เนื่องจากมีเจิ้งอันอยู่ที่นี่ด้วย เหยาซูจึงไม่อยากพูดอะไรมากมายนัก ทำได้แค่ยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่านต้องไปประชุมในจวนตรวจการไม่ใช่หรือ? รีบไปเถิด อีกเดี๋ยวก็มืดแล้ว”

เมื่อได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ เจิ้งอันก็อยากจะตบปากตัวเองอย่างอดไม่ได้

เห็น ๆ อยู่ว่าท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว เขานึกได้แต่ข้ออ้างที่ไม่ดีเลยบอกว่าต้องไปประชุมในจวนตรวจการแทน? ใครเขาประชุมกันดึกดื่นค่อนคืนเล่า?

หลินเหราแสดงออกว่าไม่อยากไปอย่างเห็นได้ชัด จึงขมวดคิ้วทำตัวเหมือนกับติดหนึบอยู่บนเก้าอี้ ไม่ยอมลุกขึ้นท่าเดียว

เหยาซูไม่อยากเอาความคิดด้านลบโยนใส่หลินเหราที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว สำหรับหญิงสาวแล้วหลินเหราคือคนที่ไร้เดียงสาที่สุด

หากแต่นางต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ชั่วครู่

“พอแล้ว ข้าไม่อยากทะเลาะกับท่านแล้ว” เหยาซูโน้มตัวไปข้างหน้า จัดการคอเสื้อที่ถูกอาซือเล่นจนยุ่งเหยิงให้แก่หลินเหรา ก่อนจะพูดเสียงดังจนเด็กทั้งสองคนนั้นได้ยิน “ไปดูหน่อยเถิด หากท่านไม่ไปอาจวุ่นวายไม่หยุดเป็นแน่ ไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วกลับมาบอกข้า”

ดวงตาของหลินเหราเปล่งประกายราวกับต้องการความมั่นใจ เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเหยาซู แล้วก็เผยสีหน้าโล่งใจออกมา

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ “อื้อ จะกลับมาบอกเจ้า”

เมื่อตอบตกลง นั่นคือการสัญญา

เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางจริงจังของเขา ในใจก็อ่อนโยนลง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ไปเถิด”

ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็พาเจิ้งอันเดินออกไป ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็หายไปจากเบื้องหน้าของเหยาซู

อาจื้อและอาซือไม่รู้ว่าเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อใด ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งยังเอ่ยถามเหยาซูว่า “ท่านแม่ ทำไมจู่ ๆ ท่านพ่อถึงออกไปล่ะ? เขาบอกว่าจะทำอาหารมื้อค่ำก่อนโดยไม่ให้ท่านแม่รู้นี่นา”

เหยาซูรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันใด จู่ ๆ ก็รู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้เขาไปเช่นนั้น

หากเขาพบเจอกับนางเอกนิยายตามต้นฉบับเดิมจะเป็นอย่างไร? นางคาดการณ์แล้วว่าจะต้องมีวันนี้ไม่ใช่เหรอ?

เมื่อเห็นเหยาซูอยู่ในอาการเหม่อลอย อาจื้อจึงขานเรียกผู้เป็นมารดา “ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ!”

“หือ?” เหยาซูได้สติกลับมา จากนั้นก็มองไปยังลูก ๆ ทั้งสอง “ว่าอย่างไรจ๊ะ?”

อาซือไม่เข้าใจจึงพูดอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านแม่เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย หรือว่าท่านแม่ป่วย?”

อาจื้ออ่อนไหวง่ายกว่าน้องสาว เขาเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นมารดา จากนั้นก็เงยหน้าถามว่า “ท่านแม่ เพราะท่านลุงเจิ้งพาท่านพ่อไป ดังนั้นท่านแม่จึงไม่สบายใจใช่หรือไม่ขอรับ?”

เหยาซูไม่อยากให้เด็ก ๆ รู้ว่าตนเองมีเรื่องไม่สบายใจ จึงได้แค่ยิ้มออกมา “ไม่ได้ไม่สบายใจเสียหน่อย แม่กำลังคิดบางอย่าง เหตุใดต้าเป่าถึงถามเช่นนี้เล่า?”

เด็กชายตัวน้อยจึงพูดเป็นตุเป็นตะว่า “ปกติแล้วทุกครั้งที่ท่านลุงเจิ้งเจอข้าและน้องสาว เขามักจะยิ้มและพูดคุยกับเราเสมอ แต่วันนี้ท่านลุงเจิ้งพูดไม่กี่คำก็ออกจากบ้านของเราไป ดูแปลกยิ่งนักขอรับ”

อาซือมองไปทางอาจื้อด้วยความตกใจ ก่อนจะพูดด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ท่านพี่เก่งที่สุด!”

อาจื้อพึงพอใจกับน้องสาวคนนี้ยิ่งนัก จากนั้นก็ยิ้มพลางลูบศีรษะของอาซือเบา ๆ เห็นได้ชัดว่ายังอยากได้ยินน้องสาวชมตัวเองจึงเอ่ยถามต่อว่า “พี่เก่งที่ไหนกัน?”

อาซือเป็นนักสร้างบรรยากาศตัวน้อย ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ ช่างดูจริงใจยิ่งนัก “พี่รองมักจะบอกว่าท่านพี่มีความสามารถในการสังเกตยอดเยี่ยม ต่อไปถ้าได้เป็นท่านแม่ทัพ จะต้องนำทัพทำสงครามได้ดีกว่าท่านพ่อเป็นแน่!”

เด็กชายตัวน้อยกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่อีกต่อไปจึงหัวเราะพลางพูดว่า “ประโยคครึ่งแรกข้าเชื่อนะ แต่ประโยคหลังเจ้าเติมเองเสียมากกว่า!”

ผู้ที่เหยาเอ้อหลางศรัทธาที่สุดในตอนนี้ก็คืออาเขย เขาอยากให้ทุกคนต่างยอมรับว่าหลินเหราเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแทบขาดใจ แต่เขาไม่มีทางพูดประโยคนี้ออกมาโดยเด็ดขาด

อาซือยิ้มอย่างที่คิดไว้และชมอีกว่า “ท่านพี่เก่งจริง ๆ”

มือของผู้เป็นพี่ชายบีบลงบนแก้มน้อย ๆ ของน้องสาวอย่างเบามือและเริ่มนวดคลึงไปมา ส่วนปากก็ยังพูดรังแกนางว่า “พูดชมโดยไม่หวังเงินใช่หรือไม่? ยังจะชมอีกหรือไม่? ไม่ชมไม่ปล่อยนะ!”

อาซือหัวเราะฮิ ๆ ออกมาไม่หยุด แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอีก

ความสนใจของเด็กน้อยแปรเปลี่ยนง่าย เมื่อเหยาซูเห็นพวกเขาสองคนเล่นกันอย่างมีความสุขจึงลืมคำถามที่อยากจะถามเมื่อครู่ไปหมดสิ้น และรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

นางไม่มีทางพูดถึงความรู้สึกที่ยังเป็นกังวลเหล่านั้นกับเด็ก ๆ โดยเด็ดขาด ในเวลาเดียวกันหญิงสาวก็ไม่สามารถอธิบายให้หลินเหราฟังถึงเหตุผลในการหึงหวงของตนเองได้

อาจื้อและอาซือเล่นกันเสียงดังเอะอะโวยวาย เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ธรรมดาและเรียบง่ายที่สุด แต่กลับทำให้พวกเขามีความสุขไปตลอดทั้งวัน

ในนิยายได้บอกไว้ว่าเพราะการจากไปของมารดา อาจื้อจึงต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งในชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ผันตัวกลายมาเป็นพ่อค้าคนกลางที่แสนเจ้าเล่ห์

อาซือเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรม จึงสูญเสียความไร้เดียงสาที่มักฉายชัดอยู่ในแววตาไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนซานเป่าที่อยู่ในเปลก็ขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูให้มีนิสัยชอบมองตัวเองต่ำต้อยไม่ร่าเริงต่อหน้าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เด็กทั้งสามคนค่อย ๆ ชั่วร้ายมากขึ้น ร้ายกาจมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รู้สึกปวดใจอย่างมาก

ต่อมาตู้เหิงก็ปรากฏตัว

นางพยายามทำทุกวิถีทาง ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ในที่สุดก็ได้แต่งงานกับหลินเหราดั่งที่ปรารถนา และกลายมาเป็น ‘แม่เลี้ยง’ ของเด็กทั้งสามคน

ตู้เหิงมักจะแสดงความเมตตาและโอบอ้อมอารีกับเด็กทั้งสามคนต่อหน้าหลินเหราเสมอ ไม่ให้ใครมารังแกเด็กทั้งสามคนได้

ทว่าต่อมาหลังนางตั้งครรภ์ลูกของตัวเอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…

หญิงสาวสัญญาว่าจะทำให้เด็ก ๆ มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แต่กลับลากอาจื้อและอีกสองคนตกลงไปในโคลนตมที่มืดมนมองไม่เห็นสิ่งใด ปล่อยให้พวกเขาดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างยากลำบาก ไม่สามารถปรับตัว ไม่สามารถดำรงชีวิต ไม่สามารถหลีกหนีได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของเหยาซูก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันใด…

…..

เมื่อตู้เหิงได้ยินว่าหลินเหราจะกลับมา จึงรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นลิงโลดไม่หยุดอยู่ในใจ

หญิงสาวเปลี่ยนชุดนั้นทีเปลี่ยนชุดนี้ทีอยู่ในเรือน กระทั่งนำชุดทั้งหมดที่เอาติดตัวมาระหว่างเดินทางนับไม่ถ้วนนั้นมาเปลี่ยนวนแล้วหนึ่งรอบ สุดท้ายก็เลือกชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางสีอ่อนที่นางใส่ในวันที่หลินเหราช่วยชีวิตไว้

ตู้เหิงเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูล เติบโตมาท่ามกลางผู้คนรายล้อม เสื้อผ้าก็ไม่เคยมีแค่ชุดเดียว ไฉนเลยจะยอมใส่เสื้อผ้าสกปรกที่ซักสะอาดแล้วอีกครั้ง?

สาวใช้อาซู่ที่อยู่ข้างกายถามขึ้นว่า “เหตุใดคุณหนูถึงเปลี่ยนมาใส่ชุดนี้อีกล่ะเจ้าคะ? เมื่อวานข้าเห็นว่ามันสกปรกมากจนเกือบจะโยนทิ้งแล้ว แต่แม่นมกลับนำไปซักเสียอย่างนั้น”

ตู้เหิงจัดแขนเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “จะทำอะไรต้องพูดมากด้วยหรือ?”

หลังจากกลับมาเกิดใหม่นิสัยของนางก็แย่ลงมากกว่าเดิม บางครั้งที่ไม่พอใจก็ไม่พอใจโดยแท้จริง

แม่นมเห็นความไม่พอใจจากนัยน์ตาของตู้เหิง จึงตำหนิอาซู่เบา ๆ ว่า “เจ้านี่มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็ไม่ใส่ใจ ยังไม่รีบไปเลือกเครื่องประดับให้คุณหนูอีก เลือกชุดที่เป็นดอกไป๋อวี้หลัน [1] นะ เพราะเข้ากับชุดในวันนี้ของคุณหนู”

อาซู่ได้ยินดังนั้นก็รีบไปจัดเตรียมในทันที

เมื่อทั้งสองคนปรนนิบัติรับใช้แต่งกายให้ตู้เหิงเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินไปยังลานบ้าน อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ทั้งสองคนตามไป อาซู่จึงใช้โอกาสนี้พูดเรื่องในใจกับแม่นม

สาวใช้ดวงตาแดงก่ำพลางพูดอย่างไม่เป็นธรรมว่า “ช่วงนี้คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ? บางครั้งแค่พูดไม่เข้าหูเพียงประโยคเดียว นางก็หงุดหงิดแล้วไม่พูดอะไรอีกเลย ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ”

อาซู่คือเด็กที่แม่นมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่เช่นกัน สำหรับนางแม้ว่าจะลึกซึ้งสู้ตู้เหิงไม่ได้ แต่กลับเห็นอาซู่เสมือนลูกแท้ ๆ ของตัวเองเสมอ

นางทนไม่ได้ที่อาซู่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ก็จนปัญญาจึงทำได้แค่เตือนว่า “เป็นคนรับใช้ จะต้องจดจำความโปรดปรานของเจ้านายให้ได้เสมอ ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายให้มีความสุข นั่นคือสิ่งที่เราควรทำ การยั่วยุให้เจ้านายโกรธเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เจ้าไม่เห็นจุดจบของอาทิงและคนอื่น ๆ หรือไร?”

เดิมทีข้างกายของตู้เหิงมีสาวใช้สี่คน ล้วนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

หลังจากที่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ ก็ได้ใช้ข้ออ้างขับไล่ทั้งสามคนและเหลือไว้เพียงอาซู่ที่ไม่ทรยศนาง

แต่สำหรับแม่นมและคนภายนอก มันช่างดูไร้มนุษยธรรมเกินไปอย่างชัดเจน

นิ้วมือของอาซู่แตะไปบนจี้หยกขนาดเล็กที่อยู่บนชายเสื้อ พลางพูดเสียงต่ำว่า “คุณหนูเคยพูดไว้ นางไม่เคยเห็นอาซู่เป็นคนนอก… จี้เม็ดนี้เป็นของที่คุณหนูเคยให้อาซู่ บอกว่าเป็นของขวัญวันเกิดของน้องสาว…”

จี้เม็ดนั้นเป็นของที่ตู้เหิงโปรดปราดที่สุดเมื่อครั้งวัยเยาว์ แต่เมื่อมุมมันบิ่นไปก็เลยไม่ชอบ ประจวบกับวันนั้นได้ยินแม่นมบอกว่าเป็นวันเกิดของอาซู่พอดี จึงได้ยกให้อาซู่ไป

แต่อาซู่กลับเห็นจี้เม็ดนี้มีค่ามากจึงสวมมันไว้ทุกวัน เฝ้าทะนุถนอมอย่างดีไม่กล้าให้กระแทกโดนสิ่งใด

แม่นมส่ายหน้าทอดถอนใจ จากนั้นก็ลูบศีรษะของอาซู่พลางพูดเสียงต่ำว่า “เด็กโง่เอ๋ย ต่อไปจงจำไว้ว่าจะต้องปรนนิบัติดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุด อย่าลืมสถานะของตัวเองเด็ดขาด”

อาซู่กัดริมฝีปากล่างของตน ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ไม่เคยจางหายได้แสดงสีหน้ามุมานะต่อไป สุดท้ายก็ถามอีกว่า “แม่นม อาทิงกับพี่สาวคนอื่นช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

สีหน้าของแม่นมจึงได้ผ่อนคลายลงก่อนดุนางว่า “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้ หยุดถามเหลวไหลได้แล้ว! ต้องให้ข้าสั่งสอนสถานะการเป็นสาวใช้ให้เจ้าอีกหรือไม่?”

อาซู่ไม่กล้าปริปากพูดสิ่งใดออกมาอีก นอกจากส่ายหน้าอย่างเชื่อฟัง “แม่นม ข้าไม่ถามแล้ว ข้าจะเอาใจใส่อย่างดี…”

เมื่อแม่นมได้ยินว่านางยังเชื่อฟังบ้าง จึงวางใจลง

[1] ดอกไป๋อวี้หลัน คือ ดอกแมกโนเลีย

สารจากผู้แปล

ถ้าพูดถึงตอนนี้ พี่เหราน่าจะไม่เหลียวแลใครนอกจากเธอแล้วล่ะอาซู

ปล่อยนางคุณหนูมะม่วงแรดให้เน่าคาต้นไปเถอะ พอรู้ว่าพี่เหราจะมานี่ระริกระรี้เป็นกระดี่ได้น้ำเชียวนะ

ไหหม่า(海馬)