าบอกมา ก้อนแร่นี้ใครประมูลได้”

“แน่นอน ก็มันน่ะสิ!”

ใกล้ชาดย่อมเป็นสีแดง ซ่งเล่อคลุกคลีกับฉินจิ่วเกอมานาน มันทราบถึงหลักการแห่งความไร้ยางอาย คือต้องยึดมั่นในความไร้ยางอายและไร้ยางอายให้ถึงที่สุด พลิกตลบสามัญสำนึกของคน สุมกองไฟใส่เฉียนหยุนแทนที่

เฉียนหยุนแตกตื่นร้อนรนจนเดินวนไปมาสามสี่รอบ ไอโมโหกรุ่นฉาบทาใบหน้าปุเลี่ยนๆ “เจ้า เจ้าเจ้าเจ้าเจ้า ข้า มัน นี่มันเหตุผลอะไรกัน”

“คุณชายเฉียน ต่อให้ท่านพ่นคำสรรพนามออกมามากกว่านี้ ก็ไม่ได้พิสูจน์อะไร ก้อนแร่นี้ยังคงเป็นท่านที่ประมูลได้ไป ก็รีบๆ จ่ายเงินเถอะ เกิดเป็นสุภาพบุรุษต้องรักษาความน่าเชื่อถือ”

อันติงหลันทางด้านข้างยามนี้หลงฉินจิ่วเกอจนหัวปักหัวปำไปแล้ว วะว้าววว บุรุษที่หน้าด้านไร้ยางอายปานนี้ มิใช่สามารถหาได้ทั่วไป โดยเฉพาะท่วงท่าลีลายามมันหน้าหนาไร้ยางอาย หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยรัศมีบารมีอันจริงจัง ช่างเป็นตัวอย่างของสุภาพบุรุษจอมปลอมที่แท้จริง

“ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริงๆ!” เฉียนหยุนยามนี้ต่อให้กระโดดลงหวงเหอยังไม่อาจชำระล้างมลทินได้ มันช่างแพศยาแท้ๆ ไปหาเรื่องไอ้ปีศาจนี่ทำอะไร มันยิ่งรับมือยากเย็นกว่าซ่งเล่อมากนัก

“เจ้านั่นแหละ!” ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน มองดูช่างสอดคล้องต้องกันราวบรรพตสายธารบรรจบไกล

เหมียนเหล่ายื่นก้อนแร่แก่เฉียนหยุน ในเมื่อทุกคนล้วนบอกว่าเป็นเจ้า งั้นก็เจ้านั่นแหละ จะทำอะไรได้

เฉียนหยุนถูกปรักปรำให้ร้ายอย่างโสมมที่สุด ยิ่งกว่าแม่ทัพเยว่เฟยหรือสตรีแซ่โต้วอีก ต้องกำหมัดแน่น ร่างสั่นเทิ้ม

“ตกลงใครกันแน่?” เหมียนเหล่าตอนนี้เริ่มสับสนแล้ว

หากจะบอกว่าเป็นฉินจิ่วเกอที่ประมูลไป แต่เจ้าเด็กนี้ก็หน้าตาขึงขังจริงจัง เป็นเลิศทางคุณธรรมความซื่อสัตย์จริงใจ ไม่เหมือนคนพูดจาหลอกลวง ทั้งยังมีคนยืนยันคือซ่งเล่อ นั่นก็ท่าทางหนักแน่นดั่งภูผา

แต่หากจะบอกว่าเฉียนหยุนประมูลได้ เจ้าเด็กนี่ก็ทำหน้าถูกปรักปรำเต็มพิกัด หน้าแดงตาขวาง ฟันในปากสั่นกระทบกันกึกกัก ถ้าบอกว่ามันประมูลได้ ก็น่าจะแสดงเก่งจนเกินไป

” งั้นเอางี้” ฉินจิ่วเกอยืนขึ้น “อาวุโส สมบัติพิสดารในมือท่าน ตอนเปิดราคาเปิดที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ งั้นให้ข้าและพี่เฉียนขานราคากันอีกรอบ เช่นนั้นก็สามารถจำลองออกมาได้”

“ดี” เหมียนเหล่าผงกศีรษะ การจำลองสถานการณ์อีกรอบ อย่างนี้ก็ไม่เลว

อันติงหลันตอนนี้คล้ายไม่เข้าใจฉินจิ่วเกอผู้น่าหลงใหลแล้ว มันเป็นคนออกหัวคิด แต่ดูแล้วไม่น่าเป็นประโยชน์กับตัวมันเท่าใด นอกจากมันจะมีแผนการร้ายอันใด?

“มา พวกเราเริ่ม” ฉินจิ่วเกอเร่งเร้า ตบบ่าของเฉียนหยุนที่กำลังสั่นเทิ้ม ปั้นสีหน้าราวพี่ใหญ่ “ข้าเสนอหนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”

เฉียนหยุนที่ดวงตาคลอน้ำต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปีติยินดี “สองแสน!”

“สามแสน!” ฉินจิ่วเกอยกมือป้องปาก ใจกลางฝ่ามือมีหมอกเหงื่อกรุ่นจาง

“สี่แสน!” เฉียนหยุนไม่ยอมน้อยหน้า

มุมปากฉินจิ่วเกอวาดโค้ง นัยน์ตาปรากฏประกายรอยยิ้ม เอ่ยด้วยเสียงสดใสเปี่ยมกำลังวังชา “ห้าแสน”

“หกแสนศิลาวิญญาณระดับต่ำ” เฉียนหยุนเอ่ยออกจากปาก

ฉินจิ่วเกอปัดมือ กล่าวต่อเหมียนเหล่า “เห็นมั้ย ท่านผู้อาวุโสเข้าใจแล้วกระมัง”

เหมียนเหล่าผงกศีรษะ มันเข้าใจแล้ว ส่งก้อนแร่ให้แก่เฉียนหยุน แทบทับอีกฝ่ายตายคาที่ “ใช่แล้ว เป็นเจ้าขานว่าหกแสน ส่วนข้าขานปิดประมูล เอาศิลาวิญญาณมาเร็ว”

เฉียนหยุนตะลึงลาน ยืนโง่งมคาที่ ยกฝ่ามือที่นิ้วทั้งสิบหงิกงอสั่นสะท้านขึ้นมา เป็นไปได้อย่างไร หกแสนนั่น ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าคนต่ำช้ารอยยิ้มน่ารังเกียจนั่นต่างหากที่ขานออกมา ทำไมแค่พริบตาก็กลายเป็นมันเล่า?

เฉียนหยุนสะกดลมตีกลับจนแทบสิ้นสติสมประดีของมันลงไป ยืนอ้ำอึ้งอยู่หลายก้าวกับที่ “ไม่ถูกต้อง ข้าขานว่าสี่แสน เจ้าก็ขานหกแสนเลย ใช่หรือไม่!”

เฉียนหยุนดึงชายแขนเสื้อฉินจิ่วเกอไม่ยอมปล่อย ตอนนี้มันท้องอืดบวมไปด้วยลมโทสะ ต้องเรอออกมาหลายเอิ้ก

“สี่แสนหกแสนอะไรกัน ใครหน้าไหนมันจะขานราคาเพิ่มขึ้นทีละสองแสนบ้าง? เจ้าคิดว่าศิลาวิญญาณเป็นก้อนกรวดหรือไง?” ฉินจิ่วเกอไม่พอใจยิ่ง ค่อยแงะนิ้วเฉียนหยุนออกทีละนิ้ว

มันวางฝ่ามือบนบ่าเฉียนหยุนก่อนสลัดออกอย่างเร็วรี่ “พี่เฉียน ท่านฟังข้านะ อย่าเพิ่งตาเหลือกสิ หกแสนนั่นเป็นท่านขานออกมา ครั้งหน้าจำไว้ว่าออกจากพรรคมาต้องพกพาเงินทอง อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายอย่างนี้อีก”

“เจ้า!เจ้า!”

เฉียนหยุนทนไม่ไหวแล้ว รู้สึกในลำคอหวานวูบ ดวงตาคล้ายเบิกถลึงจนแทบฉีกขาด ลูกนัยน์ตาแดงก่ำแฝงประกายน้ำตา สองมือกางออกราวกรงเล็บไก่ ตะกายใส่ชายเสื้อขาวสะอาดสะอ้านของฉินจิ่วเกออย่างสุดชีวิต สุดท้ายไม่อาจทนไหว ร่วงลงไปกองกับพื้น

ตึง!

เฉียนหยุนล้มลงสิ้นสติภายใต้ประกายตาฆ่าคนของเหมียนเหล่า

เรื่องราวจบลง ทุกคนสุขสันต์หรรษา อันติงหลันกลับไปหาอันหยาง หัวเราะร่ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อันหยางทอดตามองออกนอกหน้าต่าง ขบคิดใคร่ครวญ ดูท่าน้องสาวของมันคงสามารถแต่งออกไปหาเรื่องใส่บ้านผู้อื่นได้แล้ว

คิดถึงตอนนี้ อันหยางคลายหมัด ทั่วร่างผ่อนคลายลงคล้ายนอนอยู่บนก้อนเมฆน้อย ล่องลอยอยู่บนแม่น้ำหยกสายธาราสีเงิน

น้องสาว ยอดเยี่ยม!

ฉินจิ่วเกอกลับไปปลอบประโลมศิษย์น้องเล็กและหรงเคอเคอ เจ้าอ้วนน่าตายถูกทิ้งไว้คุ้มครองคนทั้งคู่ อาวุโสมู่หยวนเชื้อเชิญศิษย์พรรคหลิงเซียวมาพำนักในจวนประจำเมือง ถือเป็นศูนย์กลางของเมือง

นอกจากนี้ ม่านวิกาลคลี่คลุม อาวุโสมู่หยวนและกลั่นดวงธาตุอีกสองท่านเรียกระดมพิสุทธิ์ไพศาลและปราณสุริยันทั้งหลายในเมืองซวนอู่ ทุกผู้คนได้รับการแจกจ่ายศิลาวิญญาณและโอสถ รวมทั้งศาสตราจำเป็น มอบหมายประจำการตามประตูต่างๆ และกำแพงเมือง

ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อรวมทั้งศิษย์น้องรอง ถูกจัดสรรไปรักษาการทางทิศใต้ของเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ ผืนดินเป็นพื้นราบ มองเห็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่ไกลตาสองสามลูก

รอจนฉินจิ่วเกอมาถึงประตูทิศใต้ ที่นั่นรวมไว้ด้วยสิบพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว ยังมีปราณสุริยันขั้นสูงสุดอีกหลายคน ทางประตูทิศใต้นี้บุกตีง่ายดายป้องกันยากเย็น รับผิดชอบโดยอาวุโสมู่หยวน

ทุกคนจะได้รับลูกศรและหน้าไม้ที่สร้างจากนักจัดวางค่ายกล นอกจากนี้ ยังได้รับแจกสองร้อยศิลาวิญญาณ โอสถห้ามเลือดรักษาบาดเจ็บอีกหลายสิบ

ซ่งเล่อสวมเกราะที่เตรียมไว้มานานแล้วออกมา แสงจันทร์เย็นเยียบเสียดแทงราวศรพิษส่องต้องพื้นผิวเกราะ ประกายจันทราสะท้อนเยียบเย็นจนแทบแช่แข็งโลหิตคนทั้งเป็น

หนาวเย็น ค่ำคืนอันหนาวเย็น เย็นเยือกยะเยียบ

ยามอยู่บนแนวกำแพง นิ้วทั้งสิบกดลงบนก้อนอิฐเย็น นิ้วทั้งสิบแทบไร้ความรู้สึกไป

พื้นที่ราบแผ่ออกไกลสุดลูกหูลูกตา ขุนเขาหมื่นเมตรหลงเหลือเพียงขนาดเท่าหัวแม่มือ มองดูราวกับส่วนศีรษะของมารร้าย

แม้จะถูกด่าทอสาปแช่ง หากศีรษะมารร้ายนั้นยังคงดื้อด้าน นัยน์ตาเปี่ยมโลหิตของมันยังคงจดจ้องมายังเมืองมนุษย์ด้วยจิตเจตนาอันชั่วร้าย