ตอนที่ 204 สำนึกเหมันต์

ราตรี ทั้งเงียบงันและไร้ใจ

บรรยากาศอึมครึมปกคลุมเมืองซวนอู่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเอาไว้ ส่งผลให้ชาวเมืองรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย

ถนนหนทางอันลดลัดคดเคี้ยว บ้างแว่วเสียงคร่ำครวญของอีกามาเป็นพักๆ ไม่ทราบกำลังร่ำไห้หรือร้องด้วยความปีติยินดีกันแน่

ฉินจิ่วเกอกระชับอาภรณ์ขนสัตว์สีขาวแน่น มุดหน้าลงกับคอเสื้อ เผยให้เห็นเพียงแววตาเปี่ยมกำลังวังชาสองดวง มองไปยังที่รกร้างว่างเปล่า จ้องมองผืนดินรกร้างกว้างใหญ่ รวมถึง โลกหล้าที่มนุษย์ทอดทิ้งนั้นด้วย

เมืองซวนอู่ตั้งอยู่บนนั้น ทั้งเงียบเชียบและวังเวงยิ่ง

เสียงอีกาเปลี่ยนเป็นกระชั้นเร่งร้อน จะงอยปากดำขลับส่องประกายวาววับ เทียบกับลูกศรยังแหลมกว่า ราวกับจะตัดเหล็กได้เหมือนตัดก้อนเค้กนิ่มๆ

มันบินวนอยู่เหนือศีรษะผู้คน บินรอบเมืองซวนอู่จนครบสามรอบ

หิมะพัดกระหน่ำ ภายใต้เสียงถล่ม เผยให้เห็นโลกสีขาวโพลนที่ถูกทิ้งร้าง

แม้แต่อีกาตัวนั้นยังหนาวสั่นจนสุดทานทน มันมาหยุดพักอยู่บนกิ่งไม้ที่หุ้มไปด้วยน้ำแข็งกระจ่างใส ราวกับอำพันที่แข็งตัวอยู่นับหมื่นปี

ฉินจิ่วเกอใช้นิ้วลูบอิฐบนกำแพงเมืองที่เย็นเฉียบ มันกำลังรอ รอให้ถึงเวลา อีกไม่นานก็จะถึงงานเทศกาลแล้ว

อีกาตัวนั้นก็กำลังรออย่างอดทน ท่ามกลางลมหิมะที่พัดกรู มันค่อยๆ ยื่นขาออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ บางครั้งก็ห่อตัวด้วยความหนาว หรือไม่ก็สลัดปุยหิมะที่เกาะอยู่บนขนของมันออกไป

คมดาบคราบเลือด บุญคุณหนี้แค้น

หลังจากนี้ ทุกที่ทางจะมีแต่ซากไร้ชีวิตกองเกลือน ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นสุดขั้ว ศพที่ถูกฝังอยู่ใต้หิมะจะไม่มีวันเน่าเปื่อยเป็นเวลาครึ่งเดือน เนื้อของพวกมันจะยังคงรสชาติหวานหอมเหมือนเนื้อสดใหม่

อีกาขยับหัวมันขลับขึ้นเล็กน้อย ใช้ขาจัดแจงขนที่เปียกลมหิมะให้เข้าที่ จากนั้นจึงปิดตา ราวกับเป็นรูปปั้นที่ถูกแช่งแข็ง มันกำลังฝันหวาน ฝันว่าจะได้กินเลือดเนื้อสดๆ จากซากร่างไร้เจ้าของเหล่านั้น

ยิ่งตกตาย ยิ่งแหลกเละ ในวันที่อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่า อาจมีเสบียงให้พออยู่ไปได้ราวครึ่งปี ต่อให้รอจนหนอนแมลงขึ้นไช แมลงวันตอมหึ่ง หรือเกิดน้ำหนองเหลืองข้นไหลออกมาก็ช่างปะไร

เพราะรสชาติก็ยังคงหอมหวานอยู่ดี เพียงพอให้จะงอยปากเล็กๆ ของมันค่อยกัดแทะ เหมือนอย่างเจ้าปลวกที่กัดแทะเปลือกไม้ กัดแทะทะลุทะลวงไปทีละน้อยๆ ทะลวงไปจนถึงตับไตไส้พุงของนักรบพวกนั้น

ท้องฟ้าเรืองรองด้วยแสงอำพัน ใต้หล้ายังคงหดหู่อึมครึม

พื้นที่ราบไร้สิ้นสุด ถ่ายทอดคลื่นพลังเคลื่อนสมุทรยกขุนเขาฉินจิ่วเกอพอขยับคิ้วก็พบเศษน้ำแข็งร่วงลงมาเล็กน้อย ที่แท้มันก็ยืนอยู่ตรงนี้มาแทบทั้งคืน

นึกแล้วก็รีบขยับเนื้อตัวที่แทบจะหลับใหลไปกับสภาพอากาศ พิสุทธิ์ไพศาล สังขารของพวกมันก็คือกายเนื้อ สามารถตาย สามารถเจ็บเฒ่าได้เหมือนๆ กัน

ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุหรือกฎสรรพสิ่งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

พันปีหมื่นปี ก็แค่ดินทรายกอบหนึ่ง ปุถุชน มดแมลง มันก็แค่นั้น!

ซ่งเล่อพ่นไอขาวออกจากปาก ถือน้ำอุ่นร้อนมาด้วย แต่เพิ่งก้าวออกจากห้อง น้ำก็กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว

“ปีนี้สภาพอากาศเลวร้ายนัก ช่วงเทศกาลกลับไม่เพียงไม่เห็นน้ำแข็งละลาย ตรงข้ามอุณหูภมิมีแต่จะยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อคืนข้าได้ยินคนพูดว่า เป็นเพราะผู้คนเข่นฆ่านองเลือดโดยไม่หยุดพัก สวรรค์เลยพิโรธลงทัณฑ์”

ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า เหยียบชั้นน้ำแข็งบางๆ ฝ่าเท้าจมหายลงไปในหิมะกองสูงสามชุ่น “จะใช่สวรรค์ลงทัณฑ์หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เพื่อหลักการแห่งฟ้า จึงต้องทำลายความปรารถนาของปุถุชน บนโลกนี้ มนุษย์ไม่ใช่จ้าวปกครอง หายนะนี้ใช่วาจะต้องเป็นสวรรค์นำพามาเสมอไป”

ซ่งเล่อจ้องมองโลกสีขาวนอกกำแพง ทิวทัศน์เขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตาที่เคยมีได้หายไปแล้ว เหลือเพียงโลกสีขาวโพลนเท่านั้น เพียงชั่วคืน นอกเมืองก็มีหิมะกองสุมหลายฉื่อ คล้ายเป็นผลงานของปีศาจ

“ไม่ว่านี่จะเป็นหายนะจากสวรรค์หรือฝีมือของมุนษย์ ขอแค่กัดฟันยืนหยัดสักหน่อย เดี๋ยวก็ผ่านไปเอง” ซ่งเล่อผู้มองโลกในแง่ดีถูมือไปมา เผ่ามนุษย์ตั้งรกรากอยู่ในทวีปฉงหลิงมานานนับล้านปี ล้วนต้องพึ่งพาความทรหดในสายเลือด ไม่เคยถูกโค่นล้ม

ฉินจิ่วเกองอเข่าที่เริ่มจะแข็ง “คิดถอนตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ต้องปักหลักสู้ตายเท่านั้น ได้แต่หวังว่าทางฝั่งสี่พรรคใหญ่จะไม่มีปัญหามากจนเกินไป”

“วางใจเถอะ ยังมีเหล่าอาวุโสคอยคุ้มครองเราจากด้านหลัง ทุกอย่างต้องเรียบร้อยดี” ลั่วเฉินมองไปยังทิศของพรรคหลิงเซียว มันเองก็ยืนอยู่ใต้หิมะขาวโพลนยะเยียบ

“ถูกของเจ้า” ฉินจิ่วเกอมองเหลียวหลัง “มีครอบครัว มีบ้าน

เท่านั้นก็เพียงพอให้เราต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้”

ไม่ว่าจะยินยอม หรือไม่ยินยอม งานเทศกาลก็ได้มาถึงแล้ว

ยามจื่อ* ช่วงเวลาจันทร์เต็มดวง พลังหยินเร่งเร้า พลังหยางซบเซา ปีศาจและความมืดดำรงคู่ สารพัดสัตว์อสูรบุกตะลุยออกจากบรรพตหิมะเย็นเยือก ความแค้น ความตาย ความเศร้า ความชิงชัง และความอาฆาตจะทำให้สัตว์อสูรรบรากับเผ่ามนุษย์จนตกตายกันไปข้าง!

ไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นหายนะ!

ตะวันแรกเบิกฟ้า แสงอาทิตย์พร่างพรมดั่งสายพิรุณ ทาบทอผืนแผ่นดินอย่างทั่วถึง โลกที่ทุกสรรพสิ่งแข็งค้างต้องการเป็นอิสระ บัดนี้ราวกับสุนัขที่ผิวหนังติดเชื้อจนขนหลุดหาย ได้แต่นอนอิดโรยใกล้ตายรอให้ถูกย่ำยี

“วันนี้ก็คือวันเทศกาลแล้ว มาๆ พวกเราสามคนมาดื่มฉลองกันสักยก” ฉินจิ่วเกอเทน้ำเปล่าร้อนๆ ใส่ชามสามใบ แน่นอนสะอาดไร้มลภาวะ ธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา

ซ่งเล่อสีหน้าดำมะเมี่ยม ขาดแค่จันทร์เสี้ยวบนศีรษะก็จะสมบูรณ์ ส่วนลั่วเฉินหน้าขาวซีด มือไม้สั่น ชัดเจนว่าซาบซึ้งต่อพฤติกรรมของศิษย์พี่ใหญ่

ฉินจิ่วเกอไม่สน ดื่มสุรามีอะไรดี ต้องน้ำเปล่าสิ ถึงจะสื่อความเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ได้ดีที่สุด

หลังดื่มน้ำเปล่าสามชามกันเสร็จ ฉินจิ่วเกอก็มานั่งผิงไฟอยู่ในห้อง คิดไปคิดมาก็เอาเคล็ดวิชายุทธ์ในครอบครองมาพิจารณาดูในหลิงไถ

เคล็ดลมปราณพิสดารนั่น สามารถเรียกสติให้กลับมาแจ่มกระจ่างทุกครั้งที่จิตของมันกระสับกระส่ายวุ่นวาย

แต่น่าเสียดายที่ฉินจิ่วเกอยังไม่อาจทำความเข้าใจนัยยะของมันได้อย่างถ่องแท้ คล้ายภายในมีพลังอันเหนือกว่าทิศทั้งหกอยู่ ติดแค่มันยังไม่มีกุญแจที่จะใช้คลายพันธนาการนี้ออกได้

เมื่อความสว่างลาลับ ความมืดชวนขยะแขยงก็มาถึง

งานเทศกาลในปีนี้ เมืองซวนอู่ปราศจากความตื่นเต้นยินดีโดยสิ้นเชิง ทุกคนกำลังเฝ้ารออย่างนิ่งเงียบจนกว่าจะถึงเวลากลางคืน

ฉินจิ่วเกอและพรรคพวกยืนอยู่บนกำแพงเมือง กำแพงสูงหลายสิบจั้งตั้งตระหง่านเหนือผืนแผ่นดิน ทุกที่ทางมีแต่ความหนาวจับขั้วหัวใจ ไกลออกไปบนยอดเขาที่มองจากตรงนี้มีขนาดเพียงหัวแม่โป้ง กลับเกิดความระส่ำระส่ายขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ตอนนี้ก็เลยยามจื่อมาได้ครึ่งทางแล้ว ตะวันจันทราสับเปลี่ยน หยินหยางขุ่นมัวชะตาของเผ่ามนุษย์รวมถึงเมืองซวนู่ล้วนขึ้นอยู่กับจุดนั้น” มู่เหลายืนอยู่เหนือหลังคาเมือง ภายใต้แสงจันทร์ผลึกใส มันดูเหมือนแท่งเหล็กแหลมคมสีเงินยวง

“อาวุโสวางใจเถอะ พวกเราจำต้องปกป้องเผ่ามนุษย์ให้ดำรงสืบต่อไปให้ได้!” มีคนทุบอกประกาศก้อง วรยุทธ์ไม่จำเป็นต้องสูงล้ำ บนกำแพงมีพวกมันยืนอยู่แล้วนับร้อย ไล่เรียงกันลงมาเป็นลำดับ

“อืม ศึกใหญ่แห่งใต้หล้านี้ แต่ละเผ่าล้วนสับเปลี่ยนไพ่ในมือ เผ่ามนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนความคิดได้อีก” มู่เหล่ามองไปทางใต้ ขอบนภาอันดำมืด ขุนเขาตรงนั้นคล้ายกำลังขยับไหว

ว่ากันว่าไฟมาจากทางใต้ แต่วันนี้กลับไม่อาจสัมผัสถึงความอบอุ่นที่เปลวไฟนำพามาได้เลย

ความมืดเร้นลับ ฟ้าดินเย็นยะเยียบ แสงจันทร์หิมะโชย ไล่ตามเงามรณะ

ท่ามกลางความมืด ภายในป่ารกครึ้ม เงาดำกะพริบวูบไหว

“เตรียมตัวพร้อมแล้ว?”

จ้วนหลุนหวังนั่งคอยอยู่ได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของราชันหยินหยาง

“เรียนใต้เท้า ทุกอย่างพร้อมแล้ว” กลั่นดวงธาตุหลายคนควบคุมสถานการณ์ตามแต่ละเมืองในละแวก

“บัดซบ ราชันหยินหยางมันไปตายที่ไหนกันแน่?ช่างเถอะ ไม่ต้องรอมันแล้ว พวกเจ้าเริ่มเลยเถอะ เราจะไปดูที่พรรคหลิงเซียวสักหน่อย”

เขตร้างทางใต้ของเผ่ามนุษย์คือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของพรรคโลหิตนภา การโจมตีสี่พรรคใหญ่เป็นเรื่องรอง เรื่องสำคัญคือการทำลายฐานที่มั่นบนเขตร้างทางใต้ของเผ่ามนุษย์ ที่นี่เขาสูงป่าครึ้ม นับจากนี้ไปยังจะไม่ตกเป็นของพรรคโลหิตนภาอีกหรือ?

“รับทราบขอรับใต้เท้า เช่นนั้นเราเริ่มเลยหรือไม่?”

“อืม ตอนที่เราไม่อยู่ พวกเจ้าก็เข้ายึดฐานที่มั่นบนเขตทางใต้ของเผ่ามนุษย์ทั้งหมดในระยะแสนลี้ตามแผนได้เลย จำไว้ อย่าได้ปรากฏตัวตามใจ ให้เป็นหน้าที่ของสัตว์หน้าโง่พวกนั้น”

“ขอรับ”

จ้วนหลุนหวังพอไม่ได้ข่าวจากราชันหยินหยางสักทีก็เริ่มกังวล มันจึงรีบมุ่งหน้าไปยังพรรคหลิงเซียวด้วยความเร็วปานสายฟ้าทันที

ในขณะเดียวกัน ราชันหยินหยางและอาวุโสห้าก็ปะทะพัวพันกันมาได้สองวันสองคืนแล้ว ร่างจำแลงกฎสรรพสิ่ง คิดขจัดกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าที่จริงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ตอนเมืองเทียนเอินคราวนั้น สามแหวกชำระกายาเอาชีวิตเข้าแลกยังพอยื้อยุดราชันหยินหยางไว้อย่างเต็มกลืนเท่านั้น

แต่ว่า ยิ่งมันประมือกับเจ้าคนเสียสตินี่เท่าไร ราชันหยินหยางก็ยิ่งหลั่งเหงื่อเย็นมากขึ้นเท่านั้น มันรู้สึกว่าตัวมันเองก็ใกล้จะบ้าตามอีกฝ่ายเข้าไปทุกที!

อาวุโสห้าไม่รู้จักความเหนื่อย มันคือปราชญ์ในโลกของมันเอง คือคนเสียสติในสายตาผู้อื่น สองเท้าย่ำลุยหิมะ ไม้คฑาถูกไอเย็นจนเปลี่ยนเป็นแท่งน้ำแข็งไปแล้ว

“เฒ่าบัดซบ ในเมื่อเจ้าทำอย่างไรข้าไม่ได้ก็รีบๆ ไสหัวไปเสียที รอร่างหลักของข้ามาก่อนเถอะ เจ้าไม่รอดแน่”

“ฮ่าฮ่า น่าสนใจ ราชันหยินหยางสุนัข น่าสนใจจริงๆ มาเล่นกับข้าก่อน” อาวุโสห้าไม่ฟังอะไรสักอย่าง เพียงยกไม้เท้าขึ้นแล้วกระทุ้งลงพื้นอย่างร่าเริง

ราชันหยินหยางไม่กล้าปะทะแตกหัก ศีรษะของมันยามนี้ปูดนูนไปหมด สาเหตุก็เพราะไม้คฑาของอาวุโสห้านั้นเอง

“ไอ้เฒ่าวิปลาส ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ ไม่ว่างมาเล่นกับเจ้า”

แต่อาวุโสห้ากลับถือคฑาไล่ตามอย่างไม่ลดละ “ตีสุนัข รีบมาตีสุนัขเร็ว ราชันหยินหยางสุนัขหนีไปแล้ว!”

“ราชันหยินหยางต่างหาก!”

ได้ยินอาวุโสห้าเรียกสุนัขๆ จนมันแทบจะกระอักเลือด คนพรรคหลิงเซียวใช่เป็นพวกความจำเสื่อมหมดหรือไม่?

อาวุโสห้าไล่กวดราชันหยินหยางจนออกห่างพรรคหลิงเซียวไปทุกที จากชายทะเลกลับสู่ผืนดิน ราชันหยินหยางอยากสลัดอีกฝ่ายให้พ้น แต่ก็ถูกเกาะติดเหมือนตังเม ในเมื่อยังไม่พ้นเขตมนุษย์จึงไม่อาจทำเอิกเกริก ได้แต่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนหมดสารรูปเช่นนี้

จ้วนหลุนหวังที่ไม่รู้ความเป็นไปทางฝั่งนี้ ยังคิดว่าราชันหยินหยางติดกับ พอมาถึงพรรคหลิงเซียว หยา พวกอาวุโสใหญ่กำลังย่างเนื้อสุนัขกินกัน ส่งควันฉุยฉายทั่วฟ้า

หันกลับมาที่จ้วนหลุนหวัง ปรากฏว่ามันน้ำตานองหน้าไปแล้ว โฮฮฮ ราชันหยินหยางคงจะไม่ได้ถูกย่างไฟจริงๆ หรอกนะ?

อาวุโสใหญ่เลิกคิ้วทันทีที่เห็นจ้วนหลุนหวัง คิ้วดกดำตัดกับความขาวโพลนรอบด้าน “ขอแนะนำพวกเจ้า ท่านผู้นี้ก็คือราชันกงล้อ”

อาวุโสสามเช็ดไม้เช็ดมือ ปากเลอะคราบมันเคลอะเพราะกินอย่างมูมมาม อย่างไรเสียการที่ศิษย์พี่จะเลี้ยงทั้งทีเป็นเรื่องหาได้ยาก ในปากยังมีรสสุนัขติดอยู่ “ที่แท้เป็นราชันกงล้อนี่เอง ได้ยินชื่อเสียงมานาน ในที่สุดก็ได้พบๆ”

ยามจื่อ* 23:00-01:00